ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Home
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 27 มีนาคม 2548


เรากำลังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวของความคิดและเหตุผลมากเกินไปหรือปล่าว?

คุณหมอประสาน ต่างใจ บอกว่ามนุษยชาติกำลังเดินทางข้ามยุคข้ามสมัย จากยุคของการอยู่อย่างสัตว์ป่า ผ่านยุคไสยศาสตร์ จากนั้นเป็นยุคศาสนา ที่มีการเบ่งบานของศาสนาสำคัญของโลก เป็นช่วงที่เน้นเรื่องความดี แล้วเข้าสู่ยุควิทยาศาสตร์ที่มีความก้าวหน้าในวิทยาการ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เป็นยุคที่เน้นเรื่องความจริง เรื่องเหตุผล โดยปัจจุบันเรากำลังจะเข้าสู่ยุคที่เน้นเรื่องความงาม

ยุคความงามนี้น่าสนใจ เพราะเป็นความงามชนิดที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่จำเป็นต้องมีอัฐิสำหรับซื้อบัตรเข้าอโรมาเธอราปี เข้าสปา หรือต้องพึ่งพาโรงพยาบาล คลินิกติดสโลแกน "สวยด้วยแพทย์ฯ" เพราะเป็นความงามที่ไม่จำกัดเฉพาะคนมีเงิน ไม่ได้งามเฉพาะบางส่วนแบบใช้ครีมทาให้ขาวเป็นสโนว์ไวท์ แต่เป็นงามแบบหมดจด เป็นความงามที่ใจครับ

ความงามประเภทนี้สอดคล้องกับวิถีตะวันออกของเราโดยพื้นฐานอยู่แล้วด้วย ท่านดาไลลามะเคยกล่าวไว้ว่า "ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป้าหมายสูงสุดของชีวิต คือ ความพึงพอใจ ความปีติ และความสุข และที่มาพื้นฐานของความสุข ก็คือ จิตใจที่ดีงาม ความรัก และความเมตตา"

ตอนที่แล้วผมเขียนวิธีสร้างความสุขง่ายให้กับชีวิตผ่านการทำ "ดีโดยสะดวกใจ - งามโดยไม่ใช้เหตุผล" เวอร์ชัน Happiness@Work ตอนนี้ลองมาดูรุ่น H@Home กันบ้าง

ดีโดยสะดวกใจ (random kindness) นั้นง่ายๆตามชื่อ อะไรก็ได้ที่ไม่เดือดร้อนตนเองและผู้อื่น ทำได้ทั้งระดับการกระทำ คำพูด และความคิด มอบสิ่งดีๆ ให้กับคนรอบข้าง สัตว์ ต้นไม้ สิ่งรอบตัวโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

เช้าวันเสาร์-อาทิตย์ไม่ไปทำงาน อาจลุกขึ้นมาทำเซอไพรซ์แฟนด้วยการปิ้งขนมปัง ชงกาแฟไปเสริฟถึงเตียงนอน จะได้เป็นการเริ่มวันแบบสบายๆ ระหว่างวันเห็นใครเมื่อยก็เข้าไปนวดให้ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นคุณปู่คุณย่า คุณพ่อคุณแม่ แฟน หรือลูกๆหลานๆ หากอีกฝ่ายตกใจว่าร้อยวันพันปีไม่เคยทำอย่างนี้ ตีหน้าซื่อๆทำเป็นเรื่องปกติ ชวนคุยเป็นเรื่องตลกไปเลยว่าแง่มุมดีๆ อื่นๆ ของเราที่เขายังไม่รู้จักยังมีอีกเยอะนะ ตอนเย็นแดดร่มลมตกอาจอาสาขับรถพาที่บ้านไปเดินสวนสาธารณะด้วยกัน ได้ทั้งออกกำลังกาย และโอกาสอยู่ด้วยกัน

วันธรรมดาตอนเช้าก่อนไปทำงานเข้าไปช่วยคุณพ่อคุณแม่ (หรือคุณแฟน) แต่งตัว พูดคุยกับท่านดีๆ ก่อนออกจากบ้าน อาจได้รับพรเป็นแถมก่อนออกจากบ้าน ส่วนตอนเย็นคุณพ่อคุณแม่ที่รออยู่ที่บ้านอาจเตรียมขนมหวาน น้ำเย็นๆ รอลูกกลับมาจากโรงเรียนหรือที่ทำงาน (หรือเราจะเตรียมไว้รอแฟนก็ไม่ผิด)

ทำไมต้องเก็บสิ่งดีๆ ให้กันปีละหนเฉพาะตอนวันฉลองครบรอบ หรือวันเกิดด้วยล่ะ? อาหารอร่อยๆปรุงสุดฝีมือ คำพูดสวยๆ หรือ "ของขวัญเนื่องในวันอยากให้" ที่ไม่ต้องราคาแพงก็ได้แต่เปี่ยมด้วยความรู้สึกดีๆ เพิ่มมิติของการมีเรื่องเซอร์ไพรซ์ดีๆให้กับคนรอบข้าง

หรือหัดลองสร้างรอยยิ้มในชีวิตให้ได้ในทุกวันที่ดูเหมือนจะน่าเบื่อ ซ้ำซาก จำเจ ด้วย "ความงามอย่างไม่มีเหตุผล" (senseless act of beauty) ดูสิครับ อย่างไม่มีเหตุผลนั้นชี้ให้เห็นว่าไม่ต้อง "คิด" ให้มากครับ ว่าอะไรงาม อะไรไม่งาม ลองปลดปล่อยพลังสุนทรียภาพของเราให้ออกมาเพ่นพ่านดูบ้าง

อาจเริ่มจากสภาพแวดล้อมภายนอก หากที่บ้านปลูกต้นไม้ มีกระถางเล็กๆ ลองยกมาไว้ในบ้าน อาจทำให้มุมที่ดูแข็งๆ อ่อนโยนขึ้น ดอกไม้และการจัดดอกไม้นั้นช่วยได้มากจริงๆ คำโบราณก็ว่าหากมีเงินสองบาท บาทหนึ่งให้ซื้อข้าว ส่วนอีกบาทซื้อดอกไม้นั้นจริง คุณประภาส ชลศรานนท์บอกว่า "อย่างแรกนั้นมันทำให้เรายังชีพ อย่างหลังมันเป็นเหตุผลให้เรามีชีวิตต่อไป" ที่สำคัญเป็นชีวิตที่งามเสียด้วยสิ

ยิ่งหากรู้สึกอยาก "สนุก" จัดดอกไม้ อาจลองจัดแบบญี่ปุ่นทั้งที่ไม่ได้ไปเรียน ไปรู้จักอะไรกับเขาหรอก ก็จัดแบบที่เรา "รู้สึก" ว่าเป็นแบบญี่ปุ่นของเรา ทำไปอมยิ้ม (แบบญี่ปุ่น) ไป สนุกดี

หากรู้สึกบ้านเป็นระเบียบไปหน่อย ลองจัดอะไรให้มันเอียงๆ ไปนิด รูปที่แขวนก็ไม่ต้องตรงเป๊ะซะทีเดียว แก้วกับที่รองก็ไม่ต้องชุดเดียวกันเสมอไป รองเท้าแตะยังใส่สลับคู่กันได้เยอะแยะ แต่งชุดโปรดอยู่บ้านก็ไม่เสียหาย ในทางตรงกันข้ามหากบ้าน "หมัก" มาหลายสัปดาห์ หลายเดือน ลองทำความงามให้เขาสักหน่อยดีไหม งามเป็นมุมๆ ก็ได้ ไม่ต้องทั้งหลัง ปัดกวาดให้ดี หาของงามๆไปวาง พอเดินผ่านทีไรยิ้มออกทุกทีสิน่า

งามสถานที่แล้วงามคนด้วย ความงามที่ทำได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องจ่ายสตางค์ หลายคนลืมไปแล้วว่าทำยังไง และเป็นที่ประทับใจของทุกคนในบ้าน คือ พูดจาอ่อนหวานครับ ทำได้ทุกคนจริงๆ นะ อย่าด่วนหน้าเบ้แล้วบอกร้อยวันพันปีไม่เคยพูดดีจะให้ทำไม่ได้หรอก ไม่ต้องก้าวกระโดดก็ได้ ลองเก็บไว้คำพูดเชือดเฉือนลงบ้าง แล้วบรรยากาศมาคุในบ้านอาจงามขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ลองใส่ ครับ หรือ คะขา ให้เป็นส่วนหนึ่งของวันของเราดู หรือจะเอาแบบสุดๆไปเลย ลองตั้งใจดูว่า "เอาน่ะ วันนี้จะพูดดี ไม่ว่า ไม่กัดใครเลยซักวัน ... จะลงแดงก็ให้รู้กันไป" เขาว่าศรัทธาที่ดีแล้วทำอะไรก็สำเร็จจริงไหม? :-)


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 13 มีนาคม 2548


ชีวิตการทำงานทุกวันนี้พวกเราเคร่งเครียดกันมากเหลือเกิน เรากำลังสูญเสียเอกลักษณ์ความเป็น "สยามเมืองยิ้ม" ไปมากขึ้นทุกที อาจเพราะได้รับสมาทานแนวความคิดการทำงานอย่างเป็นจริงเป็นจัง (หรืออย่างเป็นบ้าเป็นหลัง!?) จากลัทธิทุนนิยม

ความคิด "จริยธรรมการทำงาน" หรือ work ethic นี้เป็นที่รู้กันดีว่ามาพร้อมกับการสร้างประเทศสหรัฐอเมริกาของฝ่ายพิวริตัน ดังที่แม็กซ์ เวเบอร์อธิบายเอาไว้เรื่องการกำเนิดระบบทุนนิยม ว่าความเชื่อทางศาสนาได้ถูกนำมาทำให้เข้ากับสังคมแล้วบอกว่าผู้ที่ถูกพระเจ้าเลือกสรรนั้นต้องมี "ชีวิตการทำงานที่ดี" ด้วย

ทั้งๆ ที่แต่ก่อนวัฒนธรรมของเรามีมิติของ ความสนุกและความรู้สึกเล่นๆ อย่างวิถีเซน วิถีตะวันออก ปนอยู่อย่างแนบเนียนกับชีวิตทุกวัน

การปรับวัฒนธรรมการทำงานของสังคมนั้นยากเพราะมีปัจจัยที่เกินไปจากตัวเราอยู่มาก อย่างไรก็ตามมีวิธีมากมายที่เราสามารถปรับสมดุลของชีวิตในวันทำงานของเราอย่างง่ายๆครับ

ลองมาทำอะไรที่มันง่ายๆ เบาๆ มันๆ น่ารักๆ สนุกๆ กันดีกว่า

"ดีตามสะดวกใจ" (random kindness)

ลองทำอะไรดีๆ ให้กับชีวิต โดยไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ทำดีแบบง่ายๆ ให้กับตัวเอง เพื่อนร่วมงาน หรือคนอื่นๆ สิครับ

เช้ามาอาจแวะซื้อขนมติดมือฝากพนักงานที่คอยเปิดประตูหรือกดลิฟต์ที่ตึก ทำงานเมื่อยๆ เบรกกาแฟ ตอนเดินกลับมาที่โต๊ะก็หยิบน้ำเย็นฝากเพื่อนร่วมงานที่ร้อยวันพันปีเราไม่เคยหาอะไรให้เลย เที่ยงกินไก่ย่างส้มตำก็เก็บกระดูกไก่ไว้เผื่อเจ้าด่างข้างตึก ตกเย็นเลิกงานแล้วก่อนปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ก็อาจส่งอีเมล์ถึงเพื่อนที่ขาดการติดต่อไปชาติหนึ่ง เขียนความรู้สึกดีๆ ที่เรารู้สึกจริงๆ ถึงเขาอาจแค่สองสามบรรทัดก็พอ อย่าลืมส่ง :-) ไปตอนท้ายด้วยล่ะ พอกลับบ้านก็อาจอาสารอเพื่อนที่เราอาจไม่ค่อยสนิทเดินกลับด้วยกัน

เรื่องง่ายๆ พวกนี้ไม่ต้องวางแผน ไม่ต้องคิดให้เหนื่อย พอสบโอกาสทำอะไรดีๆ ให้กับตัวคนอื่นก็ไม่ต้องรีรอครับ ทำแบบธรรมดาๆ ธรรมชาติๆ

แน่นอนเราอาจโดนเพื่อนๆ มองดูด้วยความงุนงงเล็กๆ ว่า เอ วันนี้เธอไปกินอะไรผิดมาหรือเปล่า ... ไม่ต้องกังวลครับ เราทำดีตามสะดวกใจ

การชักชวนรอยยิ้มและความสุขให้เข้ามาในชีวิตเราแบบง่ายๆ อีกวิธีคือ ทำสิ่งที่ "งามโดยไม่ใช้เหตุผล" (senseless act of beauty) ครับ

ไม่มีนิยามที่แข็งตายตัวครับ อะไรก็ได้ที่เราคิดว่ามัน "งาม" น่ะ คิดให้น้อยหน่อย ใช้ใจล้วนๆ หรือให้มากๆ หน่อย (โดยไม่เดือดร้อนใครนะครับ)

ตัวอย่างเยอะแยะไม่รู้จบครับ เช่น ตื่นเช้าแทนที่สลึมสลือรดน้ำต้นไม้ในชุดนอนก็เปลี่ยนใส่ชุดเก่งไปรดน้ำแทน รดไปคุยกับต้นไม้ของเราไป ดื่มกาแฟก็ลองหยิบถ้วยชุดพิเศษที่ปกติมีไว้รับแขกอย่างเดียวมาใช้ หรือไม่ก็ใช้ถ้วยอลูมิเนียมแบบรีโทรก็งามไปอีกแบบ

จะไปทำงานก็ลองให้ชุดทำงานเขาเลือกเราบ้าง หรือไม่ก็ใส่เสื้อกล้ามตัว "สนุก" ของวันนั้นไป ใส่ไปแล้วก็ "สนุก" อมยิ้มได้ทั้งวัน แม้ว่าจะไม่มีใครเขารู้เขาเห็นกับเราก็ตาม (ฮา) ตอนก่อนออกจากบ้านเด็ดดอกไม้ไปแอบใส่แจกันให้เพื่อนโดยที่ไม่ต้องบอกว่าเป็นใคร

หรือนึกสนุกแทนที่วันนี้จะใช้กระดาษโน้ตธรรมดาหรือโพสต์อิทส่งถึงเจ้านาย ก็เอากระดาษพับออริกามิมาใช้แทน ทานเที่ยงกับเพื่อนก็วางเรียงจานชามแก้วน้ำในตำแหน่งที่ไม่เหมือนปกติ เอาแบบที่คิดว่ามัน "โดน" ที่สุดแล้วสำหรับวันนี้ บ่ายๆ ตัดรูปสวยๆ จากนิตยสารแอบใส่สมุดให้เพื่อนร่วมงาน ก่อนกลับบ้านก็เดินไปแวะสถานที่ที่เราคิดว่าวันนี้ "งาม" ซะไม่มีสักหน่อย

มีวิธีอื่นๆ อีกร้อยแปดพันเก้าครับ ...

ลองค่อยๆ เพิ่มส่วนประกอบหรือมิติของความดีและความงามเข้ามาในชีวิตการทำงานประจำวันของคุณดูครับ แล้วจะเห็นว่าโลกทั้งโลกมีของเล่นสนุกๆ ที่ทำให้เราอมยิ้มได้ทั้งวัน ซุกอยู่เต็มไปหมดเลย :-)