เสวยสุข ด้วยสติ


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Home
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2548


ล่วงเข้าวันที่เจ็ดของเทศกาลกินเจแล้วครับ คุณผู้อ่านได้มีส่วนร่วมในเทศกาลนี้บ้างหรือเปล่า?

สัปดาห์ที่ผ่านมา มองไปทางไหนก็เห็นแต่ธงสีเหลืองปักกันไสว เย้ายวนใจให้เข้าร่วมบริโภคบุญกินอาหารเจ ลดละการเบียดเบียนชีวิตสัตว์เพื่อนร่วมโลกของเรา ใครที่อยากจะทำบุญ ทำสิ่งดีๆ ให้กับโลกและตัวเอง ก็ได้ถือเอาโอกาสนี้ ถือเอากระแสเทศกาลกินเจ ละเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ไปด้วย เพราะนอกจากจะอิน
เทรนด์แล้ว ยังซื้อหารับประทานได้ง่าย ไม่เหมือนช่วงนอกเทศกาลที่จะหารับประสานก็ยุ่งยากวุ่นวายกว่า

แต่วันนี้ผมไม่ได้มาชักชวนคุณผู้อ่านทั้งหลายมาทานเจกันหรอกครับ อยากเชื้อเชิญให้ทุกท่านได้เสวยสุข บริโภคกันอย่างมีความสุข ตามจริตตามความชอบ และปัจจัยจำกัดของใครของมันกัน ไม่ว่าคุณจะทานเจหรือไม่ก็ตาม

เพราะเราทุกคนล้วนต่างเลือกบริโภคอาหารด้วยเหตุผลต่างๆ กันไป บ้างเลือกจากประโยชน์ บ้างเลือกจากราคา บ้างก็เลือกเพราะความอร่อย แต่ละคนมีความชอบในรสชาติอาหารแตกต่างกันออกไป ใช่ว่าทุกคนจะอิ่มเอมกับอาหารเจได้เท่าๆ กันใช่ไหมครับ? บ้างก็ชอบทานปลา บ้างก็ชอบทานผัก ฉะนั้น สำหรับคนที่ไม่ชอบผักแต่มักเนื้อ ก็คงจะรู้สึกทุกข์กับอาหารเจไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะถ้าเป็นคนมักเนื้อที่ตั้งใจไว้ว่าเทศกาลงานบุญจะอดทนรับประทานเจเพื่อให้ได้บุญ จึงมีโอกาสสูงมากที่จะกินเจไปเป็นทุกข์ไปด้วยไม่พึงพอใจกับรสชาติที่ไม่คุ้นลิ้น

ในอีกกรณี บางคนตั้งใจกินเจไปจนจบคอร์สเทศกาล แต่เริ่มทานไปได้ 5 วัน ดันมีเหตุให้เผลอทานเบเกอรี่อันมีส่วนประกอบของนมเนย เพียงเท่านั้นก็รู้สึกแย่ แถมพร่ำบ่นกับคนใกล้ตัวที่บ้านว่า “ว้า ไม่น่าเลย” อยู่อย่างนั้นทั้งวัน อย่างนี้ก็เป็นอีกกรณีที่บริโภคแล้วไม่มีสุขครับ ทั้งๆ ที่การเลือกที่จะกินอะไรนั้น ตัวเราเองนี่แหละที่เป็นคนตัดสินใจ จะมีใครมาบังคับก็หาไม่

แปลกไหมละครับ? ประสบการณ์การกินเจเหมือนกัน แต่กลับมีผลต่อคนต่างกัน ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ต่างกันนี้ ล้วนมาจากประสบการณ์การกินเดียวกัน

ประเด็นของเรื่องก็คือ ใจของเราเองครับ คนที่ทานเจหรือไม่ทานเจ แต่ยังบริโภคอย่างมีความสุขได้ นั่นเพราะเขาเอาใจไปจับกับประสบการณ์ในเชิงบวก ความรู้สึกเป็นสุขก็เกิดได้ไม่ยาก

ในทางกลับกัน คนๆ เดิมถ้าเอาใจไปจับกับเรื่องเดิมในทางลบ กินเจแล้วคิดว่าไม่อร่อย รสชาติไม่ดี หรือมัวแต่นึกถึงบะหมี่หมูแดงเข้า อย่างนี้กินเจไปก็ไม่มีความสุขแน่ๆ ครับ เพราะใจมันไปเสียแล้ว ควบคุมใจตัวเองไม่ได้

กุญแจสำคัญของการเสวยสุข คือการควบคุมตัวเองครับ รู้จักรู้ใจตนว่ากำลังทำอะไร และกำหนดใจให้ยินดีกับสิ่งนั้นๆ ได้ ไม่ปล่อยให้ใจลอยล่องไปหาอาหารที่ไม่อยู่ตรงหน้า หรือจมจ่อมใจกับอาหารที่กำลังทานว่าน่าจะอร่อยหรือถูกปากมากกว่านี้ ความสุขจากการบริโภคไม่ได้ขึ้นอยู่กับรสชาติหรือหน้าตาของอาหารเท่านั้น แต่มาจากใจเราที่ไปจับเอาอาหารต่างหากครับ หากสามารถยินดีกับอาหารเจที่อยู่ตรงหน้า คุมใจได้ก็สบายใจไม่เป็นทุกข์

การควบคุมตัวเอง ควบคุมใจ อีกนัยหนึ่งคือการมีสติ รู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไร และที่สำคัญมากคือมีความสุขกับสิ่งนั้นนั่นเองครับ

ฉะนั้น แม้ว่าจะเป็นช่วง J-season แล้วเราเผลอไผลหรือมีเหตุให้ไปทานซูชิเข้า เราก็ควรรู้ตัวว่ากำลังทานซูชิด้วยสาเหตุใด และอยู่กับปัจจุบันขณะที่มีซูชิตรงหน้า มีความสุขกับการรับประทานซูชิ ดีกว่าทานไปใจก็รู้สึกผิด ตำหนิตัวเองว่าไม่น่าหลุดเจเลย ไม่เป็นผลดีหรอกครับ ใจจับสิ่งนี้เหตุการณ์นี้ในแง่ลบ ตัวเราก็รู้สึกไม่ดี อาหารตรงหน้าก็ไม่อร่อย สู้ยินดีกับอาหารไม่เจที่อยู่ตรงหน้าดีกว่า (โดยตั้งใจว่าคราวหน้าจะมีสติให้มากกว่านี้ ไม่หลุดอีก) หากทานไปกระวนกระวายใจไป จะเป็นการเสวยสุขได้อย่างไรครับ

การควบคุมใจให้เสวยสุขนี้ ยังนำไปประยุกต์ลองใช้กับสถานการณ์ต่างๆ นานาในชีวิตเราได้อีกมากมาย ให้เป็นการเสวยสุขทุกๆ วันได้ง่ายๆ ว่าด้วยการควบคุมใจ ปรับทัศนะ สร้างทัศนคติที่เหมาะสมต่อการดำเนินชีวิตครับ

ตัวอย่างอันหนึ่ง คือการออกนอกบ้านไปดูหนังช่วงสุดสัปดาห์ ถ้าเรารอนแรมเดินทางไปห้างสรรพสินค้าแล้วกลับพบว่าภาพยนตร์เรื่องดังที่หวังจะชมนั้น หน้าโรงคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนรอซื้อตั๋วเข้าคิวยาวเหยียดร่วมร้อยเมตร เพราะเหตุนี้ถึงทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนปรับนโยบายไปทานอาหารแล้วซื้อของใช้ในซูเปอร์มาร์เก็ตกลับเข้าบ้านแทน เราก็ไม่ควรก่นด่าสภาวการณ์หน้าโรงไว้ในใจให้รกและหนัก หันมาสนุกสนานกับการเลือกซื้อของกินของใช้ตรงหน้า เพราะสถานการณ์ที่เราอยู่ ณ ขณะนี้เป็นการจับจ่ายใช้สอย หาใช่การชมหนังนะครับ จะไปละล้าละลังคิดถึงมันไม่เลิกทำไม นอกจากจะทำให้เราเสียดาย รู้สึกแย่ที่อดดูแล้ว เราก็พลอยช็อปปิ้งไปอย่างแกนๆ อย่างไม่มีความสุขอีกด้วย

ลองดูเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน โดยเอาบทเรียนจากการเสวยสุขช่วงเทศกาลกินเจไปประยุกต์ทดลองใช้กับหลายๆ เรื่องดีไหมครับ? แล้วคุณจะพบว่า ความสุขง่ายๆ หาได้ใกล้ๆ ตัว ที่หัวใจคุณเอง :-)

0 comments: