ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ

ฉบับวันที่ 16 กันยายน 2555

ที่บ้านผมนั้นมีปลูกต้นไม้อยู่บ้าง แต่นอกจากที่หิ้งพระแล้ว ในตัวบ้านก็ไม่ค่อยมีไม้ตัดดอกใส่แจกันเอาไว้ ตอนเด็กนั้นไม่เคยคิดจะซื้อดอกไม้เข้าบ้านเลย รู้สึกว่าเรื่องแจกันดอกไม้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่

มาเปลี่ยนไปก็เมื่อคราวไปเรียนต่างประเทศ วันที่ผมได้ไปเยี่ยมเพื่อนที่อพาร์ทเมนต์ เมื่อเปิดประตูเข้าไป โอ้โห ต้นไม้และดอกไม้เต็มห้องเลย เหมือนเดินเข้าไปในสวนพฤกษศาสตร์ หรือในฉากหนังมากกว่าห้องพัก เธอบอกว่าดอกไม้และต้นไม้เหล่านี้ช่วยเธอให้หายเครียดได้มาก

พอกลับบ้าน ผมเดินเลยไปที่โรงรถ ขับออกไปที่ Home Depot ซื้อดอกไม้ ทั้งที่บานแล้วในกระถาง และแบบยังเป็นหัว (bulb) มาปลูกทันที มีทั้งไฮยาซินท์ แดฟโฟดิล และอื่นๆ อพาร์ทเมนต์ผมก็เปลี่ยนไปในบัดดล รู้สึกเลยว่ามีแบบแผนของพลังของความอบอุ่นอ่อนโยนเพิ่มขึ้น

จากนั้นผมก็เริ่มซื้อดอกไม้มาปลูกและจัดแจกัน พร้อมกับการเริ่มสะสมแจกันที่นักศึกษาที่ย้ายหอแล้วไม่เอาไปด้วย ก็จะนำไปวางทิ้งไว้หรือขายราคาถูกเป็นพิเศษ

กลับมาเมืองไทย เมื่อมีโอกาสได้เรียนจัดดอกไม้แบบอิเคบานะกับหมู่เพื่อนชาวจิตตปัญญา ก็ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปอีกมาก ผมชอบและมีความสุขกับการจัดดอกไม้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แถมไม่ต้องใช้ดอกเยอะๆ อีกต่อไป ดอกเดียว ก้านเดียวก็งามได้

แต่กระนั้นก็ยังช่างเลือกอยู่ไม่น้อย ผมจะนิยมดอกไม้ที่ตัดเองจากต้น หรือที่ร่วงหล่นเองตามพื้น ถ้าต้องซื้อ ก็ชอบไปเดินหาที่ปากคลองตลาดด้วยตนเอง ต้องเป็นดอกที่ไม่ค่อยธรรมดาหน่อย ไม่ต้องแพงหรือเป็นดอกไม้นอกก็ได้

ที่ผมไม่นิยมอย่างยิ่ง คือ กล้วยไม้ตามแผงลอย ที่แม่ค้ามาแบ่งและผสมกับใบเตยสักหน่อย ขายควบพวงมาลัยไหว้พระ ด้วยมีอคติส่วนตัวหลายอย่างที่แต่ก่อนก็ไม่ตระหนัก ไม่เคยอนุญาตให้ตนเองซื้อมาจัดเลย

วันก่อนอยากได้ดอกไม้มาไว้สำนักงานสักช่อ แต่หาไม่มีที่ถูกใจ เลยตัดใจซื้อกล้วยไม้สกุลหวาย (Dendrobium) มากำหนึ่งยี่สิบบาท ถึงที่ทำงานแกะออกดูก็ เอ๊ะ งามไม่น้อยนะนี่ แม้ว่าจากมุมมองคนทั่วไปอาจเห็นว่าเขาไม่สมบูรณ์ตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย แต่ค่อยๆ พิจารณา พอหมุนบ้าง ตัดบ้าง แต่งบ้าง ช่วยเลือกด้านที่เขางามที่สุดออกมา ก็ได้แจกันและแก้วใส่ดอกไม้ 5 อัน ที่งดงามไปคนละแบบ แบ่งให้เพื่อนร่วมงาน

เมื่อวานเย็นลงไปนั่งริมน้ำเจ้าพระยา ดูแสงอาทิตย์ที่ไล้ผิวน้ำค่อยๆ เปลี่ยนสี ตกมืดไปเดินเล่นจึงได้กล้วยไม้ราคาสิบห้าบาทขึ้นมาถวายพระหนึ่งกำ ถึงที่พักผมรีบแกะหนังยางออก เพราะสงสารเขาที่ถูกรัดแน่น พบว่าก้านหัก กลีบช้ำและขาดจำนวนมาก

หากเป็นเมื่อก่อน คงนึกบ่นแม่ค้า ผสมวิจารณ์ความหยาบกระด้างของสังคม คละปนไปกับความเสียดายที่ได้ดอกไม้ไม่สวยมา แต่ตอนนี้มีเครื่องมือจิตตปัญญา รู้จักที่จะดูใจระหว่างที่จัดไป จิตอยู่กับการจัด มากกว่าอยู่กับผลงานในอนาคตที่จะออกมา

ราวครึ่งชั่วโมงผ่านไป ได้แจกัน แก้ว ถ้วย ใส่ดอกไม้สำหรับจัดวางถวายพระและในห้องต่างๆ ถึง 8 แห่ง เป็นแบบกิ่งยาวหลายดอกบ้าง สองสามดอกบ้าง หรือแม้กระทั่งดอกเดียวก็มี

เช้าตื่นขึ้นมา สวัสดีวันพระ หากดอกไม้ยิ้มได้ พวกเขาคงส่งยิ้มให้กับเรา เพราะเขาได้พัก ได้ฟื้น ทุกดอกงดงามยิ่งกว่าเมื่อคืน ดอกตูมบางดอกก็ค่อยแย้มกลีบน้อยๆ หากเป็นเมื่อก่อนพวกเขาคงไม่ได้รับโอกาสให้เผยความสง่างาม และความแช่มบานให้ได้ชื่นชมเช่นนี้

คุณประภาส ชลศรานนท์ เขียนถึงผู้ใหญ่ที่ท่านเคยแนะนำว่าหากมีเงินสองบาท หนึ่งบาทให้ซื้อข้าว อีกบาทให้ซื้อดอกไม้

บัดนี้ ผมเดินทางมาจนเข้าใจด้วยตนเองแล้วว่าคำพูดนั้นหมายถึงอะไร

1 comments:

pooklook88 said...

2 บาท แบ่งอาหารกาย และอาหารใจอย่างละครึ่ง

อืมมมม