ตีพิมพ์ในคอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้
หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับประจำวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๒
ข้าวต้มข้าวใหม่ร้อนๆ ควันฉุย น้ำข้าวหนืดๆ หน่อย เหนียวกำลังดี วางคู่กับข้าวง่ายๆ ไข่เจียวไชโป๊ว ผักกาดดอง ขิงดอง หมูหวาน ถึงคุณค่าทางโภชนาการจะไม่สูงนัก แต่ก็คุณค่าทางจิตใจก็สูงยิ่ง ไม่ใช่เพราะเป็นกับข้าวโปรดของคุณแม่เท่านั้น แต่เป็นเพราะความรักความเอาใจใส่ของท่านที่ลุกมาแต่เช้าและจัดแจงปรุงขึ้นด้วย แม้สำรับเรียบง่ายแต่ความประณีตบรรจง แบบไม่มีจริตจะก้านนั้นประจักษ์ชัดเจน กับข้าวมื้อแรกของปีถูกนั่งละเลียดสบายๆ กับสมาชิกในครอบครัว ตามด้วยผลไม้ไทยและเทศ กินแกล้มเสียงหัวเราะคิกคัก
ที่เขาว่าหนังท้องตึงหนังตาหย่อนคงจะจริง อากาศในห้องนอนอุ่นกว่าส่วนอื่นของบ้าน เตียงไม้ยังเย็นยะเยียบตั้งแต่เมื่อคืนที่อบร่ำด้วยลมหนาวจากจีนที่หอบเอาความรื่นเริงจากงานปาร์ตี้มาฝาก
เอนหลังได้สองสามนาที รู้สึกดีว่าได้ให้รางวัลกับตัวเองในวันหยุดนี้แล้ว บอกกับตัวเองว่าไปเดินเล่นดีกว่า ดีกับสุขภาพ จะได้ออกไปดูด้วยว่าข้างนอกเป็นอย่างไรกันบ้างด้วย
ถนนในซอยหน้าบ้านเงียบสงบ นานๆ จะมีแมงกะไซวิ่งช้าๆ ผ่านไปสักคัน สภาพต่างจากเช้าวันพฤหัสธรรมดาอื่นๆ อย่างไม่น่าเชื่อ บรรยากาศเหมือนเด็กๆ ขี้เซา เพิ่งเริ่มตื่น เงียบแต่ไม่เหงา คงเพราะเสียงหัวเราะและเสียงดนตรีที่ดังมาจากปากซอยทั้งสองข้างขับกล่อมทั้งคืน พร้อมกับแสงและเสียงจากพลุเฉลิมฉลองที่จุดกันดังสนั่น
แต่ที่บ้านไม่ได้ออกมาดูกับเขาหรอก เมื่อคืนเราเลือกนั่งสมาธิข้ามปีกัน ก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรมาก รู้สึกว่ามันโดนกับเรามากกว่าอย่างอื่นในปีนี้เท่านั้น ปีแรกๆ ที่นั่งกันก็ขัดเขินกันอยู่บ้างไม่รู้ว่าจะทำอะไรเมื่อไหร่ จะนั่งนานแค่ไหนดี เพราะบางคนนั่งนานขณะที่บางคนนั่งแป๊บเดียว ปีนี้ใครนั่งยาวกว่าก็เข้าไปนั่งในห้องพระก่อน ใครอยากไปนั่งเมื่อไหร่ก็ตามอัธยาศัย เรื่องบอกเวลาขึ้นปีใหม่นั้นไม่ต้องเพราะเขาส่งสัญญาณกันทั่วเมือง ได้ยินต่อเนื่องกันเป็นสิบนาที นึกๆ ดูก็ขำดี ตอนที่อยู่เงียบๆ สักพักก็เสียงพลุดังอยู่เป็นนาน แล้วก็กลับมาเงียบใหม่อีกครั้ง เดี๋ยวเงียบเดี๋ยวดัง คล้ายกันทั้งข้างนอกข้างใน
ผมออกเดินไปเรื่อยๆ ลมเย็นๆ ปะทะร่างกายให้ได้เตือนว่าอย่าลืมชื่นชมกับเหมันตฤดูที่แสนสั้นของเมืองกรุง ฤดูหนาวอีกแล้วสินะ จริงสิ ต้นโมกในบ้านหลายต้นเริ่มผลัดใบ แม้จะออกดอกตลอดปี หน้าหนาวโมกออกดอกไม่มาก จึงดูจะแต่งตัวแข่งกันเป็นพิเศษ รู้สึกขอบใจแสงแดดอุ่นๆ ที่ทำให้ได้ดอกขาวสะอาด ช่อดอกตูมเป็นกระเปาะน้อยๆ ห้อยย้อยน่ารัก ขอบใจสายลมที่ช่วยพาความหอมใสๆ เบาๆ ของดอกบานมาให้ชื่นชมแม้ยืนอยู่ไกลๆ
การได้มีช่วงเวลาอยู่กับตัวเองบ้าง ไปอย่างช้าๆ เรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ เปรียบเสมือนคำเชิญชวนให้ได้สะท้อนถึงชีวิตและการเดินทางที่ผ่านมา
ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ดีที่สุดปีหนึ่งของชีวิต ได้มีกลุ่มกัลยาณมิตรที่ช่วยเตือนช่วยแนะนำส่งเสริมกัน ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมวิจัยที่มีความเชื่อร่วมกันว่า “การวิจัยเป็นดั่งชีวิต” ได้ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงาน ข้อสรุป และการนำเสนอผลงานในรูปแบบที่ทุกคนในทีมมีความเชื่อมั่นร่วมกันว่า “ใช่” ไม่ต้องยิ่งใหญ่ ไม่ต้องพิเศษเกินปรกติ ง่ายๆ แต่มีความหมาย
การเรียนรู้ร่วมกันกับกลุ่มนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยก็น่าทึ่ง เพราะทุกคนต่างเห็นความสำคัญของสมดุลของการเรียนรู้วิชาชีพควบคู่กับการเรียนรู้ด้านในบนฐานของการมีสติ การรู้ลงไปเฉยๆ “ใจเป็นอย่างไร รู้ไปอย่างนั้น” อย่างที่เรามักเรียกเล่นกันอย่างทีเล่นทีจริง ทุกคนเป็นครูและศิษย์ของกันและกัน ต่างมุ่งมั่นที่จะ “เข้าใจตนเองและโลก ผ่านการน้อมเอาวิชาเข้ามาสู่ใจและชีวิต” การได้มีพื้นที่ปลอดภัยที่สามารถสุนทรียสนทนาหรือไดอะล็อกได้ทุกเรื่องนั้นเปรียบเสมือนพรอันประเสริฐ (ซึ่งก็คือมงคลชีวิต) อย่างหนึ่ง ต่างใช้กายและใจตนเองเป็นเครื่องมือเรียนรู้ แล้วร่วมแบ่งปันกันอย่างเปิดใจ ผลก็คือการเรียนรู้ที่เราเชื่อว่ามันใช่และมีความหมายสำหรับพวกเรา เพราะความสัมพันธ์ของทุกคนดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับกายและใจของเราเอง ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราด้วยกัน ระหว่างคนในครอบครัว ระหว่างเรากับโลก และกับความจริงของชีวิต
ระยะหลังผมเดินไปปากซอยช้าลง ไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าหรือช่วงเย็น ส่วนหนึ่งเพราะรู้สึกดีทุกครั้ง เวลาเห็นอะไรใหม่ที่เราไม่เคยเห็น (อ้าว มันมีไอ้นี่อยู่ตรงนี้ด้วยเหรอ) ซึ่งก็มีให้เห็นได้ทุกครั้งไป อีกส่วนก็เพราะยังเจ็บเข่าอยู่นิดหน่อย อันที่จริงแล้วแค่การเดินได้และได้เดินนี่ก็เป็นพรอันประเสริฐไม่น้อย นึกถึงตอนที่ไม่สบายเจ็บขา เดินไม่ได้ ตอนนั้นแค่ขยับไปไหนในห้องแต่ละทีต้องคิดแล้วคิดอีกว่าคุ้มที่จะต้องออกแรง และแลกกับความเจ็บปวดไหม เราเองก็ไม่ค่อยได้ขอบคุณและชื่นชมร่างกายที่ช่วยให้เราเดินเหินไปไหนมาไหนได้สักเท่าไหร่นะ ตั้งใจว่าจะไม่ดูแคลนความเจ็บป่วยแม้เล็กน้อยของคนอื่น
เรื่องความเจ็บป่วยในปีผ่านมาที่น่าจะเป็นไฮไลท์คืออาการแผลร้อนในกว่าสิบแห่งในปากและเป็นอยู่นานเกือบเดือน ช่วงนั้นการกินอาหารแต่ละมื้อแค่คิดก็เหนื่อยและท้อแล้ว ทุกมื้อกินไปน้ำตาคลอไป บางครั้งถึงขนาดคิดว่ายอมอดดีกว่า เริ่มเข้าใจคนที่รับเคมีบำบัดเพื่อรักษามะเร็งแล้ว ว่าทำไมหลายคนจึงบอกว่าไม่เอาแล้ว ขอยอมตายดีกว่า นึกถึงคำพูดพี่ใหญ่ วิศิษฐ์ วังวิญญู ที่ว่าความทุกข์ของเราทำให้เราเข้าใจความทุกข์ของผู้อื่น คนที่เผชิญกับความทุกข์อย่างแสนสาหัสอาจจะเป็นผู้บำเพ็ญตนอยู่บนเส้นทางของพระโพธิสัตว์ก็เป็นได้
หนึ่งในสิ่งที่ประทับใจที่สุดในรอบปีคงต้องมีเรื่องการเห็นตนเองที่หลุดหรือเผลอ บางครั้งก็ทำบางอย่างที่ถ้าคิดโดยใช้เหตุผลก็ไม่ควรทำ แต่ก็ได้ทำลงไปแล้ว ได้เห็นช่วงเวลาที่เราอ่อนแอ ไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่เราอยากจะเป็นทั้งในตอนนั้น และในตอนนี้ ที่น่าตื่นเต้นกว่าก็คือเห็นความอยากของเราที่จะไม่อ่อนแอนี่แหละ ตอนนั้นอาจจะไม่ค่อยทัน ก็เลยรู้สึกแย่กับตนเองมาก จัดการอย่างไรก็ไม่ได้ มาตอนนี้เริ่มเห็นบ่อยขึ้น พอปล่อยมันลงไป เราก็รับได้กับตัวเราทั้งด้านที่อ่อนแอและไม่อ่อนแอมากขึ้น รู้สึกสบายดีไม่ต้องไปแบกอีก แถมเข้าอกเข้าใจคนที่บางทีเขาก็หลุดเหมือนกับเรา พอเราเข้าใจ เห็นใจ ยอมรับ และยอมให้อภัยตัวเองได้ ใจก็เลิกคิดที่จะไปโทษใครต่อใครลงไปมาก ชีวิตนี้เบาขึ้นอีกอักโข
เดินไม่นานสักพักก็ถึงปากซอย ผมรู้สึกทันทีว่าวันนี้คลื่นดีเป็นพิเศษ ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส หัวร่อต่อกระซิกกันให้ได้อบอุ่นแม้เพียงแค่มอง หรือจะส่งยิ้มแบบว่าขอมีส่วนร่วมก็ได้ ที่นี่มีร้านค้าแผงลอยขึ้นชื่อจำนวนมาก บรรดาพ่อค้าแม่ค้าเริ่มทยอยมาตั้งแผงเปิดร้าน สาวเจ้าของแผงคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์ทักทายมาแต่ไกล “สวัสดีปีใหม่จ้า โชคดีมีชัย ร่ำรวยกันหรือยัง?” เรียกเสียงฮาได้ดี ผมเองเคยอุดหนุนสินค้าดีๆ อร่อยๆ ของเธอและเพื่อนๆ เป็นประจำ นึกขอบคุณที่ช่วยดูแลให้ชุมชนเราอิ่มหนำสำราญ
หนึ่งในภารกิจเช้านี้คือไปซื้อกาแฟเจ้าโปรดให้พี่สาว ผมเดินข้ามถนนไปพร้อมกับขอบคุณความสัมพันธ์ของผมกับพี่สาวและกับทุกคนในบ้านที่ดีขึ้นอย่างยิ่ง ผมสามารถชื่นชมเธออย่างที่เธอเป็นได้มากขึ้น ดีใจที่เข้าใจว่าเรื่องราวที่ฝังหัวมาตั้งแต่เล็กมันเป็นเพียงแค่เรื่องราวการปรุงแต่งของผมเองอย่างไร ดีใจที่เราสนิทกันและเธอไหว้วานให้ผมช่วยทำนู่นทำนี่บ่อยขึ้น ผมขอบคุณชาวไร่ที่ปลูกกาแฟและอ้อย คนในฟาร์มที่เลี้ยงวัว และธรรมชาติที่สรรค์สร้างให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงขึ้นมาได้ และท้ายสุดร้านกาแฟที่เสกส่วนผสมเหล่านี้เป็นกาแฟแก้วโปรดที่เชื่อมสัมพันธ์ผมและพี่สาวเข้าไว้กับโลกใบน้อยและจักรวาลกว้างใหญ่นี้
ขากลับผมแวะซื้อพวงมาลัยสำหรับไหว้พระ และสำหรับพวกเราพี่น้องกราบคุณแม่ คุณอาทั้งสองที่บ้าน นึกชมคนร้อยพวงมาลัยว่าฝีมือคล่องแคล่วเหลือเกิน ดูแทบไม่ทัน ที่สำคัญเธอก็ช่างใจดี ยิ้มแย้มเหมือนแม่ค้าอื่นแถวนี้ ที่ไม่ได้บ่นหรือแสดงสีหน้าเวลาผมใช้เวลาเลือกอยู่นาน
ถึงกลางทางเจอทีมเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตเก้าคนทั้งชายและหญิงกำลังตัดแต่งต้นไม้อย่างขะมักเขม้น ทั้งอโศกอินเดีย ประดู่กิ่งอ่อน และตะเบบูย่า-ชมพูพันธุ์ทิพย์ แหมขยันขันแข็งกันจัง ตั้งแต่ปีใหม่เชียว เห็นหลายคนเหงื่อไหลไคลย้อยเพราะแดดเริ่มออกแล้ว ผมเดินย้อนกลับไปหาซื้อน้ำผลไม้และน้ำอัดลมเย็นเจี๊ยบพอคนละขวดคนละกระป๋อง มอบให้พร้อมคำสวัสดีปีใหม่และคำขอบคุณที่ช่วยให้ถนนหนทางสวยงาม ไฟฟ้าไม่ดับเวลาพายุมา พนักงานสาวคนงามกล่าวขอบคุณและแซวพอให้ได้หัวเราะกัน
เดินผ่านบ้านของรุ่นพี่ที่รักและเคารพนับถือกัน ที่รั้วมีต้นและดอกพวงชมพูระย้าออกมาข้างนอก “เด็ดได้เลยนะ เมื่อไหร่ก็ได้” พี่เขาบอกพร้อมรอยยิ้มเมื่อคราวผมไปเยี่ยมเขาที่กลายเป็นเขยเชียงรายไปแล้ว ผมคุยกับบรรดาช่อดอกพวงชมพูที่ดูสวยทุกช่อ เอ่ยปากชักชวนในใจขอไปปักแจกันสักก้าน เด็ดไปก็ขอบคุณทั้งเจ้าพวงชมพูและเจ้าของไปพร้อมกัน ถึงบ้านก็เอาวิชาจัดดอกไม้แบบอิเคบานะที่ร่ำเรียนมาใช้ ได้แจกันง่ายๆ ที่ส่งรัศมีความสุขไปให้ทั้งห้อง
ตกบ่ายหลังจากไปเยี่ยมคุณอาพร้อมกินอาหารมื้อกลางวันที่จัดเตรียมด้วยความรักความเมตตาเช่นเดียวกับมื้อเช้า ผมก็มานั่งในสวนเขียนบทความ แดดร่มลมตกแล้ว ลมโชยเย็นๆ มีแมลงแปลกๆ ที่ผมไม่เคยเห็นแวะเวียนมาเยี่ยม พร้อมด้วยนกต่างๆ ที่เป็นขาประจำ ทั้งกางเขนบ้าน เขาชวา ปรอด กินปลี รู้สึกว่าช่างเป็นวันปีใหม่ที่งดงาม เรียบง่าย และรุ่มรวยจัง
นึกถึงเอสเอ็มเอสที่ได้รับเมื่อคืนจากกัลยาณมิตรนักเดินทางผู้เป็นครูโยคะอยู่ที่เกาะพงัน เธอส่งมาเป็นภาษาอังกฤษแปลความว่า “ชีวิตนั้นเบาสบาย ... สุขสันต์ปีใหม่ และขอให้ได้ใช้ชีวิตอย่างเบาสบาย” ขอบคุณครับ ขอบคุณ :-)
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment