ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Home
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 1 มกราคม 2549
เตียงไม้กระดานเรียบเย็น ช่วยให้ความรู้สึก รู้เนื้อรู้ตัวกลับมาแจ่มใสและไม่โอ้เอ้ เรื่อยเปื่อย ขี้เกียจ ขี้เซา แม้หลังจากผมขยับตัวครั้งแรก รู้สึกขอบคุณเตียงจัง หลายชั่วโมงกับการนอนหลับ การพักผ่อนที่สบาย ผ่อนคลาย ดิ่งลึก ไม่ฝันอะไรเลย ... เมื่อคืนไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุก ตั้งใจให้ร่างกายปลุกเราเองเมื่อพักผ่อนพอ นอนไม่มาก ไม่น้อยเกินไป มากไปก็อืดอาด เฉื่อยเนือย น้อยไปก็เพลีย
การหลับเป็นเหมือนของขวัญอันพิเศษของชีวิต เป็นส่วนสำคัญของการเดินทาง จำได้ว่าเมื่อคืนค่อยๆล้มตัวลงนอน บอกลาราตรีของกรุงเทพเมืองฟ้าอมรชั่วคราว ขณะบรรยากาศเย็นสบาย ค่อนไปทางหนาวนิดๆ พอได้รู้เนื้อรู้ตัว รู้สึกถึงแต่ละส่วนของร่างกายที่สัมผัสแผ่นไม้และผ้าห่ม รู้สึกถึงความมหัศจรรย์ของชีวิต ขอบคุณที่ได้ให้เรา “นอนได้” รู้สึกขอบคุณครูบาอาจารย์และร่างกายของเราเองนี้ที่สอนให้เรารู้จัก “นอนเป็น” (มั๊ง) จนต้องแอบยิ้มให้ตัวเองเล็กๆ
ตื่นขึ้นมาก็พบกับรอยยิ้มของท่านดาไลลามะ จากปกหนังสือ The Art of Happiness (ศิลปะแห่งความสุข) รอยยิ้ม สีหน้า และแววตาท่านใสๆ เหมือนเด็กๆ ผมเองอดยกมุมปากขึ้นน้อยๆ ตามท่านไม่ได้ พอได้ยิ้มสักหน่อย รู้สึกเหมือนมีใครไปเปิดสวิทช์วงจรความสุข จินตนาการเห็นวงจรทางชีวเคมีถูกเปิด ปลดปล่อยสารเอ็นดอร์ฟินในสมอง รู้สึกความสุขแผ่ซ่านไปเต็มห้อง
ตั้งใจว่าวันนี้จะใช้ชีวิตอย่างมีสติและปัญญา อย่างมีประโยชน์ ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ไม่ได้คิดอะไรลงไปในรายละเอียดมากไปกว่านั้น เฝ้าดูว่าวันนี้จะเป็นไปอย่างไรบ้าง
นึกถึงคุณอา ไม่ได้ไปเยี่ยมท่านหลายวันแล้ว เหมือนอย่างทุกๆครั้งที่โทรไปหา ท่านชวนให้ไปทานอาหารเช้าที่บ้าน วันนี้หิ้วนมถั่วเหลืองที่คนนำมาให้และผลไม้ที่พี่สาวและแม่ไปไหว้พระติดมือไปฝากท่าน พร้อมหนังสืองานศพโยมพ่อหลวงพี่ไพศาล วิสาโล ฮีโร่ตัวจริงของผมให้ท่านยืมอ่าน เป็นหนังสือการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายและการตายอย่างสันติและสง่างาม
ผมละเลียดข้าวต้มข้าวใหม่ฤดูกาลนี้ มียางข้าวกำลังมัน เข้าคู่กันดีกับกับข้าวธรรมดาๆ แต่กลมกล่อมด้วยความรัก ความเอาใจใส่ กับฝีมือที่สั่งสมหลายสิบปี ทั้งผัดผักหลายสหาย ยำไข่เค็ม ไข่เจียว หมูผัดกระเทียมพริกไทย ขิงดอง ปิดท้ายด้วยผลไม้หลากชนิดที่ถูกบรรจงจัดเรียง หลังอาหารบทสนทนาสัมมาวาจา อิ่มเอมในถ้อยคำคิดถึงเป็นห่วงเป็นใย เป็นเหมือนน้ำเปล่า สะอาดชื่นใจ นับเป็นหนึ่งในกับข้าวมื้อที่เรียบง่ายและงดงามที่สุดในชีวิต
กลับบ้านมานั่งที่สวน ม้าหินยังสะสมความร้อนจากยามกลางวันไม่ได้มาก ยังเย็นยะเยือกยามนั่ง สายลมเหมันตฤดูพัดโบกมาพอให้ได้ขยับตัวไล่ความหนาวเย็น แสงแดดที่ลอดกอไผ่น้ำเต้าเป็นจุดๆ ดูอาร์ตๆดี รู้สึกวันนี้มีแมลงค่อนข้างน้อย แต่พวกนกกลับแอ็คทีฟมาก
รู้สึกถึงคลื่นพลังบวกในสวน ในชีวิต และในวันนี้มาก พาให้อ่านข่าว อ่านบทความ ตอบอีเมล์ด้วยความสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก สายๆเริ่มมี SMS และโทรศัพท์เข้ามาเป็นระยะๆ จากเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ และลูกศิษย์ ส่ง :-) และความคิดถึง และเรื่องราวชีวิตที่งดงามของแต่ละคนที่มีกับครอบครัว เพื่อน อาจารย์/ลูกศิษย์ ทั้งในงานและที่บ้าน พอให้ได้ยิ้ม ได้ฮา ได้จรรโลงใจ
แผลบเดียวเวลาเที่ยงแล้ว ผมเลือกที่จะเดินไปทานอาหารแถวบ้าน เพราะนั่งมาเกือบครึ่งวัน เป็นวันที่สนุกมาก เห็นเมนูตั้งแต่รายการแรกจนรายการสุดท้ายน่าทานไปหมด ทานไปขอบคุณคนเตรียม คนคิดสูตร คนปรุงอาหาร และคนที่เสิร์ฟไป ทานเสร็จรู้สึกดีที่มีสติ ไม่สั่งเกินพอ กินเสร็จแล้วไม่อึดอัด เหลือที่สำหรับของหวานกำลังดี
ซื้อขนมฝากที่บ้าน ไอศกรีม ๒ กระปุก และทาร์ตเอแคลร์ ๑ ชิ้น กินกัน ๔ คน กับ คุณแม่ พี่สาว และหลานสาว เป็นความสุขเล็กๆ ที่ได้ปันกันกิน ได้กินหลายๆ อย่างโดยไม่มากเกินไป นี่หละนะเป็นข้อดีของการอยู่ร่วมกัน
มีโอกาสเล่าให้พี่สาวฟังถึง โครงการ Hidden Connections (โยงใยที่ซ่อนเร้น) ที่ได้ไอเดียจากครูอั๋น อาศรมศิลป์ ฟริตจอฟ คาปรา และหนัง Six Degrees of Separation โดยให้คน ๑๐๐ คนใช้กล้องถ่ายรูปแบบใช้ครั้งเดียว ถ่ายรูป “ความสุข” แล้วส่งต่อให้คนที่รู้จักต่อไปเรื่อยๆ จนครบ ภาพที่ได้จากสายสัมพันธ์ต่างกันจะเรียงร้อยเป็นส่วนหนึ่งของงาน “มหกรรมความสุข” (Truly Happy Fest) ที่สวนเบญจศิริ วันที่ ๔-๕ มีนาคมปีหน้า ดีใจที่พี่สาวแสดงความสนใจ ชวนให้ผมตื่นเต้นที่จะได้รู้ถึงโยงใยของตัวเราเอง ที่เราเองยังไม่รู้ผ่านทางพี่สาว
วันนี้เป็นวันหยุด วันธรรมดา ที่แสนพิเศษ เป็นวันง่ายๆ สบายๆ ไม่มีกำหนดการที่เร่งรีบให้ต้องทำนู่น ทำนี่ ทำนั่น ได้ค่อยๆ บรรจงละเลียดแต่ละอณู ทีละอณูของวัน รู้สึกเหมือนได้ทบทวน ได้ทำ AAR (after action review) ปีทั้งปีจบแล้ว โดยที่ไม่ต้องคิดด้วย วันนี้ใช้วิธีตั้งใจบอกตนเองว่า อยากจะทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งปี แล้วก็โยนมันเอาไว้ในสมอง ส่วนที่มันทำงานโดยเราไม่ต้อง “คิด”
สัมผัสได้ถึง ความศิโรราบ ความวางใจให้กับชีวิตอย่างไม่มีเงื่อนไข ที่มาพร้อมกับ สติ ความแจ่มใส ความสนุก กระตือรือร้นกับโอกาสอย่างเต็มเปี่ยมที่ชีวิตมีให้ รู้สึกถึงสมบัติล้ำค่าของชีวิตที่ได้มาด้วยการปล่อยวางลงบ้าง
คิดถึงเพื่อนที่กำลังทำงานวันนี้ ขอให้ได้มีความสุขจากการทำงาน และได้มีความสุขจากประโยชน์ที่เกิดจากงานนั้น อันจะเป็นของแถมให้ได้มีความสุขเต็มที่ยามที่ได้พักผ่อน
คิดถึงเพื่อนที่ได้พักผ่อนในวันนี้ ขอให้ได้มีความสุขกับการพักผ่อน ให้ได้ผ่อนพักทั้งกาย ทั้งใจ เกิดสติ เกิดปัญญา เกิดกำลัง เพื่อทำงานที่มีประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นในยามที่โอกาสมาถึง
สคส. ส่งความสุขปีใหม่ให้ทุกคนครับ! ;-)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 18 ธันวาคม 2548
เราส่วนใหญ่ต่างชื่นชอบและชื่นชมคนเอาการเอางานครับ โดยเฉพาะท่านที่อยู่ในสถานภาพหัวหน้าทีม ผู้บริหารและเจ้าของกิจการ ถ้าได้ลูกน้องลักษณะนิสัยการทำงาน “เอาการเอางาน” ไว้ร่วมงานแล้ว จะกำหนดภารกิจตั้งเป้าหมายอะไรไว้ย่อมมีโอกาสลุล่วงหรือดำเนินการสำเร็จไปได้
เอาการเอางาน เป็นสำนวนไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายไว้ คือ “ตั้งใจทำงานด้วยความขยันขันแข็ง” คุณสมบัตินี้ย่อมเป็นที่ต้องการของบริษัท ห้างร้าน สถาบัน มูลนิธิ องค์กรต่างๆ แน่นอนครับ ถึงคราวสัมภาษณ์คัดเลือกพนักงานใหม่คราใด ก็มักจะพยายามวัดแววว่าเป็นคนเอาการเอางานดังว่านี้หรือเปล่า บ้างก็ถามผู้สมัครกันตรงๆ เลยว่า คุณเป็นคนขยันแค่ไหน? มาทำงานวันหยุดโดยไม่มีโอทีได้หรือไม่?
สำหรับตัวคนทำงานล่ะครับ? การเป็นคนเอาการเอางาน ขยันขันแข็ง ย่อมช่วยให้เรามีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ยิ่งถ้าทำกิจการส่วนตัวจะยิ่งเห็นประโยชน์ที่ได้รับจากความเอาการเอางานนี้เต็มๆ
แต่จะมีประโยชน์จริงๆ ไหมครับ หากเราต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ ชีวิตขาดสมดุล แล้วไร้ความสุข .. อย่างนี้ไม่ได้การครับ เพราะเราต้องทำงานไปพร้อมกับมีความสุขจากการทำงานด้วย
เรียกได้ว่า “เอางาน” และยัง “ได้การ” ด้วยครับ! การทำงานประเภทมุมานะสนใจแต่ตัวงานล้วนๆ ผมขอเรียกง่ายๆ ว่า “เอาแต่งาน” ครับ
เคยมีเพื่อนร่วมงานหรือเคยเป็นคนเอาแต่งานไหมครับ? คนที่ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่เคยเลยที่จะสนทนาวิสาสะกับเพื่อนร่วมงานในเรื่องอื่น นอกจากการประสานงานตามลำดับขั้นตอน หรือหัวหน้าที่จะพูดกับลูกทีมเมื่อต้องการสั่งงาน ตำหนิ อธิบายงานเท่านั้น ส่วนลักษณะอาการเอาแต่งานที่หนักกว่านี้ก็อย่างเช่น มุ่งสร้างผลงานให้ตัวเองเป็นหลัก เรื่องจะช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานอื่นนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ ทำนองว่างานใครจะเป็นไงก็ช่าง งานฉันเสร็จเป็นพอ หากทำงานแบบนี้ถือว่าได้งาน แต่ท่าจะไม่ได้การละครับ โรคเครียดรุมเร้า ความสุขเตลิดหนี สุขภาวะทุกมิติก็ทรุดโทรมไปด้วย
โอกาสที่เราทำงานมาแล้วเกือบครบปีนี้ ผมจึงชักชวนเราให้ “เอาการ ไม่เอา(แต่)งาน” ครับ ยืนยันว่า “ไม่เอา(แต่)งาน” ไม่ใช่ชวนให้ไม่เอางานนะครับ เพราะผมไม่ได้ชี้ช่องให้โดดงาน เฉื่อยงาน แต่เชื้อเชิญให้เราเปิดให้มี “พื้นที่นอกงาน” (Non-work Space) อยู่ในชีวิตการทำงานประจำวันของเรากัน สร้างพื้นที่นอกงานนี้ให้พอเหมาะพอสมควรเป็นสัดส่วนพอดีกับงานประจำด้วยนะครับ ไม่เอาชีวิตหรือทั้งชีวิตไปผูกกับตัวงานตลอดเวลา
พื้นที่นอกงานนี้ ใช่มีความหมายเชิงกายภาพอันเป็นสถานที่เท่านั้นครับ แต่หมายรวมถึง ความนึกคิดของเรา กิจกรรมที่เราทำ ทั้งในและนอกสถานที่ทำงาน สำหรับแต่ละคนต่างมีพื้นที่นอกงานในแบบของตัวเองต่างกันออกไป เช่น พักกลางวันก็หยุดคิดกังวลเรื่องงานไปเพลิดเพลินกับอาหารกลางวันให้เต็มที่ ระหว่างเดินไปติดต่องานฝ่ายอื่นก็แวะไปไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของเพื่อนต่างฝ่ายบ้าง การจัดเป็นโต๊ะกาแฟในสำนักงาน สร้างมุมหนังสือเล็กๆ ไว้ในออฟฟิศ
ตัวอย่างง่ายๆ กรณีหัวหน้าชวนลูกทีมไปทานข้าวกลางวัน โอกาสนี้ได้เปิดให้ถามความเป็นไปของกัน ได้ทราบว่าคนในทีมมีความสุขกับปริมาณงานที่มอบหมายให้หรือไร บรรยากาศความไม่เป็นทางการและอยู่นอกงานนี้แหละครับจะช่วยให้เผยความรู้สึกได้มากกว่า ถามคำถามเดียวกันในห้องผู้จัดการกับถามบนโต๊ะอาหารนั้น แม้เป็นประโยคเดียวกัน แต่ย่อมเจือน้ำเสียงและความรู้สึกต่างกัน แน่นอนครับว่าประการหลังจะมีความจริงใจและเปิดเผยกว่ามาก
การมีพื้นที่นอกงานร่วมกันในหมู่คนทำงาน ทำให้เราได้มีโอกาสเรียนรู้กันและกันผ่านกิจกรรมที่ไม่ใช่การทำงานครับ เปิดโอกาสให้เราได้เห็นมิติความเป็นเพื่อนเป็นพี่ ความเป็นมนุษย์ของหัวหน้าทีม เห็นความอ่อนโยนของผู้บริหาร เห็นความเป็นผู้นำของพนักงานระดับปฏิบัติการ สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมเราให้มีความเข้าใจกันมากขึ้น เป็นพื้นฐานที่สำคัญและมั่นคงของการทำงานร่วมกันเป็นทีม (Teamwork) ที่เกื้อหนุนสอดประสานกันไป
พื้นที่นอกงานที่ผมสนับสนุนและลุ้นให้เราได้ทำเพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายคือ งานอาสาเพื่อส่วนรวมครับ เป็นกิจกรรมหรืออะไรก็ได้เล็กๆ น้อยๆ ทำด้วยใจ ให้ทุกคนมีจิตอาสา ทำในที่ทำงานหรือชุมชนละแวกใกล้ก็ได้ เริ่มจากบริจาคโลหิต ร่วมกันจัดกิจกรรมบริจาคเสื้อในช่วงฤดูหนาว ทำความสะอาดปลูกแต่งต้นไม้บริเวณทางเท้าหน้าอาคาร ไปจนถึงชักชวนพนักงานร่วมกันอ่านหนังสือให้คนตาบอด หรือแม้แต่สอนภาษาอังกฤษให้เด็กๆ ชุมชนใกล้ที่ทำงาน
ประโยชน์อย่างยิ่งคือ คนทำงานได้ใช้พื้นที่นอกงานยกระดับจิตใจ ได้ทำสิ่งดีๆ แก่ผู้อื่น ได้ตระหนักรับรู้ว่าเราสัมพันธ์เชื่อมโยงกับคนอื่นทั้งในที่ทำงานด้วยกัน อยู่ในอาคารเดียวกัน อยู่ร่วมสังคมเดียวกัน บริษัทองค์กรเองก็ได้ภาพลักษณ์ขององค์กร ดีกว่าพยายามสร้างภาพพจน์ให้ดีแต่สิ้นเปลืองงบประมาณประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อทีวีวิทยุ
ชวนกันมาสร้าง Happiness@Work มา “เอาการ ไม่เอา(แต่)งาน” โดยเปิดพื้นที่นอกงานกันครับ [ตัวอย่างเช่น บริษัทปูนซีเมนต์ไทย พาพนักงานร่วมกันทำความสะอาดเก็บขยะในแม่น้ำเจ้าพระยากับโครงการ “อาสาเพื่อในหลวง” (www.V4King.in.th) โดย สสส. และเครือข่ายจิตอาสา (volunteerspirit.org) ในวันอังคารที่ ๒๗ ธันวาคมนี้ สร้างความดีแก่สังคมถวายแด่พระองค์ท่านในวโรกาสจะทรงครองราชย์ครบ ๖๐ ปีครับ] :-)
บุคคลสำคัญที่ต้องลดตนเป็นคนเล็กๆ เพื่อที่จะทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่
Posted by knoom at 11:24 PM Labels: จิตวิวัฒน์, จิตอาสา
ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตวิวัฒน์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 17 ธันวาคม 2548
ภายในโรงพยาบาลซินเตี้ยน มูลนิธิพุทธฉือจี้ เมืองไทเป มีป้ายประกาศปรัชญาของโรงพยาบาล สวยสง่า ท้าทายระบบทุนนิยมอยู่ ที่ป้ายมีประโยคเรียบง่ายว่า “The Mission to be a Humane Doctor.” (พันธกิจ คือ การเป็นแพทย์ที่มีความเป็นมนุษย์)
ใครที่รู้จักงานของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก “พระบิดาของวงการแพทย์ไทย” คงจะอึ้งทึ่งกับข้อความซึ่งช่างคล้ายคลึงกับข้อแนะนำที่ท่านเคยพระราชทานให้แก่แพทย์ไทยที่ว่า “ขอให้ท่านทั้งหลายที่จบการศึกษาเป็นทั้งแพทย์และมนุษย์เดินดิน” (I do not want you to be only a doctor, but I also want you to be a man.)
พันธกิจที่ติดไว้ก็ไม่ได้เป็นแค่คำพูดโก้ๆ มีไว้ประกอบการขอมาตรฐาน ISO แต่แสดงออกในทุกมิติของโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ คำกล่าวของ นพ.หูจื้อถัง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่ว่า “แพทย์และพยาบาลเป็นบุคคลสำคัญ ที่ต้องลดตนเป็นคนเล็กๆ เพื่อที่จะทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่” หรือคำพูด นพ. ไช่ซื่อชือ รองผู้อำนวยการที่ว่า “ต้องเคารพนับถือผู้ป่วยทุกคน เพราะถือว่าเป็นอาจารย์ของเรา” แพทย์ของที่นี่ยิ้มแย้มแจ่มใส ปฏิบัติต่อผู้ป่วยเสมือนญาติ บางครั้งยังเข็นรถเข็นผู้ป่วยออกมาส่งด้วยตนเอง
หากท่านเดินเข้าไปในโรงพยาบาลซินเตี้ยน ท่านก็คงจะแปลกใจกับบรรยากาศที่ไม่เพียงอบร่ำไปด้วยรอยยิ้มแต่ยังมีเสียงดนตรีจากแกรนด์เปียโนที่อาสาสมัครชาวฉือจี้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเล่น ทั้งดนตรีคลาสสิกและดนตรีป๊อป ให้ผู้ป่วยและญาติได้ผ่อนคลายทุกวัน เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในอาคารก็มีอาสาสมัครที่มารอรับด้วยรอยยิ้ม และคำขอบคุณ (ที่ทำให้พวกเขามีโอกาสได้บำเพ็ญตนรับใช้ท่าน) พร้อมช่วยเหลือพาท่านทำกิจกรรมต่างๆ จนเสร็จกระบวนการ
แต่ขอประทานโทษนะครับ งานอาสาเหล่านี้ไม่ใช่จะได้มาทำง่ายๆ นะครับ อาสาสมัครต้องผ่านการฝึกฝนก่อนและต้องรอคิวนานถึงเกือบปีจึงจะได้มีโอกาสมาทำกิจอาสาเพียง ๑ วัน เพราะอาสาสมัครเหล่านี้ถือเช่นเดียวกับที่ นพ.เจี่ยนฮุ่ยเถิง ที่กล่าวว่า “โรงพยาบาลเป็นทั้งสถานประกอบอาชีพและที่ปฏิบัติธรรม เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและปูทางให้คนไข้เดินหน้าไปได้สะดวกขึ้น” งานประจำและงานจิตอาสาที่มีคุณค่าเหล่านี้คือ ความดีที่หล่อเลี้ยงชีวิต
โรงพยาบาลมาตรฐานชั้นหนึ่งระดับนานาชาติแห่งนี้ รับรักษาผู้ป่วยทุกคน ทุกระดับ ด้วยจิตบริการเสมอกัน โดยไม่เว้น แม้ว่าจะไม่มีเงิน หรือประกันสังคมก็ตาม ท่านอาจารย์สุมน สมาชิกจิตวิวัฒน์ที่ร่วมดูงาน (ที่จัดโดยศูนย์คุณธรรม) ถึงกับกล่าวว่าอยากเป็นคนไข้ที่นี่ เพราะรู้ว่าจะได้รับการปฏิบัติอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์!
คณะที่เดินทางไปด้วยกันยังได้ไปดูเบื้องหลังความสำเร็จของโรงพยาบาลชั้นนำของไต้หวันแห่งนี้อีกด้วย คือ มหาวิทยาลัยพุทธฉื้อจี้ ที่เมืองฮั้วเหลียน มหาวิทยาลัยมีคำขวัญคือ “ฉือ เป่ย สี เสิ่ง” คือ พรหมวิหารสี่: เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นั่นเอง (ข้าพเจ้าหวนนึกคำของพระบิดาของวงการแพทย์ไทยอีกที่ว่า “อาชีพแพทย์นั้นจำต้องยึดมั่นในอุดมคติ เมตตากรุณาคุณ”) ที่นี่นักศึกษาที่สอบเอนทรานซ์เข้ามาแม้คะแนนจะไม่สูงนัก แต่ยามจบเป็นบัณฑิต สอบใบประกอบโรคศิลป์กลับได้ลำดับต้นๆ ของประเทศ
มหาวิทยาลัยมีความโดดเด่นตรงการผสมผสาน กลมกลืน มิติของกาย จิต สังคม และจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน มีการสอดแทรกเรื่องศิลปะ วัฒนธรรม จิตสำนึกอยู่ในชีวิตประจำวัน นักศึกษาได้ฝึกการภาวนา เจริญสติ นั่งสมาธิ เขียนพู่กันจีน ชงชา และจัดดอกไม้ เพราะเชื่อว่านักศึกษาสามารถเห็นดอกไม้แล้วเห็นความเป็นทั้งหมด ความเป็นหนึ่งเดียว เห็นความงามของจักรวาลได้ เป็นชุดประสบการณ์ที่ทำให้นักศึกษาเข้าใจจิตใจของคนไข้และญาติ เข้าถึงสุนทรียภาพ ความอ่อนโยน ละเมียดละไม เข้าใจธรรมชาติความเป็นคนไปพร้อมความวิทยาการเทคโนโลยีตะวันตก
ที่นี่มีวิชากายวิภาคศาสตร์ที่โดดเด่นเป็นที่หนึ่งของไต้หวัน นักศึกษาจะได้รู้จักประวัติของอาจารย์ใหญ่ (ศพที่บริจาคเพื่อการศึกษา) ได้ไปใกล้ชิดกับญาติของอาจารย์ใหญ่ จนราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน มีการประกอบพิธีกรรมอันงดงามร่วมกันทั้งก่อนและหลังเรียน เป็นการบ่มเพาะให้นักศึกษาเรียนแล้วเกิดสำนึกในบุญคุณของอาจารย์ใหญ่และผู้ป่วยอื่นๆ ในอนาคต
เป็นโรงเรียนแพทย์ที่บุกเบิกรณรงค์ให้ชาวไต้หวันบริจาคร่างกายเพื่อการศึกษา (เพราะขัดกับความเชื่อเดิมของชาวจีน) จากเดิมที่มหาวิทยาลัยทั่วไต้หวันไม่ค่อยมีจะเรียน ปัจจุบันมีชาวบ้านธรรมดาที่มีจิตใจที่ยิ่งใหญ่บริจาคกันมากจนมีเหลือเผื่อแผ่ไปยังที่อื่น อาจารย์ใหญ่ท่านหนึ่งป่วยเป็นมะเร็ง ถึงกับยอมไม่รักษาตัวเองด้วยเคมีบำบัด ยอมทนความเจ็บปวด ด้วยความปรารถนาที่จะได้ให้นักศึกษาเห็นเนื้อเยื่อที่มีลักษณะเหมือนจริง มีความรู้เพื่อที่จะไปรักษาผู้อื่นมากที่สุด อาจารย์ใหญ่อีกท่านบอกว่า “เมื่อฉันตายไปแล้ว เธอจะใช้มีดกรีดฉันผิดกี่ครั้งก็ได้ แต่เมื่อพวกเธอจบออกไป ห้ามกรีดผิดแม้แต่ครั้งเดียว”
ทั้งหมดเป็นการดูงานที่อุดมไปด้วยเรื่องราวที่เกิดปิติอย่างยิ่ง เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของจิตปัญญาศึกษา (Contemplative Education) เป็นระบบการศึกษาที่งดงามอย่างที่สุด ที่กลุ่มจิตวิวัฒน์และเครือข่าย (เช่น สถาบันอาศรมศิลป์ โรงเรียนสัตยาไส เสมสิกขาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล) กำลังสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดการทำงานเป็นเครือข่ายทั่วประเทศ
จิตปัญญาศึกษา การศึกษาที่ทำให้ผู้เรียนมีความเป็นเลิศทั้งเรื่องวิทยาการภายนอกและพัฒนาการภายใน รู้จักรู้ใจตนเอง เป็นการศึกษาที่ทำให้ผู้เรียน สถาบันการศึกษา และสังคมโดยรวมเข้าสู่ความเป็นจิตวิวัฒน์ไปพร้อมกัน
ดังเช่นที่ ท่านอาจารย์ประเวศ เคยกล่าวในที่ประชุมจิตวิวัฒน์ ในหัวข้อ “แผนที่ความสุข” ว่า “ที่สุดแล้วคนทุกคนน่าจะเชี่ยวชาญ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือเชี่ยวชาญในอาชีพอย่างที่เป็นกันอยู่แล้ว กับอีกเรื่องหนึ่งคือ เชี่ยวชาญในการสร้างความสุขให้ตนเอง และช่วยให้เพื่อนมนุษย์สร้างความสุขได้”
หรือคำของพระบรมราชชนกที่กล่าวไว้อีกเช่นกันว่า “ความสำเร็จมิใช่อยู่ที่การเรียนรู้ หากแต่เป็นการนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์” นั่นเอง
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 4 ธันวาคม 2548
เดือนธันวาคมมาถึงแล้วครับ! เดือนที่บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุข ด้วยว่าอุดมทั้งเทศกาลงานรื่นเริง วันหยุดชดเชย และวาระสำคัญต่างๆ ไล่เรียงมาเป็นลำดับนับแต่ วันพ่อ วันรัฐธรรมนูญ วันคริสต์มาส และวันสิ้นปี ยังไม่นับงานฉลองปีใหม่ของบรรดาบริษัทห้างร้านต่างๆ บางคนยังได้รับโบนัสปลายปีอีกด้วย
ช่วงเวลาแห่งความสุขนี้เราจะเห็นทุกคนต่างให้สิ่งดีๆ แก่กันและกันในหลากหลายแบบครับ นับแต่การน้อมใจภักดิ์ถวายพระพรแด่พระองค์ท่านจากใจชาวไทยทุกหมู่เหล่า การกราบเท้าและบอกรักคุณพ่อ (คุณแม่ และญาติผู้ใหญ่) ขอบพระคุณที่ท่านได้ให้กำเนิดอบรมเลี้ยงดูเรามา การเลือกสรรหาของขวัญที่มีคุณค่าทางจิตใจมอบให้แก่เพื่อน ให้แก่คนรัก สำหรับหลายคนได้ใช้ช่วงสิ้นปีนี้ทำบุญในศาสนสถาน ให้ทานคนยากไร้
และโดยเฉพาะวันที่ ๒๖ ธันวาคมปีนี้ เราคงลืมวาระครบรอบ ๑ ปีของหายนภัยสึนามิใน ๖ จังหวัดภาคใต้ไปไม่ได้ การสูญเสียจากอุบัติภัยที่ไม่คาดฝันนี้ ได้เกิดคลื่นสะท้อนกลับนำความรักความห่วงใยและน้ำใจหลากไหลสู่พี่น้องผู้ประสบภัยในพื้นที่ ปีนี้เราคงได้หวนระลึกว่าต่างได้เคยให้สิ่งดีๆ เพื่อเยียวยาใจกัน ทั้งสิ่งของเครื่องใช้ และร่วมลงมือลงแรงทำงานอาสาสมัครอย่างแข็งขันกันมาแล้ว
พลังน้ำใจที่มุ่งมั่นช่วยเหลือกันนับแต่เกิดหายนภัยนี้ เป็นปรากฏการณ์สำคัญยืนยันว่าโดยพื้นฐานแล้วทุกคนต่างมีจิตใจที่ดีงามภายใน พร้อมที่จะให้ พร้อมที่จะแบ่งปันแก่เพื่อนที่มีทุกข์ กล่าวได้ว่า วันที่ ๒๗ ธันวาคม ถัดจากวันที่สูญเสีย เป็น "วันจิตอาสา" วันปลุกกระแสอาสาสมัครของไทยและทั่วโลก วันสำคัญอีกวันหนึ่งซึ่งเราทุกคนจดจำและเป็นวันที่ได้ให้สิ่งดีๆ แก่กันอีกวันหนึ่งในเดือนธันวาคม
การให้และการได้รับนั้นต่างมีความสุขเช่นกันครับ ไม่ว่าจะเป็นการให้เพียงเล็กน้อย เช่น ของขวัญปีใหม่สำหรับมิตรสหาย หรือการให้เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลชีวิตเพื่อนพี่น้องชาวใต้ที่ประสบภัยธรรมชาติ เราเองต่างสามารถให้ได้มากน้อยตามกำลังและโอกาสของเราเอง หลายคนยืนยันชัดเจนครับว่าเขามีความสุขมากมายจากการได้อุทิศเพื่อคนอื่น และความสุขที่หลายคนได้รับกลับมานั้นก็ได้เปลี่ยนทัศนะต่อโลกและชีวิตของเขาไปโดยสิ้นเชิง
แต่ขณะเดียวกัน บางคนกลับยังไม่พบความสุขจากการให้ครับ บ้างยังรู้สึกว่าการให้สิ่งของไม่ก่อให้เกิดความยั่งยืนและไม่ส่งเสริมให้เขาช่วยเหลือตัวเองได้ บางคนหลังจากได้บริจาคทรัพย์แล้วความรู้สึกดีก็จืดจางลงอย่างรวดเร็ว บ้างถึงกลับเสียใจที่พบว่าผู้รับไม่ได้มีสีหน้ายินดีกับความช่วยเหลือของเขา พาลให้ตั้งคำถามต่อความสุขที่ได้จากการทำดี ความสุขจากการได้ให้ไปเสียเลย
ความสุขจากการให้คืออะไร? หลายวันที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมงานของมูลนิธิพุทธฉือจี้ ที่ประเทศไต้หวัน ซึ่งศูนย์คุณธรรม (ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม) ได้เอื้อเฟื้อการเดินทางครั้งนี้ ผมได้พบเห็นเรื่องราวดีๆ ต่างๆ มากมายที่เกิดจากแรงบันดาลใจ ความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์และต่อโลก และผมพบว่าเหล่าอาสาสมัครจำนวนนับล้านของมูลนิธิฉือจี้นั้นมีความเชื่อมั่นต่อความสุขจากการให้เพียงไร
มูลนิธิฉื้อจี้ซึ่งนำโดยท่านธรรมจารย์เจิ้งเหยียนนั้น มีพันธกิจเพื่อเพื่อนมนุษย์ต่างๆ มากมายครับ สามารถก่อตั้งโรงเรียน มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาล ตลอดจนมีอาสาสมัครจำนวนหกล้านกว่าคน ครอบคลุมหลายสิบประเทศทั่วโลก แต่สิ่งสำคัญที่น่าสนใจที่สุดมิได้อยู่ที่ความใหญ่โตของอาคาร หรือจำนวนอาสาสมัครครับ
สิ่งสำคัญที่ผมได้พบคือ ชาวฉือจี้ทุกคนถือว่าการไปช่วยเหลือผู้อื่นนั้น จะต้องไม่ถือว่าเขาอยู่ในสถานะที่ด้อยกว่าเรา แต่เราจะเคารพเขาซึ่งเป็นผู้รับอย่างนอบน้อมและจริงใจ คุณจะไม่พบหรอกครับว่าชาวฉือจี้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยการโยนสิ่งของลงจากเฮลิคอปเตอร์ หรือส่งของให้โดยไม่มองหน้าผู้รับ แม้ว่าจะรีบเร่งหรือมีของจำนวนมากแค่ไหน แต่เขาจะพนมมือไหว้สวัสดีผู้รับอย่างจริงใจ ยื่นของให้ด้วยสองมืออย่างเคารพนบนอบ ด้วยเพราะเราถือว่าความทุกข์ของผู้ประสบภัยในฐานะผู้รับนั้น ได้เปิดโอกาสให้เราได้ให้ ให้เราได้สร้างกุศล ก่อบุญ และได้พัฒนายกระดับจิตใจของเรา ถือเป็นเนื้อนาบุญของเรา
กลับมาทบทวนนึกถึงเพื่อนๆ เราที่เขาไม่มีความสุขจากให้ หรือแม้แต่ตัวเราเองในบางครั้งที่ได้ให้ทานช่วยเหลือผู้อื่นแต่พบว่าไม่ได้มีความสุขอย่างแท้จริงกันครับ ผมชักชวนให้เราลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ในการให้ เรียนรู้จากแนวทางของชาวฉือจี้ มาสู่การให้ของเราที่ช่วยเขาด้วยความขอบคุณ และเคารพในตัวคนที่เป็นผู้รับ ในฐานะที่มีสถานภาพทัดเทียมกับเรา เพียงแต่ ณ เวลานี้ที่เขามีทุกข์ เป็นเหตุเป็นช่วงเวลาที่ได้เปิดโอกาสให้เราได้ทำดี ได้ขัดเกลาจิตใจของเราให้ได้มองออกไปพ้นจากตัวเอง
ไม่จำเป็นว่าการทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นนี้ต้องเป็นเรื่องช่วยเหลือผู้ประสบภัยเท่านั้นนะครับ แต่รวมถึงทุกวันในชีวิตของเรา ทั้งในบ้าน ในสถานที่ทำงาน สิ่งเล็กๆ น้อยในบ้านและที่ทำงานเราก็ทำเพื่อช่วยเหลือกันได้ เราช่วยเพื่อนร่วมงานพร้อมกับรู้สึกดีว่าเขาทำให้เราได้มีโอกาสทำดี เช่น เขาใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์บางอย่างไม่เป็น เราก็สอนเขา ทำให้เราได้ทบทวนความรู้ของเรา และเราก็รู้สึกเคารพเขาอย่างจริงใจ รู้สึกว่าไม่ใช่เพราะเขาด้อยกว่ารู้น้อยกว่าจึงต้องการฝีมือเราช่วย แต่เพราะครั้งนี้เขาต้องทำสิ่งที่ไม่ถนัด ไม่คุ้นเคย เปิดให้เราได้ช่วยเหลือ และเราได้รับเกียรติที่จะได้ช่วยครับ ง่ายๆ แค่นี้เราก็มีสุขจากการให้แน่นอนครับ
แถมอีกนิดครับ เรามาทำให้เดือนธันวาคม เดือนแห่งความสุขของเราเป็น เดือนแห่งความสุขจากการทำดีให้คนอื่น กันเถอะครับ ทาง สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) และเครือข่ายจิตอาสา (www.VolunteerSpirit.org) เองก็มี โครงการอาสาเพื่อในหลวง (www.V4King.in.th) ชักชวนพวกเราชาวไทยมีจิตใจจิตสำนึกอาสา ทำอะไรก็ได้มากน้อยแก่ครอบครัว แก่ที่ทำงาน แก่ส่วนรวม ถวายแด่ในหลวงในวโรกาสจะทรงครองราชย์ครบ ๖๐ ปี มาร่วมกันให้แก่คนรอบข้างอย่างเคารพและขอบคุณกันด้วยใจกันครับ :-)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Home
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 20 พฤศจิกายน 2548
ผมเพิ่งพบกับเพื่อนคนหนึ่งมาครับ เขาเล่าประสบการณ์น่าสนใจของเขาในช่วงเดือนที่ผ่านมาให้ฟังผมว่า เขาได้รับผิดชอบงานสำคัญโครงการหนึ่ง และให้เวลากับงานนี้วันละมากกว่า ๑๒ ชั่วโมง ทำงานทุกวันติดกันต่อเนื่องไม่ได้หยุดเลยแม้แต่วันเสาร์อาทิตย์ แต่ปรากฏว่า แม้จะทุ่มเทเวลาให้งานมากเท่าไหร่ ตัวเขาเองกลับทำงานช้า หรือไม่มีไอเดียดีๆ ออกมามากนัก เพราะคิดอยู่เสมอว่างานนี้ไม่ง่าย ต้องเกี่ยวข้องกับคนหลายฝ่ายหลายองค์กร บางองค์กรก็ไม่ถูกกัน กำหนดเส้นตายวันปิดโครงการก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เขากังวลตลอดเวลาเลยครับว่างานจะไม่เรียบร้อย เพราะว่ากำหนดส่งงานจะมาถึงในอีกไม่ช้า เขากังวลมากจนถึงขั้นจินตนาการนึกภาพไว้ล่วงหน้าถึงวันกำหนดส่งงานได้เลยว่า การนำเสนองานต่อที่ประชุมในวันนั้นอาจจะล้มเหลวแน่ คณะกรรมการต้องให้เขาไปปรับแก้ และแย่กว่านั้นคือถูกหัวหน้าตำหนิแน่นอน เพื่อนของผมยอมรับว่า เขาคาดหวังไว้กับงานนี้มาก แต่ก็รู้สึกเป็นทุกข์มากเช่นเดียวกัน สุดท้ายถึงแม้งานจะเสร็จทันส่ง และไม่มีอะไรแย่อย่างที่คิด แต่เขาก็พบว่าทำงานด้วยความเครียดบนความกลัวมาตลอดทั้งเดือน ทั้งๆ ที่เป็นงานที่เขาชอบ
ไม่เพียงแต่เรื่องงานเท่านั้นครับ เหตุที่โครงการนี้ทำให้เขาต้องรีบมาแต่เช้าแล้วกลับบ้านดึกทุกวัน ทำให้เขามีพื้นที่และเวลาส่วนตัวลดลง โอกาสจะได้เจอกับคนรักก็หายไปด้วย ปรกติทั้งคู่จะนัดพบกันอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งในวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่นี่ทั้งเดือนไม่พบปะเห็นหน้าค่าตากันเลย หลังจากภารกิจงานสำคัญชิ้นนี้เสร็จลง เขาก็คิดว่าควรจะหาของขวัญให้กับเธอสักชิ้น สื่อความหมายนัยหนึ่งเพื่อเป็นการขอโทษที่ไม่ได้ใกล้ชิดเอาใจใส่ อีกทางหนึ่งเพื่อบอกว่าเขายังรักและห่วงใยเธอเหมือนเดิม เพื่อให้ได้ของขวัญที่ถูกใจเธอ เขาลงทุนซื้อน้ำหอมต่างประเทศ พนักงานขายก็ช่วยกุลีกุจอเลือกกลิ่นให้ เขาเองก็ถามแล้วถามอีกจนมั่นใจว่ากลิ่นนี้ ยี่ห้อนี้ ได้รับความนิยม น่าจะถูกใจแฟนที่เป็นคนรักสวยรักงามและทันสมัย
ปรากฏว่าเมื่อแฟนเขาแกะห่อของขวัญออกมาพบว่าเป็นน้ำหอมขวดราคาหลายพัน เธอก็ขมวดคิ้ว บอกเขาว่าซื้อยี่ห้อนี้มาทำไมกัน สิ้นเปลืองเปล่าๆ เธอใช้อีกยี่ห้อนึงเป็นประจำอยู่แล้ว แถมถ้าจะซื้อน้ำหอมต้องได้ลองกลิ่นก่อน เพื่อนผมได้เห็นสีหน้าได้ยินแฟนว่าดังนี้แล้วก็จ๋อยทันทีครับ รู้สึกน้อยใจ ผิดหวัง และรู้สึกแย่ที่ทำดีแล้วไม่ได้ดี นึกถึงวลีว่าทำคุณบูชาโทษขึ้นมาทันที แม้ว่าเย็นวันนั้นแฟนทำอาหารอร่อยๆ ให้ทาน แต่เขาก็ไม่รู้สึกถึงรสอาหาร ใจมันกลัดกลุ้มว่าไม่น่าซื้อน้ำหอมมาให้เป็นของขวัญเลย เขาพาลน้อยใจจนคุยอะไรก็ไม่สนุก ทั้งที่อุตส่าห์ได้เจอกันวันแรกในรอบหนึ่งเดือน
ผมเอาเรื่องเพื่อนมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้เพื่อบอกเล่าเรื่อง ๒ ประเด็นครับ ประเด็นแรกคือการทำงาน เราเห็นได้ชัดเลยครับว่าเป็นเรื่องการคาดหวังที่ทำให้เกิดความกังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เพราะขณะที่เขากำลังทำงานใจก็คิดไปถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ด้วยการจินตนาการ คาดเดา และคาดหวังไปต่างๆ นานา การทำงานที่มัวแต่กังวลถึงเรื่องเหล่านี้ เป็นการผูกติดความรู้สึกของเราไว้กับอนาคตครับ ขึ้นชื่อว่าเป็นอนาคตย่อมแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง และเมื่อมาถึงแล้วอาจเป็นไปตามที่คาดหรือไม่ก็ได้ ฉะนั้น การคาดหวังและกังวลต่ออนาคตวันข้างหน้า เดือนหน้า ปีหน้า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราจะมีแต่ความเครียดและความกลัว
ประเด็นที่สองคือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนรัก เรื่องที่เขาซื้อของขวัญให้กับแฟนก็ชัดเจนเช่นกันครับว่าเป็นเรื่องของความผิดหวัง เพราะหวังไว้ว่าผลจากการกระทำหรือจากการให้ของ น่าจะทำให้ผู้รับดีใจและชื่นชม แต่เมื่อผลกลับกลายไม่เป็นไปตามคิด เขาจึงผิดหวังเพราะไม่พอใจกับปฏิกิริยาของแฟน เรียกได้ว่าทำอะไรดีๆ ให้คนที่เรารัก แต่เขากลับทำตัวไม่น่ารักเท่าไหร่ ความผิดหวังก็พาลให้นึกไปถึงอดีตว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะไม่ทำ จะไม่ซื้อของ หรือจะซื้ออย่างอื่นมาแทน ใจหมกมุ่นกับอดีตก็มีแต่ความเสียใจ และความโกรธ อะไรตรงหน้าที่ดีๆ ก็ไม่รับ ไม่มีความสุขกับอาหารที่แฟนทำให้
เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่พึงประสงค์ทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็นความเครียด ความกลัว ความโกรธ เสียใจ เราหันมาแสวงหาความสุขกันดีกว่าครับ ในเมื่อความรู้สึกบ่อนทำลายจิตใจต่างๆ นี้ มีที่มาจากการคาดหวัง และการผิดหวังของเรา ผมจึงชวนให้พวกเรา “ไม่หวัง” กันครับ
ทั้งในที่ทำงานและที่บ้านเลยนะครับ เราสามารถทำงานที่ชอบ ทำงานที่สนุก และมีความสุขจากการได้ทำงานเหล่านั้น ไม่ต้องคาดหวังแล้วกลัวหรือกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง สำหรับที่บ้าน สำหรับคนที่เรารัก เมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้ทำอะไรให้เขา เราควรมีความสุขที่ได้ทำให้โดยไม่คาดหวังว่าจะได้รับอะไรตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นคำขอบใจ ยิ้มปลื้ม หรือหอมแก้มเป็นรางวัลสักฟอด
ไม่หวังในที่นี้ จึงเป็นการไม่คิดไปเองก่อน ทำดีที่สุดโดยไม่ลังเลว่าทำแล้วจะดีหรือไม่ ไม่นึกกังวลไปว่าทำแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ไม่เสียใจในผลของการทำดีให้คนที่เรารัก แม้ว่าบางครั้งเขาจะทำตัวไม่ค่อยน่ารักสักเท่าไหร่ เอาเป็นว่าเราตั้งใจดีและมีความสุขกับสิ่งที่ทำ ณ เวลาปัจจุบัน ดีที่สุดแล้วครับ
ไม่หวังต่างจากไม่วางแผนหรือไม่ตัดสินใจนะครับ เพราะว่าในชีวิตแต่ละวันของเรานั้น เราได้พยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ณ เวลานั้นเสมอครับ ไม่มีใครหรอกครับที่จะเลือกสิ่งที่ดีกว่ารองลงไป ถ้าในเวลานั้นมีทางเลือกที่ดีกว่า เช่น ตัดสินใจซื้อน้ำหอมให้เป็นของขวัญเพราะข้อมูลที่มีเวลานั้นคือแฟนเราชอบ ตัดสินใจสั่งข้าวผัดแทนราดหน้าเพราะรูปในเมนูดูน่ากินกว่า
หาความสุขจากการทำงานที่รัก ได้ทำอะไรให้คนรักที่บ้าน ไม่ต้องคาดหวังผลตอบแทนหรือผิดหวังจากผลที่เกิดขึ้นหรอกครับ มีความสุขในปัจจุบันนี่แหละครับ เป็นความสุขที่แท้จริงและขึ้นอยู่กับตัวเราเองด้วยครับ เชิญชวนให้ลองไม่หวังกันดูนะครับ Happiness@Home และ Happiness@Work เกิดขึ้นได้เริ่มจากใจเราเองครับ :-)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 6 พฤศจิกายน 2548
“นับวันการดำเนินชีวิตมีแต่จะเร่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ” ปีเตอร์ รัสเซลล์ เขียนประโยคข้างต้นไว้ในหนังสือ “รู้ตื่นให้ทันการณ์” (แปลจาก Waking Up in Time) เขาบอกเล่าว่าชีวิตปัจจุบันของเราถูกเร่งให้ใช้เวลาในการทำงานต่างๆ น้อยลง เทคโนโลยีที่ได้ก้าวหน้าพัฒนาขึ้นแทนที่จะช่วยให้เราทำงานง่าย สะดวก และมีเวลาเหลือมากกว่าก่อน การณ์กลับเป็นว่าเราถูกคาดหวังให้ทำงานเสร็จเร็วกว่าเดิม เพราะมีเครื่องทุ่นแรงทุ่นเวลามากมาย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราคงรู้ดีว่า ไม่เฉพาะความเร่งที่เพิ่มขึ้น เรายังต้องทำงานให้เสร็จหลายอย่างในเวลาเดียวกันอีกด้วย
โลกการทำงานของเราตอนนี้ พนักงานในสำนักงานไม่ได้มีหน้าที่อย่างเดียวอีกต่อไป คงจะหาคนที่ทำงานจำเพาะอย่างเดียวได้น้อยมากครับ เช่น ทำงานพิมพ์ดีดอย่างเดียว โทรศัพท์นัดหมายประชุมอย่างเดียว ทุกคนจะต้องทำงานได้หลายอย่าง ยิ่งไปกว่านั้น หลายๆ คนมีปริมาณงานมากจนไม่สามารถจัดการให้เสร็จได้ทันกำหนด ชีวิตที่คล้ายได้อัพเกรดจาก DOS เป็น Windows แม้ดูดีขึ้น แต่ก็เสี่ยงกับเครื่องแฮงค์บ่อยๆ
ในช่วงแรกเมื่อมีหน้างานต้องรับผิดชอบจำนวนหนึ่ง เป็นการเปิดศึก ๒ ด้าน เรายังอาจพอรับมือได้ แม้ปริมาณงานเพิ่ม เรายังพอไหว แต่สักระยะผ่านไป หากหน้างานเพิ่มทวีจำนวน กลายเป็นศึก ๑๐ ด้าน ปริมาณก็ทวีคูณ แน่นอนว่าเราคงไม่สามารถทำให้ดีเท่าระดับเดิมไปให้ตลอดรอดฝั่งได้ หากงานไม่เรียบร้อยเหมือนก่อน ผลพลอยได้ที่อาจตามมาคือความเครียดและความทุกข์เกิดขึ้นกันถ้วนทั่วครับ ตื่นเช้าแต่ละวันบางคนอาจไม่อยากมาทำงาน พอมาถึงที่ทำงานก็ไม่รู้จะเริ่มทำอะไรก่อนดี ครั้นทำไม่เสร็จ ทำไม่ดีก็กลัวหัวหน้าตำหนิ ฯลฯ
สถานการณ์ลักษณะนี้เป็นปัญหาที่ศาสตร์ด้านการบริหารจัดการพยายามหาแนวทางวิธีการเพื่อให้ผลของงานราบรื่น องค์กรได้ประโยชน์ และพนักงานมีประสิทธิภาพ แนวทางส่วนหนึ่งอาจกลับมาจัดระบบงานให้ดี ฝึกอบรมพนักงานให้เลือกทำงานตามลำดับความสำคัญก่อนหลัง ดังเช่นการอบรมแนว Steven Covey คนเขียนหนังสือ "๗ อุปนิสัยสำหรับผู้ทรงประสิทธิผลอย่างยิ่ง" (Seven Habits of Highly Effective People) แนะนำให้ลูกทีมและหัวหน้าทีมคุยกันเพื่อกำหนดความคาดหวังและแบ่งงานในปริมาณที่เหมาะสม ทั้งหมดนี้ต่างพยายามแก้ปัญหาที่ตัวระบบกลไกและเทคนิคการทำงานครับ
แต่สิ่งหนึ่งในงานที่ไม่อาจละเลยมองข้าม คือความสุขจากการทำงาน หรือ Happiness@Work ซึ่งเป็นเรื่องภายในจิตใจเราเองครับ สภาวการณ์ที่เราเครียดจากการทำงาน รู้สึกเป็นทุกข์จากงานที่ไม่ได้ผลตามคาด หวาดหวั่นการถูกตามงานจากผู้บังคับบัญชา ความสุขจากการทำงานเหล่านี้สามารถสร้างขึ้นมาจากตัวเราเอง วิธีที่ผมอยากจะแนะนำคือการ “เจริญสติ” ครับ
การเจริญสติ ไม่ได้หมายถึงการนั่งสมาธิหรือห้ามงีบหลับในเวลางานนะครับ แต่หมายถึงการรู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ รู้สึกตัวขณะที่กำลังทำงาน ความคิดและจิตใจอยู่กับสิ่งที่กำลังทำตรงหน้า ตัวอย่างเช่น คุณสมชายโทรศัพท์ติดต่องาน พูดสายจนจบแล้ว แต่กลับนึกขึ้นได้ว่าลืมพูดไปอีกเรื่อง ต้องโทรศัพท์กลับไปอีกหน ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างที่โทรศัพท์ก็ไม่รู้ตัวว่ากำลังถือหูด้วยมือข้างไหน กำลังอยู่ในอิริยาบถใด
การรู้ตัว รู้ตื่น มีสติ ทำให้เรามีความคิดที่แจ่มใส มีโอกาสพาตัวเองรอดจากอารมณ์เครียด กลับไปดูคุณสมชายอีกครั้งครับ คุณสมชายวุ่นวายกับงานทั้งวัน ระหว่างที่โทรศัพท์ก็พิมพ์งานคอมพิวเตอร์ไปด้วย ระหว่างที่ทำงานใจของเขาก็คิดโน่นคิดนี่ไม่ได้หยุดหย่อน บางทีนั่งอยู่ในท่าที่ทำให้ปวดหลัง บางทีก็วิตกกลัวงานไม่เสร็จพลอยทำให้ร่างจดหมายไม่ได้คิดไม่ออกเสียอีก
แต่หากคุณสมชายได้มีเวลาระหว่างวัน ช่วงไหนก็ได้ หยุดสักนิด ดูความรู้สึกของตัวเองว่ากำลังทำอะไร มีสติรู้ตัวขณะที่ทำงาน คุณสมชายอาจจะเห็นว่าก่อนหน้านี้ยุ่งทั้งงาน ยุ่งทั้งความคิด พอความนิ่งในใจมาถึง จิตใจก็เตรียมพร้อมรับงานแทนที่จะลนลาน งานที่กำลังทำก็มีคุณภาพมากขึ้น นอกจากจะดีต่องาน คนทำงานก็ “มีสุข” ครับ
การเจริญสติจะทำตอนไหนในระหว่างวันก็ได้ครับ ตัวอย่างเช่น ที่หมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส หรือสำนักสาขาทั่วโลก อันเป็นพุทธสถานนิกายเซ็น โดยท่านติช นัท ฮันห์ ที่นั่นเขาจะตีระฆังเป็นระยะตลอดวัน ใครที่ได้ยินเสียงระฆังนี้ จะต้องหยุดจากกิจกรรมที่ทำ และระลึกรู้สึกตัวว่าจิตใจกำลังคิดถึงอะไรอยู่ จดจ่ออยู่กับปัจจุบันหรือไม่ ถ้าใจกำลังกระวนกระวายเพราะคิดถึงเรื่องในวันพรุ่งนี้ ก็ให้กลับมาที่ปัจจุบันเวลานี้ ถ้าจิตใจกำลังลอยล่องนึกถึงเรื่องเมื่อวาน ก็ให้พาใจกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะนี้
เราเองก็ทำได้ครับ ลองหาสัญญาณอะไรก็ได้ที่เหมาะกับเราและงานของเราเอง เช่น ทุก ๑๓ นาฬิกาก่อนเริ่มงานภาคบ่าย ทุกๆ ต้นชั่วโมง หรือทุกครั้งเวลาเปิด/ปิดคอมพิวเตอร์ ลองให้เวลากับใจตัวเองได้เกิดสติสัก ๓ นาที หรือแม้แต่นาทีเดียวก็ยังดีน่ะ หยุดคิดถึงงานที่ยังเหลือ เลิกคิดถึงงานที่เคยทำผิดพลาด แต่เห็นงานตรงหน้า รู้ตัวว่ากำลังทำงานอะไรอยู่ จากนั้นก็ลงมือทำให้ดี ไม่มีความจำเป็นต้องไปห่วงงานที่ยังมาไม่ถึง คิดถึงไปก็ไม่สามารถเอาขึ้นมาทำได้ แถมงานที่กำลังทำก็ไม่ได้ผลดี เพราะจิตใจไม่ได้อยู่กับงานนี้เต็มร้อย เพียงเท่านี้ก็มีสุขได้ง่ายๆ ครับ เดี๋ยวนี้มือถือ ปาล์ม หรือพีดีเอบางรุ่น เขามีฟังก์ชันตั้งปลุกได้หลายๆ ครั้งในหนึ่งวัน ก็น่าใช้ให้เกิดประโยชน์ได้สะดวกดีนะครับ
หรืออาจเริ่มด้วยเรื่องเล็กๆ อย่างเช่นโทรศัพท์ก็ได้ครับ ทุกครั้งที่เสียงโทรศัพท์ดัง ให้เราหยุดคิดจากงานบนจอคอมพิวเตอร์ หยุดจากงานบนหน้ากระดาษ และไม่ต้องรีบร้อนรับสาย ปล่อยให้เสียงโทรศัพท์ดังสัก ๓ ครั้ง ระหว่างนั้นเราก็กลับมารู้ตื่น ว่ามีเสียงโทรศัพท์เรียกแล้วนะ เกิดสติว่าเรากำลังจะพูดสายกับคนที่โทรมา หยุดคิดเรื่องงานอื่นไว้ก่อน ระหว่างสนทนาเราก็มีสติพร้อม ตั้งใจจะพูดแต่คำจริง อิงอ่อนหวาน ถูกแก่กาล ผสานไมตรี และมีประโยชน์ ได้ยินและเข้าใจสิ่งที่ปลายสายพูดมากขึ้นแน่นอน เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้เราสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และแน่นอน มีความสุขจากการทำงานมากขึ้นด้วย
เชิญชวนให้ลองปฏิบัติกันดูนะครับ Happiness@Work เกิดขึ้นได้เริ่มจากในใจเราเองครับ :-)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 23 ตุลาคม 2548
“คุณจะเปลี่ยนโลกของเราอย่างไรให้ดีขึ้น และจงลงมือทำ!”
คุณๆ อ่านคำสั่งนี้แล้วคิดอะไรรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ? คิดว่าประโยคนี้มาจากหนังไอ้มดแดงแดนปลาดิบที่ได้รับภารกิจมาจากองค์กรลับปกป้องโลกจากสัตว์ประหลาดแหงๆ หรือไม่ก็สไปเดอร์แมนที่ได้ “พลังยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมกับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่” ให้พิทักษ์โลก หรือคุณบางคนคงคิดว่ามันเป็นแค่ประโยคปลุกใจเอาไว้ติดท้ายรถ
แต่ประโยคข้างต้นนี้คือการบ้านของเด็กๆ วัยมัธยม ๑ ครับ!
อ๊ะ อย่าเพิ่งอ้าปากค้าง หรือสงสัยว่าโรงเรียนประเภทไหนหนอถึงได้สั่งการบ้านอะไรพิเรนทร์อย่างนี้ เพราะผมกำลังจะเฉลยให้คุณฟังว่า ครูผู้จ่ายการบ้านนี้อยู่ในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่องหนึ่งครับ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับว่าเขาสั่งการบ้านอย่างนี้มาเป็นเวลา ๑๒ ปี ให้แก่เด็กนักเรียน ๑๒ รุ่นแล้ว (ก็เป็นหนังนี่นา)
การบ้านที่น้องๆ หนูๆ เอามาส่งตลอดสิบกว่าปีผ่านมาก็ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายครับ เก็บขยะ ช่วยแม่ล้างจาน แต่ทว่ามีน้องคนนึงครับที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปจริงๆ และผมกำลังจะชวนคุณๆ ให้เริ่มเปลี่ยนไปพร้อมกัน ไม่ต้องถึงขั้นเปลี่ยนโลกหรอกครับ เปลี่ยนสิ่งรอบๆ ตัวคุณก็พอ และเปลี่ยนได้จริงๆ
พระเอกตัวน้อยของเราชื่อเทรเวอร์ครับ พ่อหนูรับเอาการบ้านมาขยายผลเป็นระบบ MLM (การตลาดแบบมัลติเลเยอร์) น้องเทรเวอร์เขาคิดเป็นเรื่องเป็นราวน่าตื่นตาตื่นใจว่า โลกจะดีขึ้นได้แน่ๆ เพียงเราทำดีช่วยเหลือใครสักคนโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ขอแค่ว่าถ้าอยากทดแทนบุญคุณละก็ จงไปช่วยคนอื่นต่ออีก ๓ คน แล้วบอกต่ออย่างเดียวกันนี้สิ
กฎกติกามารยาทก็ง่ายดายครับ จะช่วยอะไรใคร หนึ่งนั้นต้องเป็นการช่วยเหลือกันอย่างแท้จริง สองคือต้องเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง และสุดท้ายขอให้เขาช่วยคนอื่นต่อไปอีกสามคน
อย่าได้คิดเชียวว่านี่เป็นเพียงไอเดียบรรเจิดแต่ไม่มีวันเกิดขึ้นนะครับ เพราะผลของมันสะเทือนทั้งเมืองมาแล้ว เช่น รถคุณเกิดเสียเครื่องดับบนทางหลวง โทรศัพท์ก็ไม่มี พลันปรากฏบุคคลนิรนามตรงมาช่วยซ่อมจนรถใช้การได้ แต่แล้วเขาก็จากไปไม่เรียกร้องเงินทอง ขอแค่เมื่อไรที่คุณมีโอกาสที่จะช่วยใครได้ จงช่วยอีก ๓ คน เป็นการตอบแทนความดีที่คุณได้รับครั้งนี้
หนังเขาชื่อ Pay It Forward ครับ แต่ชักชวนคุณๆ กันแล้ว ถือว่าบอกบุญกันดีๆ นี่เองครับ ธรรมเนียมไทยๆ ตั้งชื่อกันใหม่ว่าชวนกันมา “Boon (บุญ) It Forward” ครับ การช่วยเหลือกันมากน้อยแค่ไหนพี่ไทยเราก็ถือว่าได้บุญ ทีนี้ผมเสนอให้ตั้งกติกาใหม่เอาแบบ user-friendly ขึ้น ประมาณว่าทำเองเมื่อไรที่ไหนก็ได้ ง่ายจัง
กติกาข้อหนึ่งเสนอเป็นช่วยใครในเรื่องอะไรก็ได้ที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงของเรา ข้อสองเขาอาจจะช่วยเหลือตัวเองได้หรือไม่อันนี้ไม่เป็นไรครับ ดูแค่ว่ามีโอกาสให้เราได้ช่วยเขาไหม ข้อสุดท้าย ถ้าเขารู้สึกขอบคุณอยากตอบแทนเรา ก็ขอแค่ให้เขาได้ทำสิ่งละอันพันละน้อยนี้กับคนอื่นๆ บ้าง
ลองนึกถึงเวลามีใครมาช่วยอะไรคุณ คุณจะนึกถึงอะไรบ้างครับ ส่วนใหญ่ก็ต้องขอบคุณและอยากตอบแทนใช่ไหมละครับ ทีนี้ถ้าบอกขอบคุณไปแล้วมันก็ไม่เกิดประโยชน์โภคผลดอกบุญก็ไม่เบ่งบานเท่าที่ควรสิครับ มันต้องส่งต่อ
สิ่งสำคัญคืออย่าไปติดว่าบุญเป็นเรื่องทำในวัดนะครับ เพราะบุญเป็นเรื่องว่าด้วยความดี กุศล และความสุข เกิดจากการความประพฤติทั้งทางกาย วาจา ใจ ไม่ว่าจะทำที่ไหน ทำแล้วนอกจากจะดียังมีสุขด้วย สำหรับศาสนาพุทธเราถือว่าการช่วยคนอื่นนี้เป็นไวยาวัจจวัย หนึ่งในสิบวิธีทำบุญหรือบุญกริยาวัตถุ๑๐ คือการเสียสละเพื่อส่วนรวม ช่วยเหลือคนอื่นเมื่อมีโอกาสนี่ล่ะครับ
ยกตัวอย่างตรงประเด็นชี้กันชัดๆ ไปเลย ในสถานที่ทำงานของเรานี่เองครับ มองไปรอบๆ จะมีโอกาสมากมายรอคอยฝีมือเราเข้าช่วยอยู่ เห็นใครถือของสองมือจะเรียกลิฟท์เราก็กดให้ เพื่อนไม่อยู่ที่โต๊ะแต่มีสายเข้าเราช่วยรับสายเขียนโน้ตให้ โอ้โห สารพัดโอกาสแสวงบุญรอบออฟฟิศทีเดียวเชียวละครับ
แต่ไม่ต้องรับคำขอบคุณด้วยรอยยิ้มแล้วจบนะครับ บอกเขาไปเลยว่า “Boon It Forward” ได้นะ ประมาณนี้ เริ่มต้นเราอาจจะยังไม่ต้องบอก เราก็ได้บุญแล้วครับ เพราะบุญมีคุณสมบัติพิเศษ ทำขึ้นมาแล้วไม่หายไปไหน อยู่กับตัวคนทำ มีอยู่มากมีอยู่น้อยขึ้นกับความขยันหมั่นทำของใครของมันครับ
ทำให้บ่อยให้มากขึ้น เราก็ชักชวนเพื่อนฝูงที่ทำงานให้ร่วมด้วยช่วยกันทำบ้าง ทำบุญช่วยกันในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่สำคัญคือไม่ต้องเลือกกลุ่มเป้าหมายหรอกครับ ใครก็ได้ในออฟฟิศเรา จะเพื่อน รุ่นน้อง แม่บ้าน หรือพนักงานส่งเอกสาร มันต้องมีอะไรสักอย่างที่เราจะช่วยเขาได้บ้างแน่นอนครับ แค่นี้ก็ทวีความสุขกันถ้วนทั่วทั้งสำนักงานแน่ครับ
แถมอีกนิด ไม่ใช่แค่ที่ทำงานนะครับ Boon It Forward หรือทำที่บ้านด้วยก็ได้ ทำแล้วดี ทวีสุขเหมือนกัน :-)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Home
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2548
ล่วงเข้าวันที่เจ็ดของเทศกาลกินเจแล้วครับ คุณผู้อ่านได้มีส่วนร่วมในเทศกาลนี้บ้างหรือเปล่า?
สัปดาห์ที่ผ่านมา มองไปทางไหนก็เห็นแต่ธงสีเหลืองปักกันไสว เย้ายวนใจให้เข้าร่วมบริโภคบุญกินอาหารเจ ลดละการเบียดเบียนชีวิตสัตว์เพื่อนร่วมโลกของเรา ใครที่อยากจะทำบุญ ทำสิ่งดีๆ ให้กับโลกและตัวเอง ก็ได้ถือเอาโอกาสนี้ ถือเอากระแสเทศกาลกินเจ ละเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ไปด้วย เพราะนอกจากจะอิน
เทรนด์แล้ว ยังซื้อหารับประทานได้ง่าย ไม่เหมือนช่วงนอกเทศกาลที่จะหารับประสานก็ยุ่งยากวุ่นวายกว่า
แต่วันนี้ผมไม่ได้มาชักชวนคุณผู้อ่านทั้งหลายมาทานเจกันหรอกครับ อยากเชื้อเชิญให้ทุกท่านได้เสวยสุข บริโภคกันอย่างมีความสุข ตามจริตตามความชอบ และปัจจัยจำกัดของใครของมันกัน ไม่ว่าคุณจะทานเจหรือไม่ก็ตาม
เพราะเราทุกคนล้วนต่างเลือกบริโภคอาหารด้วยเหตุผลต่างๆ กันไป บ้างเลือกจากประโยชน์ บ้างเลือกจากราคา บ้างก็เลือกเพราะความอร่อย แต่ละคนมีความชอบในรสชาติอาหารแตกต่างกันออกไป ใช่ว่าทุกคนจะอิ่มเอมกับอาหารเจได้เท่าๆ กันใช่ไหมครับ? บ้างก็ชอบทานปลา บ้างก็ชอบทานผัก ฉะนั้น สำหรับคนที่ไม่ชอบผักแต่มักเนื้อ ก็คงจะรู้สึกทุกข์กับอาหารเจไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะถ้าเป็นคนมักเนื้อที่ตั้งใจไว้ว่าเทศกาลงานบุญจะอดทนรับประทานเจเพื่อให้ได้บุญ จึงมีโอกาสสูงมากที่จะกินเจไปเป็นทุกข์ไปด้วยไม่พึงพอใจกับรสชาติที่ไม่คุ้นลิ้น
ในอีกกรณี บางคนตั้งใจกินเจไปจนจบคอร์สเทศกาล แต่เริ่มทานไปได้ 5 วัน ดันมีเหตุให้เผลอทานเบเกอรี่อันมีส่วนประกอบของนมเนย เพียงเท่านั้นก็รู้สึกแย่ แถมพร่ำบ่นกับคนใกล้ตัวที่บ้านว่า “ว้า ไม่น่าเลย” อยู่อย่างนั้นทั้งวัน อย่างนี้ก็เป็นอีกกรณีที่บริโภคแล้วไม่มีสุขครับ ทั้งๆ ที่การเลือกที่จะกินอะไรนั้น ตัวเราเองนี่แหละที่เป็นคนตัดสินใจ จะมีใครมาบังคับก็หาไม่
แปลกไหมละครับ? ประสบการณ์การกินเจเหมือนกัน แต่กลับมีผลต่อคนต่างกัน ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ต่างกันนี้ ล้วนมาจากประสบการณ์การกินเดียวกัน
ประเด็นของเรื่องก็คือ ใจของเราเองครับ คนที่ทานเจหรือไม่ทานเจ แต่ยังบริโภคอย่างมีความสุขได้ นั่นเพราะเขาเอาใจไปจับกับประสบการณ์ในเชิงบวก ความรู้สึกเป็นสุขก็เกิดได้ไม่ยาก
ในทางกลับกัน คนๆ เดิมถ้าเอาใจไปจับกับเรื่องเดิมในทางลบ กินเจแล้วคิดว่าไม่อร่อย รสชาติไม่ดี หรือมัวแต่นึกถึงบะหมี่หมูแดงเข้า อย่างนี้กินเจไปก็ไม่มีความสุขแน่ๆ ครับ เพราะใจมันไปเสียแล้ว ควบคุมใจตัวเองไม่ได้
กุญแจสำคัญของการเสวยสุข คือการควบคุมตัวเองครับ รู้จักรู้ใจตนว่ากำลังทำอะไร และกำหนดใจให้ยินดีกับสิ่งนั้นๆ ได้ ไม่ปล่อยให้ใจลอยล่องไปหาอาหารที่ไม่อยู่ตรงหน้า หรือจมจ่อมใจกับอาหารที่กำลังทานว่าน่าจะอร่อยหรือถูกปากมากกว่านี้ ความสุขจากการบริโภคไม่ได้ขึ้นอยู่กับรสชาติหรือหน้าตาของอาหารเท่านั้น แต่มาจากใจเราที่ไปจับเอาอาหารต่างหากครับ หากสามารถยินดีกับอาหารเจที่อยู่ตรงหน้า คุมใจได้ก็สบายใจไม่เป็นทุกข์
การควบคุมตัวเอง ควบคุมใจ อีกนัยหนึ่งคือการมีสติ รู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไร และที่สำคัญมากคือมีความสุขกับสิ่งนั้นนั่นเองครับ
ฉะนั้น แม้ว่าจะเป็นช่วง J-season แล้วเราเผลอไผลหรือมีเหตุให้ไปทานซูชิเข้า เราก็ควรรู้ตัวว่ากำลังทานซูชิด้วยสาเหตุใด และอยู่กับปัจจุบันขณะที่มีซูชิตรงหน้า มีความสุขกับการรับประทานซูชิ ดีกว่าทานไปใจก็รู้สึกผิด ตำหนิตัวเองว่าไม่น่าหลุดเจเลย ไม่เป็นผลดีหรอกครับ ใจจับสิ่งนี้เหตุการณ์นี้ในแง่ลบ ตัวเราก็รู้สึกไม่ดี อาหารตรงหน้าก็ไม่อร่อย สู้ยินดีกับอาหารไม่เจที่อยู่ตรงหน้าดีกว่า (โดยตั้งใจว่าคราวหน้าจะมีสติให้มากกว่านี้ ไม่หลุดอีก) หากทานไปกระวนกระวายใจไป จะเป็นการเสวยสุขได้อย่างไรครับ
การควบคุมใจให้เสวยสุขนี้ ยังนำไปประยุกต์ลองใช้กับสถานการณ์ต่างๆ นานาในชีวิตเราได้อีกมากมาย ให้เป็นการเสวยสุขทุกๆ วันได้ง่ายๆ ว่าด้วยการควบคุมใจ ปรับทัศนะ สร้างทัศนคติที่เหมาะสมต่อการดำเนินชีวิตครับ
ตัวอย่างอันหนึ่ง คือการออกนอกบ้านไปดูหนังช่วงสุดสัปดาห์ ถ้าเรารอนแรมเดินทางไปห้างสรรพสินค้าแล้วกลับพบว่าภาพยนตร์เรื่องดังที่หวังจะชมนั้น หน้าโรงคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนรอซื้อตั๋วเข้าคิวยาวเหยียดร่วมร้อยเมตร เพราะเหตุนี้ถึงทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนปรับนโยบายไปทานอาหารแล้วซื้อของใช้ในซูเปอร์มาร์เก็ตกลับเข้าบ้านแทน เราก็ไม่ควรก่นด่าสภาวการณ์หน้าโรงไว้ในใจให้รกและหนัก หันมาสนุกสนานกับการเลือกซื้อของกินของใช้ตรงหน้า เพราะสถานการณ์ที่เราอยู่ ณ ขณะนี้เป็นการจับจ่ายใช้สอย หาใช่การชมหนังนะครับ จะไปละล้าละลังคิดถึงมันไม่เลิกทำไม นอกจากจะทำให้เราเสียดาย รู้สึกแย่ที่อดดูแล้ว เราก็พลอยช็อปปิ้งไปอย่างแกนๆ อย่างไม่มีความสุขอีกด้วย
ลองดูเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน โดยเอาบทเรียนจากการเสวยสุขช่วงเทศกาลกินเจไปประยุกต์ทดลองใช้กับหลายๆ เรื่องดีไหมครับ? แล้วคุณจะพบว่า ความสุขง่ายๆ หาได้ใกล้ๆ ตัว ที่หัวใจคุณเอง :-)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 25 กันยายน 2548
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้เข้าร่วมการประชุมที่สวนแสงอรุณ จ.ปราจีนบุรี วงประชุมประกอบด้วยเพื่อนพ้องน้องพี่จากหลากหลายหน่วยงาน บรรยากาศที่ประชุมแวดล้อมด้วยธรรมชาติไร้การปรุงแต่ง ต้นไม้ใบหญ้าเติบโตตามฤดูกาล ไม่ถูกดัดตัดถางให้เกินงามตามความต้องการของคน พวกเรานั่งล้อมวงกับพื้น รอบด้านทั้งสี่ของอาคารไม่มีฝาผนังบดบังสายตาจากความเขียวชอุ่มและระลอกพลิ้วไหวในบึงน้ำ
การประชุมแทบทุกครั้งที่ผมเคยเข้าร่วม หากไม่เริ่มต้นด้วยกิจกรรมเคลื่อนไหวทำความรู้จักเพื่อนร่วมประชุม ละลายพฤติกรรมให้วงประชุมมีความเป็นกันเองมากขึ้น อีกรูปแบบแนวทางหนึ่งก็เริ่มเปิดการพูดคุยสนทนาหารือทันทีที่เห็นว่าผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่มากันครบแล้ว แต่การประชุมในสุดสัปดาห์นี้ต่างออกไปครับ
คุณธนัญธร เปรมใจชื่น จากสถาบันขวัญเมือง เป็นกระบวนกรผู้ดำเนินกระบวนการประชุมครั้งนี้ เธอไม่ได้ตั้งต้นการประชุมด้วยทั้งสองรูปแบบที่ว่า แต่เริ่มด้วยการเช็คอิน (check in) ครับ คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับเช็คอินคำเดียวกับที่เราใช้เวลาที่จะเข้าพักในโรงแรมนั่นล่ะครับ
การเช็คอินในที่นี้ คือการเปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมวงประชุมทุกๆ คนได้พูดเรื่องอะไรก็ได้ที่กำลังอยู่ในใจของตัวเอง ในขณะที่แต่ละคนกำลังเล่าออกมา คนอื่นๆ ก็นั่งฟังรับรู้ไปตลอดจนครบทุกคน
ก่อนที่แต่ละคนจะเริ่มเช็คอินตัวเอง ความคาดหวังและบรรยากาศของที่ประชุมก็ไม่แตกต่างไปจากวงอื่นเท่าใดนัก บางคนยังสนใจสมุดบันทึกในมือ บ้างก็เตรียมประเด็นที่อยากจะพูดหารือกับที่ประชุมอยู่ในใจ ครั้นเมื่อความในใจของแต่ละคนเผยออกมา หลายคนถึงพบว่าบรรยากาศของการประชุมเปลี่ยนไป
เรื่องที่แต่ละคนเช็คอินเข้ามา มีทั้งอารมณ์ความรู้สึกในเช้าวันนั้น ทั้งอารมณ์แจ่มใส ขุ่นมัวเพราะกังวลว่าท้องผูก บางส่วนแสดงความคาดหวังอยากได้อะไรจากการพูดคุย บางส่วนเผยว่าการพักผ่อนยามวิกาลที่ผ่านมาเป็นไงบ้าง นอนไม่ค่อยหลับ รู้สึกพักไม่พอ อาจผล็อยหลับไปได้ทุกเมื่อ บางคนแทบไม่ได้นอนเพราะต้องจัดการดูแล เตรียนมอาหารให้คนที่บ้านก่อนต้องจากมาหลายวัน และมีจำนวนไม่น้อยเลยเผยว่าก่อนเดินทางมาร่วมประชุมนี้มีงานคั่งค้างในปริมาณระดับที่เยอะและยุ่ง จนถึงระดับเครียดมาก การมาครั้งนี้ต้องยอมปล่อยวางงานเอาไว้ ไม่พยายามเอาใจไปคิดถึง
ความรู้สึกร่วมของที่ประชุมเปลี่ยนไปทันทีครับ พวกเราเห็นใจและเข้าใจเพื่อนร่วมวงมากขึ้น คนที่ได้เล่าเรื่องหนักใจก็รู้สึกเบาสบายขึ้น เราต่างเห็นแง่มุมความเป็นมนุษย์และรับรู้สุขทุกข์ของกันและกัน บทสนทนาหารือจึงดำเนินไปอย่างราบรื่น ผ่อนคลาย และเอื้อเฟื้อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมเท่าที่ต้องการ ผมเชื่อว่าถ้าไม่เริ่มด้วยการเช็คอินนี้ บางคนก็ยังคงอึดอัดกับความไม่สบายกายเมื่อคืน บางคนก็ไม่เข้าใจและผิดหวังที่เห็นเพื่อนไม่ช่วยออกความเห็น การประชุมจะไม่สามารถมีคุณภาพอย่างเต็มที่ได้เลย
การเช็คอินไม่ใช่เครื่องมือสำหรับการประชุมเท่านั้นครับ แต่เรายังนำการเช็คอินมาใช้ได้กับชีวิตการทำงานในทุกๆ วัน ผมขอชวนให้เราเช็คอินกันในทุกเช้าที่พบหน้ากันในที่ทำงานครับ เพราะทำงานด้วยกันตลอดทั้งวันก็เหมือนพายเรือลำเดียวกัน จะพายเรืออย่างมีความสุข จะพายวนไปไม่ถึงไหน หรือบางคนอาจจะไม่พายเลยเอาเท้าราน้ำแทน ล้วนขึ้นกับเพื่อนร่วมงานของเราเอง
การเช็คอินมีหัวใจสำคัญสามประการครับ ประการแรกนั้น เราต้องได้ถามกันอย่างจริงจังและจริงใจ ในขณะที่ถามต้องเกิดออกมาจากความต้องการรับรู้ และพร้อมแบ่งปันรับเอาความรู้สึกของเพื่อนร่วมงานเข้ามาในใจเรา เราถามเพราะเราอยากรู้จริงๆ ว่าวันนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ใช่เพียงแค่เดินผ่านเอ่ยทักว่าวันนี้เป็นไง แล้วเดินเลยผ่านกันไปไม่ได้คาดหวังจะให้เขาตอบอะไรมากไปกว่า ก็ดี ในสังคมอเมริกันปัจจุบันคำว่า ฮาวอาร์ยู? (How are you?) คุณสบายดีไหม? กลายเป็นคำที่แทบไม่มีความหมายอะไร เป็นแค่สร้อยคำเฉยๆ ยามเช้าคนทักกันว่า กู๊ดมอร์นิ่ง ฮาวอาร์ยู (Good morning. How are you?) แล้วเดินผ่านกันไปเฉยเลย ผมเองตอนแรกๆทักแล้วมักต้องยืนเอ๋อๆ งงๆ ว่า อ้าวไหงถามเราแล้ว พอเราจะตอบกลับเดินหลายไปกันหมด นึกว่าเป็นเพราะเราน่ารังเกียจหรือเปล่า พอสังเกตจึงได้เป็นว่ากลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว
แต่อย่างไรก็ตามเวลาเราถามอะไรแล้วตั้งใจฟังคำตอบจริงๆ นี่ก็จะมีผลมากนะครับ หลายคนเซอร์ไพรซ์มาก บางทีตอบว่า "อ้าว อยากรู้จริงๆเหรอ นึกว่าถามไปงั้นๆ" พอเราอยู่ตรงหน้าเขาแบบเต็ม 100% ตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูดจริงๆ วินาทีที่อยู่ตรงหน้าก็กลายเป็นวินาทีแห่งความศักดิ์สิทธิ์ครับ สรุปคือหัวใจของการเช็คอินประการที่สองคือการรับฟังอย่างตั้งใจ ฟังอย่างลึกซึ้ง สนใจในสิ่งที่เพื่อนร่วมงานบอกออกมา และไม่เพียงแค่คำพูด แต่รวมถึงน้ำเสียง กริยาท่าทาง สีหน้าและอารมณ์ การฟังอย่างลึกซึ้งช่วยให้เราเปิดรับกัน และให้คนที่บอกเล่าได้พูดอย่างเปิดเผยหมดใจ
ประการสุดท้าย การเช็คอินได้ช่วยเปิดพื้นที่ให้มีเรื่องอื่นๆ เข้ามามากขึ้น ไม่จำกัดให้อยู่เพียงเรื่องงานเท่านั้น ลองนึกถึงสภาพที่ทำงานที่เช้ามาก็ถูกถามว่าทำรายงานเสร็จแล้วหรือยัง อย่าลืมนัดประชุมศุกร์นี้ แค่คิดก็เริ่มเครียดแล้วใช่ไหมครับ? การมีเรื่องนอกเหนือจากงานในหมู่เพื่อนร่วมงานทำให้เราได้เรียนรู้กันมากขึ้น ได้เห็นความสำคัญในแง่มุมต่างๆ ไม่จำกัดเฉพาะงานตรงหน้าอย่างเดียวครับ
เราไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากมายเพื่อทำเช็คอินกันครับ เริ่มได้ง่ายๆ ด้วยความจริงใจ ฟังอย่างตั้งใจ และเปิดใจรับทุกๆ เรื่อง
มาช่วยกันทำให้การเช็คอินทุกเช้าในที่ทำงานและก่อนการประชุมกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติจนเป็นนิสัยกันเถอะครับ ไม่จำเพาะแต่เพื่อนนะครับ ต้องรวมถึงระหว่างหัวหน้าทีมและลูกทีมด้วย แล้วความสุขในการทำงานก็เกิดได้ แถมยังช่วยให้งานดีขึ้นอีกด้วยครับ :-)