ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตวิวัฒน์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 11 กันยายน 2550


งานประชุมสถาบันโนเอติกซายน์ (Institute of Noetic Sciences) ในมลรัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อกลางปีที่ผ่านมาเป็นที่พบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของคนที่สนใจเรื่องจิตวิวัฒน์ จำนวนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นักคิด นักปฏิบัติ นักวิจัย และผู้สนใจพันกว่าคนที่มาพบกันเพื่อนำเสนอความรู้ความเข้าใจล่าสุดเกี่ยวกับการปฏิวัติจิตสำนึก (consciousness revolution) สุขภาวะทางจิตวิญญาณ และกระบวนทัศน์ใหม่ บรรยากาศในงานเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างยิ่ง เพราะมากไปด้วยความคิดปรารถนาดีต่อโลก

ความรู้สึกที่ดูเหมือนเป็นเอกฉันท์ คือ โลกกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตอย่างรุนแรง โดยในขณะเดียวกันก็มีความพยายาม ความสร้างสรรค์จากทั่วทุกภูมิภาคของโลกในการแสวงหาทางออก แต่สิ่งที่ดูจะมีความคิดเห็นต่างกันคือคำตอบที่ว่า "โลกจะรอดวิกฤตครั้งนี้หรือไม่?"

ความรู้สึกของที่ประชุมคล้ายคลึงกับแนวของหนังสือ Waking Up in Time ที่ปีเตอร์ รัสเซลล์ ชวนให้ตั้งคำถามว่ามนุษยชาติทั้งหมดจะตื่นขึ้นทันกับสถานการณ์ไหม? (สวนเงินมีมา โดยการสนับสนุนของกลุ่มจิตวิวัฒน์จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้)

รัสเซลล์ที่มีดีกรีทางฟิสิกส์ทฤษฎีและจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ใช้ความรู้ทางวิชาการหลากหลายแขนง ทั้งชีววิทยา ฟิสิกส์ ปรัชญา ศาสนา ฯลฯ อธิบายปรากฏการณ์ปัจจุบันที่ทำให้เกิดการมองโลกในแง่มุมใหม่ๆ ดังนี้ ๑) วิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ที่นับวันจะดูเหมือนหมุนเร็วขึ้นไปๆ ทุกที ส่งผลให้เกิดผลกระทบอันไม่พึงปรารถนาในทุกระบบของสังคมและสิ่งแวดล้อม ๒) วิเคราะห์ว่ารากเหง้าของปัญหาที่แท้จริงคือ การมีจิตสำนึกไม่ถูกต้อง ๓) ทางออกของวิกฤตเบื้องหน้านั้นไม่ได้อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงทางวัตถุ เครื่องยนต์กลไกภายนอก หากแต่ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายใน เป็นการเปลี่ยนจิตสำนึกอย่างลุ่มลึก โดยท้ายสุด ๔) นำเสนอแนวทางรูปธรรมของการขยายจิตสำนึก จากจิตอันคับแคบส่วนตัวไปมีจิตใหญ่ มีจิตวิวัฒน์

ลำดับการเล่าเรื่องชวนให้นึกถึงนักคิด นักปฏิบัติคนสำคัญของโลกเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้ว คือ พระสมณโคดม ท่านก็กล่าวไว้ทำนองนี้ พระพุทธเจ้าได้อธิบายถึงความทุกข์ของมนุษย์ ถึงเหตุที่มาคือสมุทัย ความสิ้นไปแห่งทุกข์นั้นคือนิโรธ และหนทางประเสริฐอันมีองค์แปดคือมรรค

ประเทศไทยนับถือคุ้นเคยกับพุทธแบบหีนยาน บางครั้งอาจมองการปฏิบัติ การบรรลุธรรม การแก้ปัญหาเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล บางครั้งก็เข้าใจผิดเห็นความเมินเฉย ไม่ใส่ใจ ว่าเป็นอุเบกขา (ความวางใจเป็นกลาง) หนังสือของรัสเซลล์ชวนให้เรามองเรื่องอริยสัจสี่ในระดับมนุษยชาติหรือในระดับโลก เห็นทุกข์ของโลก สมุทัยของโลก นิโรธของโลก และมรรคของโลก

เรื่องนี้สอดคล้องกับทฤษฎีกายา (Gaia Theory) ที่พูดถึงโลกทั้งใบเป็นหนึ่งเดียวกัน และมีจิตของโลกด้วย โดยเราอาจเปรียบเทียบว่าถ้าตัวเราประกอบด้วยเซลต่างๆจำนวนมาก โลกก็อาจเป็นเหมือนอย่างเราคือประกอบด้วยมนุษย์เป็นจำนวนมาก

สุขภาพที่ดีของเราต้องมาจากสุขภาพที่ดีของเซลต่างๆ สุขภาพที่ดีของโลกก็ต้องมาจากสุขภาพที่ดีของมนุษย์ในโลก

การที่ในประเทศไทยและทั่วโลกเราพบผู้ที่เป็นมะเร็งมากขึ้น เซลของเราเติบโตขยายขนาดมากเกินไปและแบ่งตัวไม่รู้จักหยุดกลายเป็นมะเร็ง ชวนให้ตั้งคำถามว่านี่เป็นภาพสะท้อนของการที่มนุษย์เพิ่มประชากรไม่หยุด แถมแต่ละคนยังทั้งบริโภค ทั้งสะสมอย่างไม่รู้จักพอหรือไม่?

เซลมะเร็งนั้นขาดความเชื่อมโยงกับองคาพยพต่างๆของร่างกาย ไม่สามารถสื่อสารกับสมองและส่วนต่างๆได้ ทำให้โตแบบไม่รู้จักพอ โตจนเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่เซลนั้นอาศัยอยู่

เป็นไปได้หรือไม่ว่าวิถีการดำเนินชีวิตและการเรียนรู้ทุกวันนี้ กำลังทำให้เราแปลกแยกจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆในโลกมากยิ่งขึ้น เป็นไปได้ไหมว่าการศึกษาที่เรียนแต่เรื่องนอกตัว แถมยังเป็นรายวิชา เป็นชิ้นๆ กล่องๆ ขัดกับโลกของความเป็นจริงที่ทุกอย่างล้วนเป็นความสัมพันธ์ ที่ไหลเลื่อนเคลื่อนที่ เชื่อมโยงกันทั้งหมด ทำให้เราไม่รู้จักตัวเองและไม่สามารถสื่อสารกับโลกได้ ท้ายสุดก็กลับมาเป็นผลร้ายต่อตัวเอง

หากเป็นเช่นนี้แล้ว มนุษย์ที่เป็นเหมือนเซลมะเร็งจะเรียนรู้ที่จะกลับมาสื่อสารกับโลกได้ไหม?

ตัวอย่างของคนที่เป็นมะเร็งแล้วหายได้โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือทำเคมีบำบัด เป็นความหวังว่ามนุษย์น่าจะยังมีศักยภาพในการเรียนรู้นี้อยู่

น่าสังเกตที่นักปราชญ์ นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการชั้นนำทั่วโลก อย่างปีเตอร์ รัสเซลล์ (การปฏิวัติทางจิตสำนึก Consciousness Revolution) เคน วิลเบอร์ (ทฤษฎีบูรณภาพ Integral Theory) แดเนียล โกลด์แมน (ปัญญาทางอารมณ์ Emotional Intelligence-EQ) หรือ ฟราสซิสโก วาเรลา (ทฤษฎีซานติอาโก Santiago Theory) กำลังหันมาเห็นสมบัติล้ำค่าที่คนไทยมีอยู่แต่ไม่ค่อยได้ใส่ใจอย่างจริงจังกับมันมานาน หลายคนเดินทางมาฝึกถึงภูมิภาคตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นทิเบต อินเดีย หรือจีน

คนเหล่านี้ รวมถึงสมาชิกกลุ่มจิตวิวัฒน์ เชื่อว่ามนุษยชาติมีศักยภาพในการสื่อสารกับโลกได้ มนุษยชาติทั้งหมดพ้นทุกข์ร่วมกันได้ ผ่านการเรียนรู้ร่วมกัน (Collective Transformative Learning) โดยประตูนั้นอยู่ที่การเปลี่ยนจิตสำนึก จากจิตเล็กอันคับแคบ แยกส่วน และบีบคั้น ไปสู่จิตใหญ่อันกว้างขวาง เชื่อมโยง และมีอิสรภาพ

ช่องทางหรือรูปธรรมของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีได้หลากหลาย เช่น การทำงานอาสาสมัคร กระบวนการทางศิลปะ-สุนทรียภาพ การบริหารการบริหารจิต เช่น โยคะ การเรียนรู้จากประสบการณ์เกี่ยวเนื่องกับความตาย องค์ความรู้ทางศาสนา รวมไปถึงการเรียนรู้แบบจิตปัญญาศึกษา (Contemplative Learning) ที่เป็นการเรียนรู้ด้วยใจอย่างใคร่ครวญ เชื่อมโยงกันในสามภาค คือ ภาคความรู้ ภาควิชาชีพ และภาคจิตวิญญาณ

แม้ว่าการปฏิวัติทางจิตสำนึกจะมีช่องทางที่หลากหลายมากมาย แต่ล้วนมีหัวใจหรือแก่นร่วมกัน คือ การตื่นรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบันขณะ ปล่อยวาง ลดการยึดติดในอดีตและอนาคต

กลุ่มเซลมะเร็งมีศักยภาพที่จะกลับมาสื่อสารกับร่างกายอีกครั้ง

มนุษยชาติก็มีศักยภาพในการที่จะสื่อสารกับโลกอีกเช่นกัน

เพียงแต่พวกเราแต่ละคน และมนุษยชาติโดยรวม จะตื่น(รู้)ทันไหม?!

ทำซ้ำความสุข


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 11 กันยายน 2548


เราจะทำงานอย่างมีความสุขได้อย่างไร? เป็นคำถามที่คอลัมน์ Happiness@Work พูดถึงอยู่เสมอๆ โดยในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้พูดถึงการทำความดีโดยสะดวกใจ ไม่ต้องอ้างเหตุหรือหาโอกาส การเข้าใจและเชื่อมั่นในเพื่อนร่วมงานที่มีบุคลิกทัศนะแตกต่างกัน ตามแนวคิดสัตว์ ๔ ทิศ ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการหาความสุขโดยเชิญชวนให้เราเปลี่ยนมุมการมองโลกรอบตัวครับ

นอกจากรู้แนวทางแล้ว การฝึกมุมมองอย่างที่เราอยากให้เป็นบ่อยๆ ก็ทำให้เราสามารถมีมุมมองเช่นนั้นได้ง่ายๆ มากขึ้น เหมือนกับการฝึกออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาครับ ยิ่งเล่นก็ยิ่งเก่ง ยิ่งมีทักษะ เรื่องการสร้างความสุขให้ตนเองก็เช่นกัน

ผมเรียกวิธีการฝึกนี้ว่า “การทำซ้ำความสุข” ครับ

เรื่องการทำซ้ำนี้ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ท่านเคยได้กล่าวถึงไว้ในการประชุมกลุ่มจิตวิวัฒน์ อันเป็นกิจกรรมหนึ่งของแผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ ดำเนินการโดยมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ สนับสนุนทุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อส่งเสริมสุขภาวะทางจิตวิญญาณ (spiritual health) ของสังคมไทย

การทำซ้ำดังที่ท่านได้กล่าวถึง คือสิ่งที่เราคิดและทำบ่อยๆ จนเคยเป็นนิสัย ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว แต่เราไม่เคยได้นึกว่าพฤติกรรมคุ้นเคยของเรานี้จะมีผลอย่างไรใช่ไหมครับ? อาการที่ทำอะไรจนติดและชินนี้มิได้เป็นเพียงความเคยชินธรรมดาเท่านั้นครับ ทางวิชาการเราทราบกันแล้วว่าสมองส่วนที่ต้องใช้มากๆ หรือได้รับการฝึกนานๆ จะมีขนาดใหญ่ขึ้น

ตัวอย่างผลงานวิจัยยืนยันออกมาชัดเจน อาทิ งานของมหาวิทยาลัยลอนดอนที่ศึกษาสมองส่วน ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการทิศทางและความจำ นักวิจัยพบว่ากลุ่มคนที่ต้องเดินทางและจดจำทิศทางสถานที่ต่างๆ เช่น คนขับแท็กซี่นั้นสมองส่วนนี้จะใหญ่กว่าคนทั่วไป และยิ่งเป็นคนขับแท็กซี่ที่มีประสบการณ์ฮิปโปแคมปัสก็ยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น

นั่นหมายความว่า หากเราเฝ้าวนเวียนคิดเรื่องอะไรหลายๆ ครั้ง ทำอะไรในรูปแบบเดิมๆ หลายหน เช่น กระดิกนิ้วชี้บ่อยครั้งเข้า สมองส่วนที่สั่งการจะผูกแบบแผนพฤติกรรมนี้ไว้ และมันพร้อมจะทำงานได้ง่ายและทันทีที่มีโอกาสเอื้ออำนวยครับ! เรียกได้ว่าเผลอเมื่อไรเป็นได้กระดิกนิ้วชี้ทุกที

ถ้าลองนึกถึงการเดินทางไปทำงานของเราในเช้าของแต่ละวัน เราพบกับสภาพจราจรจลาจลทุกวัน ไหนจะถูกคันอื่นปาดหน้า ไหนจะต้องติดรอไฟแดงนานๆ ถ้าทุกเช้าของเรามีแต่การสบถด่าเพื่อนบนถนนร่วมทาง พร่ำบ่นถึงความไร้มรรยาทของคนขับรถคันอื่น หรือเราเองที่ต้องเบียดซ้ายป่ายขวาแซงคันข้างหน้าเพื่อไปให้ทันเวลาทำงาน

สิ่งที่ทำ คิด และรู้สึกกับมันทุกเช้านี้ เป็นการทำซ้ำครับ ครั้งต่อๆ มาเมื่อเราขึ้นนั่งหลังพวงมาลัย เราก็พร้อมจะสบถ พร้อมจะอารมณ์เสียได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าจะไม่ใช่วันที่รถติดเหมือนเช้าวันทำงานก็ตาม นี่แหละครับ การทำอะไรซ้ำๆ เหมือนการขุดร่องทีละน้อยทุกวัน ร่องอารมณ์นั้นก็ลึกลงเรื่อยๆ ในสมองของเราเอง

ความเครียดและอารมณ์เสียที่เกิดบ่อยครั้งนี้ทำให้เราเกิดร่องอารมณ์ที่เป็นทุกข์ครับ หากยังจำที่ผมเคยเล่าๆไว้ได้ สมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์ขุ่นๆ ทั้งหลายนี้คือ อมิกดาลา (Amygdala) ครับ การเกิดร่องอารมณ์ทุกข์ที่ลึกขึ้น ก็คือการทำงานของอมิกดาลาที่เติบโตขึ้นนั่นเอง แล้วเราจะทำซ้ำเรื่องทุกข์ให้มันมีโอกาสเกิดได้มากขึ้นเพื่ออะไรล่ะครับ ?

กลับกันครับ ถ้าเราทำซ้ำในสิ่งที่เป็นความสุขละครับ แน่นอนครับ สมองของเราก็จะพัฒนาการสั่งงานและเอื้อให้ความคิดพฤติกรรมสร้างสุขนั้นเกิดง่ายขึ้น การคิดหรือทำอะไรซ้ำๆ ให้เกิดสุข ยังเป็นการเลี่ยงโอกาสที่ทำให้เรามีอารมณ์ขุ่นหมองและความเครียด เป็นความทุกข์ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามของกันครับ

สำหรับชีวิตการทำงานในแต่ละวัน ถ้าเราสร้างความคุ้นเคยด้วยการขอบคุณลูกทีมทุกครั้งที่เขาทำรายงานให้ แทนที่จะนึกว่าเขาทำตามหน้าที่ บอกตัวเองว่าโชคดีที่ได้เรียนรู้ทุกครั้งที่หัวหน้าทีมตักเตือนแนะนำ แทนที่จะคิดว่าถูกตำหนิ นั่นคือเรากำลังทำซ้ำความสุขครับ

วันต่อไปในชีวิตการทำงาน ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดที่สุ่มเสี่ยงให้เกิดความทุกข์ สมองส่วนที่เราฝึกปรือพัฒนาให้โน้มนำในทางที่คิดและทำให้เกิดสุขจะเข้ารับมือแทน

จากเดิมที่แต่ละเช้าต้องหงุดหงิดกับการเดินทาง พกจิตใจขุ่นมัวมาถึงที่ทำงาน จนตลอดทั้งวันก็พาลเครียดไปหมด เราอาจเปลี่ยนแปลงด้วยการร้องเพลง “เป็นสุขในปัจจุบัน” ของหมู่บ้านพลัม เพื่อมีสติแจ่มใส และกระตุ้นเตือนตัวเองว่าไม่ต้องรีบเร่ง กล่อมจิตใจให้ช้าลง อารมณ์ก็แจ่มใส มีสมองที่พร้อมรับเรื่องดีๆ ในที่ทำงาน ทำอย่างนี้ได้ทุกๆ ครั้ง สร้างความเคยชินให้กับความสุข ตลอดทั้งวันและวันต่อไปในที่ทำงานก็จะมีโอกาสเปิดรับความสุขมากขึ้นแน่นอนครับ

เราเปิดประตูรับความสุขให้กว้างขึ้นแล้ว เขาก็ไม่ได้ไปไหนครับ เพราะความสุขที่มาหาเรานี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเราคนเดียว แต่ยังทำให้เพื่อนร่วมงานรับเรื่องดีๆ จากเรา เกิดเป็นความสุขใจให้แก่คนรอบข้างของเราด้วย สุขกันทั้งขึ้นทั้งล่องก็ว่าได้

หมั่นคิดในเชิงบวก พยายามให้เวลากับงานที่เรารักและสนุก หลีกเลี่ยงการคิดการทำอะไรที่เป็นทุกข์ มาทำซ้ำความสุขกันเถอะครับ! :-)


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Home
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 28 สิงหาคม 2548


"ได้เรียนรู้จากกระบวนการค่าย ของ จิตอาสา ว่า เรามีจิตปัจเจก กันอยู่เยอะ ที่ทำให้ทั้งตัวเราเองก็ทุกข์ คนอื่นก็ทุกข์ มันจะเห็นชัดขึ้น ในค่ายอาสาฯ และสิ่งที่จะเยียวยาเปลี่ยนแปลงมันได้ มีสิ่งเดียว ก็คือ 'ความรัก' ค่ะ มันทำให้เราก้าวพ้นตัวเองไปทำอะไรเพื่อผู้อื่นได้อย่างมีความสุข"

ข้อความข้างต้นนี้ อาจารย์น้อย ผู้ประสานงานกิจกรรม ปลูกต้นไม้ต่อลมหายใจให้โลก เขียนเล่าจากพื้นที่ปลูกป่ากับดาบวิชัยและหลวงพี่ไพศาส วิสาโล ในเวบไซต์ของเครือข่ายจิตอาสา (VolunteerSpirit.org) ไว้อย่างน่าประทับใจ

ทำไมต้องเป็นงานอาสา ? งานอาสามีความน่าสนใจหลายอย่างครับ ทุกคนที่อาสามาทำงานร่วมกันแม้จะมีที่มา อาชีพหรือฐานะต่างกัน แต่เมื่อมาเป็นอาสาทุกคนก็เท่าเทียมเสมอกัน พร้อมกันนั้นงานที่ทำก็เพื่อคนอื่นเพื่อส่วนรวม ไม่มีตัวเงินเป็นผลตอบแทน

การเริ่มมีจิตอาสาและเข้าสู่การเป็นอาสาสมัครนั้น เริ่มตั้งแต่มีใจที่เห็นคุณค่าของส่วนรวม มีความเมตตาต่อคนอื่น ผนวกกับความมุ่งมั่นต้องการมีส่วนร่วมลงมือทำ ไปจนถึงการได้เรียนรู้ระหว่างคนทำงานด้วยกัน และการเห็นความสำคัญของผลที่เกิดทั้งตัวงานและผลในใจของอาสาสมัครเอง เหล่านี้แหละครับคือกระบวนการอาสาสมัคร

ไม่ใช่คนที่มาทำงานอาสาต้องเป็น "คนดี" ที่ "บรรลุ" แล้วนะครับ หลายคนมาแบบไม่ได้คิดอะไรมาก มาเพราะ อยากสนุก เพื่อนลากมา หรือแค่รู้สึก "อยากให้" เฉยๆ ก็เท่านั้น

แต่ความน่าทึ่งของกระบวนการอาสาสมัครก็คือ มันเป็นกระบวนการที่ทั้งสนุก น่ารัก เซ็กซี่ และมีเสน่ห์ ในตัวมันเอง คนที่ได้มีโอกาสมาเข้าร่วมกิจกรรมแล้ว มักจะหลงรักมันไม่ลืม ราวกับ Love at first sight ปานนั้นเลย ยิ่งเดี๋ยวนี้มีกิจกรรมที่จ๊าบๆ เกิดขึ้นมากมายสำหรับทุกเพศ ทุกวัยด้วย

การทำงานอาสาเป็นกระบวนการที่ทำให้คนเกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน (fundamental transformation) ได้ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่ชั่วครั้งชั่วคราวประเดี๋ยวประด๋าว แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายในครับ อาสาหลายคนบอกไว้ชัดเจนว่าการมาทำงานอาสาได้เปลี่ยนความคิดและการมองโลกของเขาและเธอ ดังเช่นที่เราได้อ่านความในใจของอาสาปลูกป่าว่า ความรักช่วยให้มองข้ามความเป็นตัวเราของเราไปสู่การร่วมทุกข์และทำอะไรเพื่อคนอื่น

ความรักและจิตอาสาเพื่อคนรอบข้างนี้ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกหรือเรื่องที่คิดไปเองนะครับ เพราะฮัมเบอร์โต มาทูรานา นักชีววิทยาและนักปรัชญาชาวชิลี ผู้โด่งดังจากแนวคิดเรื่อง ออโตพอยเอซิส (Autopoiesis) และ ทฤษฎีซานติอาโก (Santiago Theory) อันเป็นทฤษฎีแรกทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงจิตกับสสาร เข้าด้วยกัน ได้กล่าวว่า "ความรักเป็นอารมณ์ที่ขยายขอบเขตปัญญา" ของมนุษยชาติ เพราะความรักนั้นเชื่อมโยงเราเข้าด้วยกัน

ความรักที่เชื่อมโยงเราทุกคนเข้าด้วยกันนี่แหละครับที่เป็นพื้นฐานของจิตอาสา ในช่วงต้นปีนี้ เราได้เห็นผู้คนจำนวนมากเดินทางลงใต้ไปทำงานอาสาช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิ อาสาสมัครกลุ่มต่างๆ ได้ร่วมใจกันทำงานอย่างแข็งขัน ไม่ว่าจะเป็นที่วัดย่านยาว ที่ศูนย์อาสาสมัครสึนามิ และที่อื่นๆ อีกมาก หลายคนได้เล่าว่า การเป็นอาสาสมัครทำให้ได้พบเห็นทุกข์ของคนอื่น ได้เข้าไปมีส่วนรับรู้อย่างเห็นใจและเข้าใจ เกิดความรักที่ไม่จำกัดแค่เรื่องเกี่ยวกับตัวเอง แต่เป็นความรักที่มีให้แก่ผู้คนรอบข้าง ทำให้เกิดความสุขราคาถูก ที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายๆ

งานอาสาจึงส่งเสริมให้ทุกคนได้มีจิตอาสา ในการทำสิ่งดีๆ เพื่อสังคม หากคุณสนใจลองมาร่วมกิจกรรมอาสาสมัคร ... ตอนนี้เครือข่ายจิตอาสา ได้รวมตัวกัน "บอกบุญ" เนื่องในเทศกาลบุญใหญ่ของชาวไทย คือ เข้าพรรษา ในช่วงสามเดือนนี้ มีกิจกรรมให้ร่วมมากมาย อาทิ

๑) สืบสานคลื่นน้ำใจกู้ภัยสึนามิ งานฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและที่พักอาศัย จ.พังงา
๒) ผ้าป่าเพื่อการพัฒนาเด็ก ปรับปรุงพื้นที่ดูแลเด็กแรกเกิดถึง 6 ขวบ กรุงเทพฯ
๓) แบ่งปันน้ำใจให้เพื่อนร่วมโลก ดูแลสุนัขและแมวร่วมกับป้าสำรวยผู้อาทร จ.นครนายก

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสร้างบ้านดิน นวดเด็กบ้านปากเกร็ด และปลูกป่า ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสมัครได้เลยครับ ที่หมายเลข 02-866-2721-2 และ www.VolunteerSpirit.org ... ด่วนนะครับ เพราะบางกิจกรรมเริ่มเต็มแล้ว

จิตอาสา ยังเป็นกิจกรรมที่ทั้งครอบครัวสามารถมีส่วนร่วมด้วยกันได้ อย่างในงานปฐมนิเทศอาสารุ่นแรก เมื่อวันเสาร์ที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา อาสาหลายคนบ้างก็พาแฟน พาครอบครัวมาด้วย ทั้งครอบครัวก็ได้เรียนรู้การทำงานเพื่อคนอื่นที่แตกต่างไปจากชีวิตการทำงานปกติ การมีความรักที่เผื่อแผ่ให้ผู้คนรอบข้าง แน่นอนว่าย่อมส่งถึงคนใกล้ตัวในครอบครัว และเสริมพลังรักให้กับคนที่บ้านได้มากขึ้น

ไม่เพียงแต่กิจกรรมจิตอาสานะครับ หากคุณมีเวลาจำกัดไม่สะดวกที่จะร่วมทางกับกิจกรรมต่างๆ ข้างต้น คุณอาจเริ่มพัฒนาความรักที่คุณมีให้กับคนรัก ความรักต่อพ่อแม่ ความรักกับเพื่อนฝูง ไปสู่การมีจิตอาสาทำสิ่งดีๆ เพื่อเขาเหล่านั้น โดยไม่ต้องรอโอกาส หรือเทศกาลพิเศษใดๆ แล้วจะพบว่า การก้าวพ้นตัวเองไปทำอะไรเพื่อผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ดังที่อาจารย์น้อยกล่าวไว้ เป็น Happiness@Home ความสุขง่ายๆ ทำเองได้ที่บ้านทุกวันเช่นเดียวกัน

"วันนี้ คุณรักใครหรือยัง?" อาจารย์น้อยเขียนส่งท้ายบทความของเธอไว้ :-)


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 14 สิงหาคม 2548


ผมได้พาคุณไปรู้จักกับหมี จอม detail กระทิง นัก action และหนู ผู้ compromise ไปแล้ว หากคุณยังไม่พบว่าหัวหน้า เพื่อนร่วมทีม หรือแม้แต่ตัวของคุณเอง มีลักษณะสไตล์เข้าข่ายทั้ง ๓ ดังว่านี้เลย ลองมาทำความรู้จักกับเพื่อนอีกคนในครั้งนี้กันครับ

ย้อนกลับไปสักเล็กน้อย เมื่อ ๓ ครั้งที่ผ่านมา เราได้รู้จักเพื่อนที่มีสไตล์พื้นฐานความคิดแตกต่างกัน ๓ แบบ เทียบเคียงกับแนวคิดสัตว์ ๔ ทิศของชนพื้นเมืองอเมริกัน ได้แก่ หมี บุคคลที่ชอบลงรายละเอียด สนใจข้อมูล และการทำงานเป็นขั้นตอน กระทิง ขาลุยผู้มุ่งมั่นและชิงลงมือทำงานโดยไม่ให้เสียเวลา และให้ความสำคัญกับการได้ลงมือทำงาน หนู ผู้ให้ความสนใจกับเพื่อนร่วมงาน ความสัมพันธ์ระหว่างคนในทีม ความร่วมมือและปรองดองของคณะทำงาน

สำหรับเพื่อนคนที่ ๔ ของเรา เขาคือ อินทรี ผู้มาจากทิศตะวันออก และมีธาตุลมครับ อินทรี โดยธรรมชาติแล้วจะบินสูงและเห็นภาพกว้าง เพื่อนร่วมงานชาวอินทรีของเราก็มีลักษณะเช่นนั้น กล่าวคือ เขาจะเป็นคนที่สนใจงานในภาพรวม เห็นกระบวนการทำงานทั้งหมด มองการณ์ไกล เฉียบคม มีญาณทัศนะ (intuition) และมีความสนใจในสิ่งใหม่ๆ และแตกต่างออกไปเสมอ

อินทรี จึงเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ และนำเสนอไอเดีย เปิดหน้างานใหม่ๆ ขึ้นมาอยู่เสมอ สมฉายาว่า อินทรี เจ้า project นั่นแหละครับ แถมเวลาใครมาชวนทำอะไรก็มักจะปฏิเสธไม่ค่อยเป็น คือเห็นมันสนุกไปหมด ชอบเป็นขาแจมกับเขาไปทั่ว

ถ้าตัวคุณเองเป็นอินทรี คุณย่อมไม่อดทนต่อการทำงานแบบเดิมๆ ซ้ำกันทุกวัน คุณคอยคิดถึงงานอื่นที่แปลกแตกต่างออกไปเสมอ หรือมิเช่นนั้น คุณก็ชอบทดลองทำงานเดิมด้วยวิธีการใหม่ อินทรีอย่างคุณจะอึดอัดมากถ้ารู้สึกว่าถูกบังคับ ไม่มีทางเลือก หรือถ้าไม่รู้ว่างานที่ทำอยู่ไปสัมพันธ์เกี่ยวข้องอย่างไรกับงานในกระบวนการทั้งหมด

ด้วยความที่สนใจในภาพรวมนี้เอง ทำให้อินทรีมองข้ามการทำงานในรายละเอียดไป เมื่ออินทรีนึกถึงงานชิ้นหนึ่ง เขาจะมองภาพงานที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายต่างๆ และผลของงานจะนำไปสู่อะไร แต่อินทรีจะไม่รู้ว่าบางขั้นตอนของงานนั้นอาจขัดกับระเบียบหรือวิธีการทำงานขององค์กร กรณีอย่างนี้จึงขัดกับความเชื่อและอุปนิสัยของหมีที่ทำงานตามขั้นตอนและระเบียบอย่างเคร่งครัด

รวมไปถึงการบินสูงของอินทรี ยังอาจละเลยไม่ทันเห็นว่าเพื่อนร่วมงาน หรือลูกทีมบางคนกำลังมีปัญหา หรือบอบช้ำจากการทำงาน ในขณะที่หนูสังเกตเห็นและเข้าไปดูแลเพื่อนคนนั้นแล้ว

ความสำเร็จในทัศนะของอินทรีคือการได้คิดวิเคราะห์ เชื่อมโยง หรือออกแบบสร้างงานใหม่ แต่อินทรีไม่ใช่นักปฏิบัติที่ชอบลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง ซ้ำๆ นานๆ แต่มีแนวโน้มจะคิดแล้วนำความคิดไปให้คนอื่นทำ ฉะนั้น เราจึงพบอินทรีได้ง่ายในหมู่อาชีพที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์และการวางแผน เช่น ครีเอทีฟ ผู้บริหารโครงการ และนักวิจัยและพัฒนาครับ

ความแตกต่างของ หมี กระทิง หนู และอินทรี ทั้ง ๔ นี้ ล้วนหนุนเสริมพลังความสนใจและพรสวรรค์เฉพาะของแต่ละคนได้อย่างกลมกลืนและสร้างสรรค์ครับ แทนที่ต่างฝ่ายจะยกเอาความสนใจที่ต่างกันมาติติง กลับสามารถเสริมจุดด้อยที่แต่ละคนมีได้ เช่น อินทรีช่วยให้ทีมเห็นลู่ทางใหม่ คาดการณ์ทำนายผลลัพธ์การทำงาน ส่วนหมีช่วยจัดการในรายละเอียดให้ถูกต้องเป็นระเบียบ กระทิงช่วยขับเคลื่อนงานไปข้างหน้า ส่วนหนูก็ดูแลและยึดโยงทุกคนในกลุ่มเข้าไว้ด้วยกัน อย่างนี้จึงจะเป็น team work และทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข

งานที่สำเร็จลุล่วงในเวลาอันรวดเร็ว แต่ลูกทีมบางคนต้องเสียความรู้สึกดีๆ ต่อหัวหน้างานไป หรืองานราบรื่นเป็นระบบ แต่ทุกคนขาดความกระตือรือร้นค้นหาทดลองแนวทางใหม่ๆ อาจเรียกว่าเป็นงานที่ประสบความสำเร็จได้ แต่ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของการทำงานอย่างมีความสุขครับ งานนั้นไม่ใช่เพียงเนื้องาน เอกสาร หรือยอดขาย แต่งานยังหมายถึงพวกเราทุกคนที่เป็นคนขับเคลื่อนเฟืองจักรให้งานเดินไปสู่เป้าหมาย ความสุขจากการทำงานจึงควรเป็นความสุขของทุกคนที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำงานและตลอดเวลาที่ได้ทำงานร่วมกัน ไม่น่าจะใช่แค่ความสุขที่ได้เห็นงานเสร็จ

เคล็ดลับการทำความเข้าใจ และใช้ความแตกต่างเป็นพลังหนุนเสริมกันในทีมนี่แหละครับ คือที่มาของความสุขในการทำงาน

แนวคิดสัตว์ ๔ ทิศนี้จะไม่เกิดประโยชน์เลยครับ ถ้าเรานำความแตกต่างที่ว่านี้มาตอกย้ำ ตีตราให้กัน และกล่าวโทษการประสานงานที่มีปัญหาว่าเป็นเพราะเราต่างกัน ความแตกต่างไม่ได้เป็นข้อกำหนดมาจำกัดความสามารถและศักยภาพของแต่ละคนเลยครับ ตรงกันข้าม กลับเป็นเครื่องบ่งชี้และนำทางให้เราเห็นความหลากหลาย และความงดงามของทุกคน

ในโลกการทำงานเราล้วนอยู่ท่ามกลางเพื่อนผู้มีที่มาหลากหลาย เราไม่สามารถบังคับให้ทุกคนคิดเหมือนกันได้ เช่นกันกับความแตกต่างหลากหลายบนโลกใบนี้ เมื่อเรามีความสุขได้ง่ายๆ จากการเรียนรู้เข้าใจกันในที่ทำงาน มันคงไม่ยากเกินไปที่เราจะเข้าใจโลกใบที่ใหญ่กว่า และนำพามาซึ่งความสุขและสันติภาพในทุกๆ คนครับ


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 31 กรกฎาคม 2548


ครั้งก่อนเราได้มุ่งไปตะวันตก และขึ้นเหนือ เพื่อทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงานทั้งสองแบบของเราคือ หมี จอม detail และกระทิง จอม action มาแล้ว ครั้งนี้เราจะล่องใต้กันครับ ไปรู้จักเพื่อนร่วมงานอีกแบบคือ หนูผู้compromise อยู่ในทิศใต้ มีธาตุน้ำ เป็นสัตว์ในที่ทำงานประเภทที่ ๓ ตามแนวคิดสัตว์ ๔ ทิศของชนพื้นเมืองอเมริกัน ไม่แน่คุณอาจพบว่าคุณนั่นเองคือหนูผู้ compromise ก็เป็นได้




ลองนึกถึงในที่ทำงานขณะที่ทุกคนกำลังขะมักเขม้นทำงานหน้าดำคร่ำเครียด เมื่อถึงช่วงพักกลางวัน หนูจะเป็นคนแรกที่ชวนเพื่อนออกไปทานข้าว เข้าไปทักเพื่อนที่ทำงานลืมเวลาว่าพักเสียหน่อยนะ ไปหาอะไรอร่อยๆ ทานกันดีกว่า เมื่อไปถึงร้านอาหาร แน่นอนครับ หมีจะเลือกแล้วเลือกอีกว่าเมนูจานไหนดี ร้านนี้กินอะไรถึงเหมาะ ส่วนกระทิงนะหรือครับ ออเดอร์อาหารได้เป็นรายแรกหรือไม่ก็สั่งสมทบตามหลังเพื่อนที่สั่งข้าวกะเพราไข่ดาวว่า “กะเพราด้วย รวมเป็น ๒” แต่ในเวลาเดียวกัน หนูอีกนั่นแหละที่จะคอยสังเกตว่าเพื่อนคนไหนสั่งอะไรได้อาหารครบหรือไม่ ใครต้องการน้ำหรือพวงเครื่องปรุงบ้าง

ถ้าคุณรู้สึกว่าหมีและกระทิงต่างมุ่งมั่นกับชิ้นงานและผลลัพธ์เกินไป จอม detail อย่างหมีนั้นช่างเคร่งครัดกับระเบียบวิธีการและให้ความสำคัญกับความถูกต้องของข้อมูลมากกว่าความเชื่อใจในทีมงาน ส่วนรายกระทิงนั้นเล่าก็ลุยจัดการกับงานตรงหน้าจนไม่ดูว่าจะทำให้เพื่อนร่วมงานหรือลูกทีมน้อยใจหรือเปล่า ถ้ารู้สึกอย่างนี้ คุณอาจเป็นหนู เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างกันมากเป็นพิเศษครับ

หนูๆ ในที่ทำงานคือกลุ่มคนผู้สนใจตัวคนทำงานและวิธีการทำงานมากกว่าใครเพื่อนครับ ในกรณีที่หนูเป็นหัวหน้าทีมทำงานภายใต้ระเบียบขั้นตอนจุกจิกปลีกย่อยมาก หัวหน้าหนูก็มีแนวโน้มสูงจะยืดหยุ่นละเว้นกฎบางข้อ เพื่อให้ลูกทีมทำงานได้คล่องและลื่นไหลมากขึ้น หมีๆ ฝ่ายบัญชีหรือการเงินอาจจะระอาที่หัวหน้าหนูเซ็นต์อนุมัติเบิกจ่ายให้ลูกทีมทั้งที่เอกสารใบเสร็จรับเงินนั้นไม่เรียบร้อยสมบูรณ์ เพราะหัวหน้าหนูเห็นใจลูกทีมถ้าตีกลับเอกสารไปให้แก้ไข หรือถึงขั้นเกรงใจว่าลูกทีมอุตส่าห์สำรองเงินจ่ายไปก่อน จะไม่เซ็นต์ผ่านให้ได้อย่างไร

ส่วนหนูๆ เพื่อนร่วมงาน (ที่ไม่ใช่น้องๆ สาวๆ นะครับ) ของคุณนั้น เขาหรือเธอแทบจะไม่เคยปฏิเสธคำขอให้ช่วยจากเพื่อนเลย ไม่ว่าจะในทีมเดียวกัน หรือจากฝ่ายอื่นก็ตาม คุณจะไม่เห็นหนูบอกปฏิเสธไม่ยอมช่วยด้วยเหตุผลว่า “งานฉันยังไม่เสร็จเลย” หรือ “งานใครก็งานมันสิ” เลย เต็มที่ก็แค่แบ่งรับแบ่งสู้ อย่างน้อยก็ช่วยให้คำแนะนำอยู่ดี

ถ้าคุณไม่ใช่หนู แต่คุณเป็นหมีหนุ่ม กระทิงสาว คุณอาจรู้สึกว่า น้องหนูนี่ช่างน่ารำคาญเสียจริง ไม่ทุ่มเท ไม่ระมัดระวัง แถมยังมีนิสัยขี้น้อยใจ ช่างเกรงใจ และเอาใจใส่เพื่อนๆ มากกว่าตัวเนื้องานเสียอีก ถ้าคุณมีเพื่อนร่วมงานที่แตกต่างจากคุณอย่างนี้ ทำอย่างไรให้ทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขละครับ ?

พื้นฐานสำคัญของแนวคิดสัตว์ ๔ ทิศ คือการพยายามทำความเข้าใจกันและกันครับ ไม่ใช่การจัดแบ่งคนในที่ทำงานออกเป็น ๔ ก๊กเพื่อแข่งกีฬาสี การที่ได้รู้ว่าเพื่อนหรือหัวหน้ามีการตัดสินใจ ใช้สไตล์การทำงานแบบนี้ ล้วนมีที่มาจากฐานความคิดต่างกัน อย่างกรณีของหนู พฤติกรรมช่างเกรงใจและการพยายามรักษาความสัมพันธ์ของเขาเป็นคุณลักษณะบนฐานใจ ทำให้หนูสนใจการอยู่ร่วมกันมากกว่าเรื่องอื่นๆ

แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าหนูๆ ไม่ใส่ใจกับความสำเร็จหรือความเรียบร้อยของงานนะครับ เพราะทัศนะของหนู ความสำเร็จคือความสัมพันธ์ที่ดีในทีม ฉะนั้น หนูจะไม่ชื่นชมกับยอดขายทะลุเป้า แต่แลกมาด้วยความทุ่มเททำงานล่วงเวลาของทุกคนจนไม่มีเวลาแม้แต่จะมาคุยกัน หนูสนใจเพื่อนที่ดูเครียดจากงาน สังเกตว่าคนในทีมห่างเหินหมางเมินเพราะวุ่นกับงานที่ต้องแย่งกันทำยอด ในบรรดาคนในทีมงาน หนูจึงเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นความผิดปกติในกลุ่มหรือในโครงสร้าง เราสามารถกล่าวได้ว่า หนูเป็นคนสำคัญที่ยึดโยงทุกคนไว้ในกลุ่ม ขณะที่หมีคอยจัดการรายละเอียด และกระทิงทำหน้าที่เป็นหัวรถจักร

แต่ทว่าความแตกต่างของคนเหล่านี้จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราเอาแต่พร่ำบ่นว่านิสัยของคนอื่นเป็นภาระ หรือตำหนิคนที่มีวิธีทำงานต่างจากเราว่าเป็นอุปสรรคทำให้งานช้า ถ้าเช่นนั้นแล้ว การแบ่งสัตว์ ๔ ทิศก็จะเป็นเพียงการขีดเส้นความเป็นพวกเขาพวกเราให้ชัดเจนขึ้น ไม่เกิดความพยายามทำความเข้าใจกัน

สัตว์ ๔ ทิศบอกว่าความแตกต่างระหว่างกัน ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับการทำงานเลยครับ แต่เป็นคำตอบต่อคำถามว่าเราจะทำงานร่วมกันอย่างมีความุสขได้อย่างไร เพราะความหลากหลายแต่หนุนเสริมกันและกันในหมู่เพื่อนร่วมงานนี่แหละคือสิ่งสำคัญที่ทำให้งานสำเร็จ และทุกคนมีความสุขจากการทำงานร่วมกัน

ถึงตรงนี้แล้ว ถ้าคุณยังไม่พบว่าตัวเองเป็นสัตว์ในทิศไหน อย่าลืมครับว่ายังมีครั้งต่อไป เราจะพบกับ อินทรี เจ้า project ผู้อยู่ในทิศตะวันออก และมีธาตุลม แล้วจะได้รู้กันว่าความแตกต่างของอินทรีมีคุณูปการอย่างไรต่อเพื่อนหมี กระทิง หนู และเพื่อนๆ ทั้ง ๓ จะช่วยหนุนเสริมเอาศักยภาพความสามารถของอินทรีมาช่วยให้ทีมทำงานสำเร็จลุล่วงอย่างมีความสุขได้อย่างไรบ้าง เตรียมพบกับอินทรีในตอนหน้า (14 ส.ค.) ครับผม :-)


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 17 กรกฎาคม 2548


ยังจำหมี จอม detail ในตอนที่แล้วได้ใช่ไหมครับ ถ้าท่านเคยไปทำโอดี (organization development) ขององค์กร และวิทยากรนำกิจกรรรมเกมบางอย่าง คุณจะเห็นว่าเหล่าหมีเพื่อนร่วมงาน เขาใช้เวลาครุ่นคิดเก็บข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจเลือกทำอะไรก่อนหลัง ขณะที่เพื่อนร่วมงานบางคนในกลุ่มเริ่มลุยลงมือไปตามเกมของวิทยากรเรียบร้อยแล้ว ครั้นเมื่อถึงช่วงทานพักอาหาร ระหว่างที่คุณกำลังเดินดูโต๊ะบุฟเฟ่ท์ให้ทั่ว ลังเลว่าจะตักอะไรมาทานดี บางคนก็มองหาที่นั่งที่ติดกันกับเพื่อนที่คุ้นเคย แต่เพื่อนร่วมงานจอมลุยคนนี้ของคุณได้ตรงดิ่งไปหยิบจานรอคิวตักอาหารเสียแล้ว

หรือในการทำงานร่วมกับหัวหน้าหมี คุณมักจะถูกสอบถามติดตามรายละเอียดทุกขั้นตอน แต่คุณเคยพบหัวหน้างานอีกประเภทไหมครับ? ประเภทที่ว่า ถ้าเขาได้รับเป้าหรือโจทย์จากที่ประชุมกรรมการแล้ว เขาแทบจะออกมาสั่งลูกทีมทันที มิหนำซ้ำยังคาดหวังให้ลูกทีมลงมือทำเดี๋ยวนั้นเลย เรียกได้ว่าไม่ต้องมาเสียเวลาพิจารณาว่าควรทำหรือไม่ การวางแผนไม่จำเป็นต้องใช้เวลามาก ถ้าหัวหน้าบอกต้องออกแอ็คชั่นเลยทันที




จากครั้งก่อนเราพูดถึงหมี จอม detail ผู้อยู่ทิศตะวันตก และมีธาตุดินไปแล้ว หัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานของคุณในครั้งนี้ผู้มีลักษณะข้างต้น ถ้าแนวคิดสัตว์ ๔ ทิศ อันเป็นความรู้จากชนพื้นเมืองอเมริกันมาจัดแบ่งกลุ่ม เขาก็คือ กระทิง จอม action ผู้อยู่ทิศเหนือ และมีธาตุไฟนั่นเองครับ (ส่วนอีก 2 กลุ่มที่เหลือได้แก่ หนู ในทิศใต้ ธาตุน้ำ และอินทรี ในทิศตะวันออก ธาตุลม ซึ่งจะเล่าสู่กันในตอนต่อไปครับ)

ในบรรดาบุคคลแวดล้อมในชีวิตการงานของคุณ กระทิงจะเป็นผู้ออกแอ็คชั่นเป็นหลักครับ ต้องแอ็คชั่น แอ็คชั่น และแอ็คชั่นครับ ทีนี้ถ้าหากเราเองไม่ใช่กระทิงล่ะ ถ้าเราเจอพวก action-oriented แบบนี้ในที่ทำงานแล้ว เราจะทำอย่างไรให้มีความสุขและสนุกครับ? เราจะทนอึดอัดกับการรู้สึกว่าเขาผลีผลามทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด หรือเราจะหงุดหงิดรำคาญใจที่เขาทำงานไปก่อนโดยไม่ฟังเสียงเพื่อนร่วมทีม คำถามคือเราจะสร้างพื้นที่แอ็คชั่นสำหรับคนเหล่านี้ ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นอย่างจริงใจ และชื่นชมเขาอย่างจริงจังได้อย่างไร?

เราต้องเข้าใจธรรมชาติของพวกกระทิงครับ ความสำเร็จในทัศนะของเขาคือการได้ลงมือกระทำ แม้ว่าทำเสร็จแล้วอาจไม่มีระบบ หรือสมาชิกในทีมจะรู้สึก "อิน" ไม่เท่ากันก็ไม่เป็นไร หรือแค่มีแผนการทำงานนั้นไม่พอ ต้องได้ทำได้ลงมือ เราจึงมักพบพวกกระทิงในกลุ่มนักกีฬา นักแสดง นักกู้ภัย ทหาร ตำรวจ พวกแอ็คชั่นทั้งหลายน่ะครับ

สิ่งที่คุณจะไม่ค่อยพบในพวกกระทิง คือ การนั่งคิด ใช้เวลาวางแผนครับ กระทิงจะคิดว่า "เสียเวลา" สุดๆ มักจะพูดว่า "โอ๊ย ... จะหมดเวลา/เสียโอกาส อยู่แล้ว" ยังจะต้องมาคิดว่าใครในทีมรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนั้น และพวกกระทิงก็จะไม่ซีเรียสกับหลักการเท่าใดนัก โดยเฉพาะถ้าหลักการนั้นมันขัดขวางทำให้เขาได้ลงมือทำช้าลงไปอีก

พวก "หมี" ที่เน้นความเป็นระบบและข้อมูล ควรเข้าใจพวก "กระทิง" ว่า เขามีสไตล์การทำงานที่เน้นความเสี่ยงและท้าทาย ในทัศนะเขา ถ้ามัวแต่มาทำระบบจะทำให้พลาดโอกาสเสียก่อน หรือสำหรับบางคนที่เห็นความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างคนในทีม ก็ไม่ควรรู้สึกแย่ที่ดูเหมือนว่ากระทิงไม่แคร์เพื่อนๆ เลย ทั้งที่โดยแท้แล้วกระทิงแคร์นะครับ เพียงแต่ในโลกของเขา เขาเชื่อว่าการช่วยเหลือเพื่อนก็คือการรีบลงมือทำให้เสร็จนั่นเอง

ถ้าคุณเป็นกระทิงหนุ่ม กระทิงสาว ทั้งที่ "เปลี่ยว" และ "ไม่เปลี่ยว" (ฮา) คุณควรจะเข้าใจเข้าใจแรงผลักดันพื้นฐานของคุณและทีม การที่บางคนในทีมใช้เวลาวางระบบ กว่าจะเซ็นเช็คแต่ละฉบับต้องคิดแล้วคิดอีก ดูรายละเอียดต่างๆ ให้เรียบร้อย ก็ทำพื่อทีม การที่บางคนมีความคิด จินตนาการเยอะแยะ แม้หลายอย่างคิดเพ้อเจ้อไปบ้าง ทำจริงไม่ได้บ้าง ก็ทำเพื่อทีม หรือแม้กระทั่งบางคนที่ใช้เวลาไต่ถามทุกข์สุขและดูแลสุขภาพคนอื่นๆ ก็ทำเพื่อทีมเช่นกัน การมีองค์ประกอบเหล่านี้อย่างผสมผสานทำให้ทำงานกันเป็นทีมไปได้นาน ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องลุยไปข้างหน้าพร้อมกับกระทิงอย่างคุณเสมอไป

หากเป้าหมายในชีวิตการงานของพวกเราไม่ใช่เรื่องเงิน (แต่เพียงอย่างเดียว) เป้าหมายเรายังเป็นเรื่องความสุขด้วยแล้ว เราจึงควรใช้ชีวิตการทำงานอย่างพร้อมจะเรียนรู้กันและกัน พร้อมจะเติบโตร่วมกับคนในทีมที่มีความหลากหลายเหล่านี้อย่างเข้าใจกันนั่นเองครับ

ตอนหน้าเตรียมกับพวก "หนู" (ผู้ compromise) ในทิศถัดไปครับ :-)


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 3 กรกฎาคม 2548


คุณเคยมีหัวหน้าทีมที่กำกับการทำงานของคุณในรายละเอียดไหมครับ ? หรือเคยมีเพื่อนร่วมงานที่เก็บตัวและทำทุกอย่างให้ถูกตามระเบียบทุกประการบ้างไหม ? เพื่อนคนหนึ่งของผมเล่าว่า หัวหน้าของเขาตรวจรายงานทุกชิ้นอย่างถี่ถ้วนมาก แทบทุกครั้งที่ส่งเอกสารรายงานถึงหัวหน้าจะต้องมีโน้ตคำถาม หรือพบจุดผิดพลาดในงานชิ้นนั้นเสมอ หนำซ้ำยังมีเพื่อนร่วมงานที่ยึดกฎระเบียบมากจนไม่ยอมยืดหยุ่นให้แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ

คนเหล่านี้ต้องการข้อมูลครับ และหากเราไม่ใช่คนที่มีอุปนิสัยคล้ายกันนี้ เราก็จะอึดอัดและรู้สึกว่าไม่มีความคล่องตัวหรือประนีประนอมกันบ้างเลย ขณะเดียวกัน เราเองก็ไม่สามารถเลือกเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าได้ตามใจชอบ หรือเรียกร้องให้เขาเปลี่ยนแปลงความคิดวิธีทำงานให้เป็นไปตามใจเราได้ คำถามก็คือ จะทำงานกับคนประเภทนี้ให้มีความสุขได้อย่างไร ? เราจะอภิเชษฐ์ (ชื่นชมหรือ appreciate) คนเหล่านี้ได้อย่างไร ? และในทางกลับกัน เราเป็นคนประเภทไหน ? ทำอย่างไรจะทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขได้ ?

ทุกท่านคงคุ้นเคยกับการจัดคนออกเป็นประเภทต่างๆ ตามราศีเกิด และยังมีอีกหลายแนวคิดที่อธิบายความต่างของคนแต่ละประเภทเอาไว้ ปกติแล้วผมเป็นคนไม่ค่อยเชื่อการแบ่งประเภทคน หรือจัดลงกล่องต่างๆ ตามตัวแบบที่ถูกลดทอนรายละเอียด แล้วคิดสรุปเอาเองว่า "คนอย่างเนี้ย มันก็เป็นอย่างเนี้ยะแหละ" เช่น บอกว่าคนเกิดวันอังคารมีนิสัยใจร้อน คนเกิดวันเสาร์เป็นคนขยัน

แต่แนวคิดหนึ่งซึ่งผมเห็นว่าน่าสนใจ คือชุดการแบ่งคนสี่แบบตามทิศทั้งสี่นี้ เพราะนอกจากจะกระตุ้นนำเราไปสู่การคิด ค้นหา ตรวจสอบ และยอมรับตนเองอย่างจริงใจได้แล้ว ยังทำให้เราได้คิด ค้นหา ตรวจสอบ และยอมรับผู้อื่นอย่างจริงใจด้วยเช่นกัน

การแบ่งคนตามสัตว์ ๔ ทิศนี้เป็นความรู้จากอินเดียนแดงชนพื้นเมืองอเมริกันครับ กล่าวไว้ว่า คนเรามีคุณลักษณะตามกลุ่มหลัก ๔ กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีสัญลักษณ์แทนตัวด้วยสัตว์สี่ชนิด โดยมีฐานคำอธิบายจากทิศหรือธาตุทั้งสี่ ซึ่งมีลักษณะนิสัยและรูปแบบของตนต่างกันออกไป ได้แก่

๑. หมี (บางตำรา บางเผ่าก็ว่างู) อยู่ในทิศตะวันตก เป็นธาตุดิน
๒. กระทิง อยู่ในทิศเหนือ เป็นธาตุไฟ
๓. หนู อยู่ในทิศใต้ เป็นธาตุน้ำ
๔. อินทรี อยู่ในทิศตะวันออก เป็นธาตุลม

การรู้จักลักษณะของคนแต่ละกลุ่มตามสัตว์ทั้ง ๔ ทิศนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งครับ สำหรับวันนี้ขอเริ่มแนะนำกลุ่มหมีซึ่งก็มีคุณลักษณะอย่างกลุ่มคนตามได้เกริ่นไว้ในตอนต้น เขาเหล่านี้เป็นพวกธาตุดินครับ เพราะฉะนั้นจึงมีลักษณะเชื่องช้า รักความมั่นคง เก็บตัว สันโดษ เจ้าระเบียบ เขาและเธอชอบลงรายละเอียด ชอบเสพข้อมูล ถึงขนาดบางทีหลงใหลได้ปลื้ม ตื่นอกตื่นใจไปกับมัน

นอกจากนั้นแล้ว หมียังเป็นพวกชอบการใช้หลักเหตุผล วิเคราะห์ที่มาที่ไป เห็นความถูกต้องและความยุติธรรมเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อเปรียบกับกลุ่มอื่นแล้ว หมีจะเป็นคนตรงไปตรงมา บางทีมากจนเป็นการพูดแบบขวานผ่าซาก ลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งคือ หมีสามารถทำงานที่เป็น routine ได้อย่างมีความสุข ไม่มองว่ามันเป็นงานซ้ำซากจำเจ เพราะชอบความเป็นระเบียบและทำงานอยู่กับข้อมูลเป็นหลัก

หากหมีได้รับมอบหมายให้ไปซื้อของสักอย่าง หมีจะค่อยๆ เปรียบเทียบสินค้านั้นจากผู้ขายแต่ละราย หรือห้างร้านแต่ละแห่งอย่างถี่ถ้วน เช็คแล้วเช็คอีกกว่าจะตัดสินใจได้ ทั้งยังไม่ได้คำนึงถึงแต่ราคาเพียงอย่างเดียว แต่หมีจะพิจารณาด้วยว่าสินค้าจากแหล่งไหนมีคุณสมบัติและบริการสมเหตุสมผลคุ้มค่ากับราคามากที่สุด หมีจึงจะตัดสินใจ

การรีบเร่งทำงานให้ลุล่วงจบไปโดยไม่สนใจรายละเอียดวิธีการจึงไม่ใช่ลักษณะของหมีเลยครับ เช่นเดียวกับอุปนิสัยการทำงานหลายอย่างที่คุณจะไม่พบในหมี ไม่ว่าจะเป็นการออกไอเดียใช้ความคิดสร้างโครงการใหม่ๆ การให้ความสำคัญหรือแคร์ต่อความอารมณ์ความรู้สึกของเพื่อนร่วมงาน หมีจึงดูเหมือนไม่ค่อยถนอมน้ำใจผู้อื่น และถือเอาหลักการและวิธีการเป็นที่ตั้ง

ความสำเร็จในสายตาของเหล่าหมีหนุ่ม หมีสาว จึงหมายถึงการมีระบบที่ชัดเจน เป็นระเบียบ โดยทั่วไปแล้ว คุณจึงจะพบเพื่อนร่วมงานที่เป็นหมีได้ง่ายในฝ่ายบัญชีและการเงิน แต่ก็มิใช่ว่าเจ้าหน้าที่บัญชีทุกคนจะต้องมีลักษณะเป็นหมีเสมอไปครับ

กลับไปที่คำถามตอนต้น ทำอย่างไรเราจึงจะทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขได้ ? เมื่อรู้จักหมีแล้ว อยากให้คุณลองคิดในทางกลับกัน ถ้าคุณเป็นหมีเสียเอง คุณจะรู้สึกอย่างไรที่เห็นคนทำงานข้ามขั้นตอน เร่งทำงานให้เสร็จโดยไม่ทำเอกสารให้ครบถ้วน ? ทุกคนจะมีความสุขมากขึ้นไหม ? ถ้าเราเข้าใจและยอมรับในความแตกต่างของเพื่อนร่วมงาน

พบกันในตอนหน้า สำหรับพวก "กระทิง" ในทิศถัดไปครับ :-)


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Home
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 19 มิถุนายน 2548


คุณเคยรู้สึกว่าคุณเป็นเทพกำลังขี่เมฆ ตามหาม้าเทวดาบ้างไหม? ไม่ว่าคุณจะเคยหรือไม่ วันนี้ผมรู้สึกว่ากำลังเดินทางค้นหาม้าเทวดา สิ่งมีชีวิตที่ไม่พบที่อื่นอีกในโลก นอกจากในป่าที่ผมกำลังอยู่เท่านั้น

ขณะที่กำลังเขียนต้นฉบับนี้ อากาศรอบข้างผมช่างหนาวเหน็บ เมฆโรยตัวรายรอบล้อมผมราวกับกำลังขี่เมฆ ค้นหาม้าเทวดา หรือกวางผา goral สำหรับนักวิทยาศาสตร์ แม้ผมจะยังไม่เห็นมัน แต่ผมกลับได้พบกุหลาบพันปี หรือดอกไม้วงศ์กุหลาบซึ่งพบได้เฉพาะที่นี่ กำลังออกดอกเบ่งบานสะพรั่งอยู่ริมผา ใกล้ๆ กันมีกองมูลของเลียงผาที่มีเมล็ดเล็กๆ เท่าคลอเร็ตสีน้ำตาลกองเบ้อเริ่ม

ผมอยู่ที่อุทยานแห่งชาติดอยหลวงเชียงดาว แดนธรรมชาติอันงดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก คำว่าสวรรค์บนดินดูจะไม่เรียกเกินเลยไป บรรยากาศบริเวณเด่นหญ้าขัดในเขตอุทยาน อบร่ำไปด้วยตำนานล้านนา ว่าเขาแห่งนี้เป็นสถานที่สิงสถิตของเจ้าหลวงคำแดง เทพผู้เป็นประธานของเทพทั้งมวลในดินแดนล้านนา แม้น้ำสำหรับประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ประจำปีที่วัดพระธาตุดอยสุเทพยังต้องนำมาจากที่นี่




ผมเดินทางมากับคณะครูชาวไทยและอเมริกันสามสิบกว่าชีวิตเพื่อร่วมสร้างเครือข่ายของครู ชาวบ้าน และนักพัฒนาที่สนใจกระบวนการเรียนรู้แบบสืบค้นที่มีชุมชนเป็นหลัก เพื่อประโยชน์แก่นักเรียน ระบบนิเวศ และโลก ในโครงการการเดินทางสำรวจโลก (Earth Expedition) โดยการร่วมมือกันในหลายประเทศที่มีธรรมชาติอันน่าทึ่ง ตื่นตาตื่นใจ และมีสัตว์สวยงามขนาดใหญ่เป็นตัวเดินเรื่อง

คอร์สในประเทศไทยครั้งนี้ที่ร่วมจัดโดยมูลนิธิโลกสีเขียว สถาบันขวัญเมือง มหาวิทยาลัยไมอามี่ สวนสัตว์ซินซิแนติ และแผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มีความแตกต่างจากครั้งอื่นๆ เพราะเน้นการเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ในหัวข้อ พุทธศาสนากับการอนุรักษ์ธรรมชาติ อันว่าด้วยธรรมชาติกับการเรียนรู้ด้านใน กิจกรรมก็ล้วนส่งเสริมให้ผู้เข้าร่วมได้มีประสบการณ์ตรง ผสมผสานระหว่างธรรมชาติของขุนเขา แมกไม้ และสายฝนอันงดงาม การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนของปกากญอและชุมชนท้องถิ่น และมิติทางจิตวิญญาณอันละเอียดอ่อน แต่สัมผัสได้จริง ผ่านการเจริญสติภาวนา และการอยู่กับธรรมชาติ ไม่เว้นกระทั่งฝรั่งผู้ไม่เคยฝึกฝนมาก่อน

หลวงพี่ไพศาล วิสาโล หนึ่งในวิทยากรครั้งนี้ ได้อธิบายความสัมพันธ์และประโยชน์ของธรรมชาติต่อมนุษย์ว่ามี ๔ ระดับ ระดับที่หนึ่งเป็นเรื่องทางวัตถุ (material) เพราะธรรมชาติคือที่มาของปัจจัยสี่ รวมถึงอากาศและน้ำบริสุทธิ์ที่เป็นพื้นฐานการดำรงชีวิต ระดับที่สอง เป็นเรื่องความงดงาม (beauty) ที่ธรรมชาติได้ให้ความรื่นรมย์แก่ประสาทสัมผัสของเรา เช่น ภาพอรุณรุ่งที่ผานกแอ่น แสงอาทิตย์อัศดงที่แหลมพรหมเทพ รสชาติละมุนนุ่มลิ้นของผลไม้ กลิ่นหอมเย้ายวนจากดอกไม้นานาพันธุ์ เสียงหรีดหริ่งเรไรยามค่ำคืน รวมถึงสัมผัสทางผิวกายจากการดำผุดดำว่ายในธารน้ำตก

ขณะที่ประโยชน์ระดับที่สองเป็นความรุ่มรวยของประสาทสัมผัสภายนอก ระดับที่สามซึ่งสูงกว่าเป็นความสงบหรือสันติ (peace) ที่เราสามารถเข้าถึงได้หากได้มีโอกาสพักดูแลใจตนเอง ให้เวลาและใช้เวลาอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ อยู่ในป่าเขาสงบสงัด ปราศจากการรบกวนของโทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่น mp3 เครื่องไอพอด บรรดาเหล่าเทคโนโลยีที่ทำให้จิตของเราสัดส่าย

ประโยชน์ระดับสูงสุดเป็นระดับของปัญญา (wisdom) เป็นสิ่งที่ยั่งยืนยิ่งกว่าความสงบ ปัญญาที่ได้จากธรรมชาติคือได้เห็นความไม่แน่นอนของชีวิต เห็นความเป็นทั้งหมดและเป็นหนึ่งเดียวระหว่างชีวิตทั้งมวล เห็นสรรพสิ่งในโลกล้วนเชื่อมร้อยโยงใยกัน การได้เห็นความสัมพันธ์เกื้อกูลอาศัยกันของสิ่งต่างๆ ก็คือการได้รู้จักธรรมชาติ อันเป็นแหล่งของการเรียนรู้สู่การเข้าถึงความจริงของความเชื่อมโยงในสรรพสิ่งทั้งหลาย ธรรมชาติได้ให้ประโยชน์อันสูงสุดนี้แก่เรา

การเข้าถึงความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งนี้มีความสำคัญต่อทั้งการอนุรักษ์และต่อความสุขของเรา

หากเราเปิดน้ำจากก๊อกแล้วเรารับรู้ถึงความสัมพันธ์ของน้ำนี้กับสายน้ำลำธาร เดินทางเชื่อมโยงย้อนกลับไปถึงเจ้าหลวงคำแดง ก้อนเมฆ และม้าเทวดาบนดอยเชียงดาว เราก็จะตระหนักและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างประหยัดโดยไม่ต้องมีใครบอก

หากเราได้เข้าถึงความจริง เห็นถึงความเป็นทั้งหมดของทุกสิ่ง เราก็สามารถผูกโยงประสบการณ์ที่ดีจากผืนป่างดงามที่ยังไม่ถูกแผ้วทำลาย นำมาเทียบเคียงให้มองเห็นถึงความเป็นธรรมชาติที่ปรากฏอยู่ดาษดื่นทั่วไป แม้กระทั่งกระรอกที่วิ่งไปมา นกที่โผเกาะลงบนสายไฟฟ้าในเมือง กระถางต้นไม้หรือแจกันดอกไม้ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของเรา แม้เพียงเห็นเราก็ได้สัมผัสธรรมชาติและสามารถเกิดความสุขได้

เปรียบดังต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดเขียวสดอยู่ได้ ไม่หวั่นไหวแม้อยู่ท่ามกลางไอแดดร้อนแรงของฤดูแล้ง เพราะมันได้หยั่งรากลึกลงไปพบความฉ่ำเย็นของน้ำในใต้ดิน เราเองก็เช่นกัน เราสามารถดำรงชีวิตที่ดี ท่ามกลางความเร่งร้อนของชีวิตและการงานได้ เพราะเห็นความงดงามในความจริง สามารถดื่มด่ำและรับเอาความสุขอันผุดเกิดจากความชุ่มชื่นในจิตใจภายในของเราเอง :-)

ฝึกสติอย่างอ้ศวินเจได


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Home
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 5 มิถุนายน 2548


อดไม่ได้ที่จะต้องเขียนอะไรเกี่ยวกับ สตาร์วอร์ส เอพิโซด 3: รีเวนจ์ ออฟ เดอะ ซิธ / ซิธชำระแค้น ซะหน่อย

หลังจากรอคอยมา ๒๘ ปี เหล่าสาวกของสตาร์วอร์สก็ได้คำอธิบายว่าทำไมอัศวินเจไดอย่างอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ถึงได้ปล่อยตัวปล่อยใจยอมพ่ายแพ้ เข้าสู่ด้านมืดของพลัง (dark side of the Force)!

เล่าให้ฟังสั้นๆ ละกันนะครับ (แน่ใจว่าไม่ได้เป็น spoiler เพราะป่านนี้คงรู้กันทั้งเมืองแล้ว) ว่าภาคนี้ คุณตาจอร์จ ลูคัส เฉลยว่าอนาคินเปลี่ยนข้างมาเป็นวายร้ายเพราะคู่รักของเขา วุฒิสมาชิกหญิงแพดเม่ อดีตราชินีอมิดาลา (Amidala) นั่นเอง พอมานึกว่าชื่ออมิดาลานี่พ้องกับชื่อส่วนของสมองที่เรียกว่า อมิกดาลา (amygdala) ก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลดีครับ ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าทึ่ง ขอชมว่าคุณตาลูคัสผูกเอาไว้ดีเหลือเกิน

คืออย่างนี้ครับ อมิกดาลา เป็นส่วนเล็กๆ ของสมอง มีรูปร่างคล้ายเม็ดอัลมอนด์ อยู่ในสมองส่วนกลาง มีหน้าที่ควบคุมอารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์ในแง่ลบ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเกลียด ความเศร้า ความกลัว ความกังวลกระวนกระวายใจ กลุ่มที่เป็นพลังในด้านลบน่ะครับ (อาฮ่า! ถึงบางอ้อแล้วใช่ไหม?)

ความรู้เรื่องสมองส่วนอมิกดาลานี่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะไขความลับออกครับ โดยอาศัยคุณูปการของเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างหนึ่ง คือ เครื่องฟังก์ชันนอลเอ็มอาร์ไอ fMRI (Functional Magnetic Resonance Imaging) ซึ่งเป็นวิธีศึกษาว่าสมองส่วนใดถูกกระตุ้นเมื่อได้รับความรู้สึก เช่น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ต่างๆ

เจ้าเครื่องนี้ทำให้เราเห็นเลยว่าสมองส่วนอมิกดาลานั้นทำงานอย่างมาก เวลาเรามีความโกรธ กลัว หรืออารมณ์บ่จอย โดยมันจะไปกดการคิดไตร่ตรอง การรับรู้ของเรา ทำให้เรารับข้อมูลแต่เพียงบางส่วน อมิกดาลานี่ฤทธิ์เดชใช่เล่นครับ พวกเราคงเคยได้ยินสำนวนที่ว่า "เห็นช้างตัวเท่าหมู" ใช่ไหม? ที่เราเห็นช้างมันตัวเท่าหมูไม่ได้เป็นแค่สำนวนพูดกันเล่นๆ เท่านั้น แต่มีที่มาจากความจริง เวลาเราโกรธนั้นสมองจะลดระดับการรับรู้ลง ทำให้เราได้ภาพความเป็นจริงที่บิดเบี้ยวไปจากปกติมาก ที่ตัวโตก็เห็นเป็นตัวเล็ก เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัวไปได้

ที่วัยรุ่นตีกัน ที่อนาคินยอมสวามิภักดิ์กับด้านมืด ก็มักเกิดจากอารมณ์ในแง่ลบ เพราะอมิกดาลาตัวดีนี่แหละครับ

แต่อย่างไรก็ตามเจ้าเครื่องฟังก์ชันนอลเอ็มอาร์ไอก็ยังทำให้เราเรียนรู้ถึงพลังอีกด้านหนึ่งด้วยครับ นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าตอนที่เราอารมณ์ในแง่บวกนั้นสมองส่วนที่ทำงานมากคือ สมองชั้นนอกซีกซ้ายด้านหน้า (left pre-frontal lobe) ครับ สมองส่วนนี้เป็นส่วนควบคุมการรู้คิดเหตุผล ส่วนพุทธิปัญญา (intellect) ของเรา เวลาเรารู้สึกสบาย มีความรัก รู้สึกปลอดภัย พร้อมจะเรียนรู้สมองส่วนนี้จะเริงร่าทำงานมาก

การที่เราเข้าใจกระบวนการของพลังทั้งในแง่ลบและแง่บวกนี้เป็นประโยชน์มาก เรารู้ว่าสมองทั้งสองส่วนนั้นเป็นขั้วตรงข้าม ทำงานคุมกันและกัน เวลาเราโกรธ หรือกลัวนั้น สมองชั้นนอกซีกซ้ายด้านหน้าจะทำงานน้อย ในขณะเดียวกันอมิกดาลาจะทำงานมาก สั่งว่าฉันไม่ขอรับรู้อะไรมากนักหรอก เพราะฉันกำลังรู้สึกว่ากำลังอันตรายต้องใช้พื้นที่เมมโมรี่สมองเยอะๆ เอาไว้ต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือถึงระดับเจไดอย่างอนาคินใครจะห้ามก็ไม่อยากจะฟัง อาจารย์อย่างโอบีวันก็ไม่เว้น เรียกว่าช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ ว่าอย่างนั้นเถอะ เวลาเราเข้าไปอยู่ในความทุกข์ ไปเปิดวงจรลบของพลัง (dark side) นี่แล้วจะปิดยากครับ

แต่ก็ใช่ว่าพลังในแง่ลบจะชนะเสมอไปนะครับ เพราะหากว่าสมองชั้นนอกซีกซ้ายด้านหน้ามาทำงานมากขึ้น สมองส่วนอมิกดาลาจะลดการทำงานลง ดังนั้นเราจึงต้องฝึกฝนตัวเองให้ดีครับ ต้องฝึกส่วนที่บังคับตนเองนี่ให้คล่องแคล่วครับ (เหมือนกับที่โยดา ปรมาจารย์เจไดคอยพร่ำสอนเหล่าลูกศิษย์) ต้องรู้จักฝึกใช้สติ ใช้ปัญญาบ่อยๆ ครับ แบบว่าเรียกปุ๊บมาช่วยปั๊บทันทีอย่างนั้นเลย ตัวอย่างคนที่ฝึกได้เช่นนี้จริงๆ ก็มีนะครับ ลูกศิษย์ท่านดาไลลามะนี่ชัดเลยครับ เข้าเครื่องวัดนี่กราฟพุ่งเลย เรียกว่าพอจะโกรธท่านเรียกพลังบวกออกมาจัดการได้ทันทีทันควัน ท่านพิสูจน์ได้ว่าส่วนจิตวิญญาณแท้ที่จริงก็คือการฝึกจิต และการฝึกจิตนั้นสามารถเปลี่ยนสมอง นั่นคือเปลี่ยนพฤติกรรมได้ด้วย

เป็นอย่างไรบ้างครับ อ่านแล้วเกิดแรงบันดาลใจอยากไปฝึกเป็นอัศวินเจได ฝึกสร้างเสริมพลังในแง่บวก (ฝึกเจริญสติ ฝึกสมาธิวิปัสสนา) กับเขาบ้างหรือยัง?

ขอให้พลังจงอยู่กับคุณครับ! May the Force be with you! :-)