มากกว่าคำถาม



ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๕

คนเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?

ชายชราชาวไต้หวัน 5 คน อายุเฉลี่ย 81 ปี แต่ละคนมีโรคประจำตัว ไม่ว่าจะเป็นโรค หัวใจ มะเร็ง ไขข้อ หรือหูตึง พวกเขานั่งอยู่รอบโต๊ะอาหาร หน้าอมทุกข์ บนเก้าอี้ตัวหนึ่งมีรูปงานศพของเพื่อนในกลุ่มตั้งอยู่ บรรยากาศบนโต๊ะดูเศร้าสร้อย หลายคนทำหน้าไม่อยากอาหาร สักพัก ชายคนหนึ่งทุบโต๊ะดังปัง! แล้วประกาศชวนเพื่อนๆ วัยไม้ใกล้ฝั่งว่า "พวกเราไปซิ่งมอเตอร์ไซค์กัน!"

พวกเขาใช้เวลา 6 เดือน สำหรับการเตรียมพร้อม ใช้เวลาอันสดใหม่ขี่มอเตอร์ไซค์รอบเกาะไต้หวันเป็นเวลา 13 วัน รวมระยะทาง 1,139 กิโลเมตร แม้ร่างกายปวดระบม เหน็ดเหนื่อย แต่ทุกคนกลับมีชีวิตชีวา เหมือนกับได้พลังชีวิตคืนมา พวกเขาเดินทางจากเหนือจรดใต้ ไปยังสถานที่ที่เคยไปเที่ยวอย่างมีความสุขด้วยกันเมื่อครั้งยังหนุ่มๆ ตอนท้ายพวกเขาไปยืนที่ชายหาดแห่งความทรงจำอันประทับใจที่เคยถ่ายรูปร่วมกัน แม้เพื่อนเก่าคนหนึ่งจะจากไปแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในใจทุกคน ภาพของเขาอยู่ในกรอบรูปที่เพื่อนยกชูขึ้นเหนือศีรษะ แสงสีทองของดวงอาทิตย์อาบใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา แต่ดวงตาทุกคนบ่งบอกถึงความเข้าใจบางอย่างถึงความหมายของชีวิต

นั่นเป็นส่วนหนึ่งของคลิปที่ผมเคยเอาไปฉายให้กับนักศึกษาปีหนึ่งดูก่อนที่พวกเราจะเริ่มเรียน

คลิปจบ จำได้ว่าเลือดสูบฉีดแรง ใจเต้นตุบๆ ขนลุกไปทั้งตัว เพราะตนเองรู้สึกร่วมไปกับนักศึกษาด้วย กับเนื้อหาและคำถามที่คลิปทิ้งเอาไว้ว่า What do people live for?
โดยไม่ได้คิดวางแผนไว้ก่อน ผมรู้ว่าตนเองต้องทำอะไรบางอย่าง ผมเดินไปที่กระดานดำ หยิบชอล์กสีขึ้นมาเขียน สัมผัสถึงน้ำหนักที่กดผ่านแท่งชอล์ก ความรู้สึกที่เห็นชอล์กที่สั้นลงพร้อมกระดานดำที่เกาะผงชอล์กเอาไว้เป็นเส้นตามที่ลากนั้น เตือนให้ตระหนักว่านี่เป็นครั้งแรกของเทอมที่ผมเขียนกระดานดำ ในยุคสมัยของสไลด์เพาเวอร์พอยต์และเครื่องฉายแผ่นทึบ (visualizer) แล้ว กระดานดูเหงาไปไม่น้อย แต่มันยิ่งขับเน้นประสบการณ์ อย่างน้อยก็ในตัวผม ที่ทำให้ความรู้สึกอะไรบางอย่างมันเกิดขึ้นที่มากไปกว่าคำถามที่กำลังจะถามพวกเขา แต่มันกำลังจะถามผมเองด้วย เช่นกัน

ผมค่อยๆ บรรจง ละเลียดเขียนอักษรทีละตัว

What do YOU live for?

นักศึกษาเกือบสามร้อยคนเงียบกริบ (ส่วนผมได้สัมผัสกับหัวใจเต้น ) เชื่อว่าจำนวนไม่น้อยกำลังใคร่ครวญอยู่กับตนเอง เห็นบางคนกำลังแอบซับน้ำตาอยู่ด้วย ผมถามบรรดาน้องๆ นักศึกษาว่า "แล้วพวกเราล่ะ มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?"

ผมให้เวลาพวกเขาอย่างเต็มที่เท่าที่ชั้นเรียนของเราจะให้ได้ ณ เวลานั้น ความเงียบและความจริงจังตั้งใจเป็นดั่งของขวัญล้ำค่าสำหรับความสัมพันธ์ของตัวเรากับคำถามที่สำคัญที่สุดในชีวิต

ชั้นเรียนนี้จะเป็นแค่อีกชั้นเรียนที่ให้ความรู้เรื่องเนื้อหาวิทยาศาสตร์ก็ได้ แต่เราฉกฉวยวันเวลาแห่งโอกาสนี้ไว้ ปล่อยหัวใจให้สัมผัสกับคำถามที่ผุดบังเกิดขึ้นภายใน ถามใจว่าอะไรคือสิ่งสำคัญของชีวิต แล้ว ... เราเรียนไปเพื่ออะไร?

จบชั้นเรียน นักศึกษาจำนวนมากเขียนมาบอกว่าวันนั้นเป็นวันที่พิเศษ จบเทอมการศึกษาหลายคนก็ยังสะท้อนบอกว่าไม่กี่นาทีในคาบนั้นเป็นชั่วขณะที่มีความหมายสำหรับชีวิตเขา

และนั่นก็ช่วยยืนยันสิ่งที่ผมตระหนักรับรู้อยู่ในใจ ว่ามันมีบางสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างยิ่งได้เคยเกิดขึ้นในชั้นเรียนของเรา