ตีพิมพ์ในคอลัมน์
หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับประจำวันที่ 29 เมษายน 2550


แปลกจริงที่พักนี้ในหัวผมคิดวนเวียนเรื่องก้อนนุ่มๆ ตรงบั้นท้ายที่หลายคนนั่งทับมันอยู่บ่อยๆ ด้วยว่าช่วงนี้ผมได้เกี่ยวข้อง พบเห็น พูดคุยแลกเปลี่ยน และลองใช้เจ้าก้อนนุ่มๆ นี่อยู่หลายครั้ง

ตัวอย่างเช่น เมื่อคราวที่ผมติดตามอุปัฏฐากพระอาจารย์ท่านไปเยี่ยมชม Shambala Mountain Center ซึ่งเป็นสถานภาวนาของศาสนาพุทธในสายวัชรยาน ที่เมืองโบลเดอร์ สหรัฐอเมริกา ผมเห็นฝรั่งเวลานั่งสมาธิภาวนาเขามักจะนั่งบนเบาะหรือใช้หมอนหนุน แล้วก็มีทั้งคนที่นั่งแบบขัดสมาธิอย่างเราท่านนั่งกันส่วนใหญ่ แต่ใช้หมอนค่อนข้างสูงหนุนไว้ตรงก้น หรือบ้างก็นั่งคุกเข่าคร่อมบนหมอน (ซึ่งสูงมาก) เลยก็มี

พระอาจารย์ท่านมีทีท่าว่าออกจะขำๆ กับการนั่งของฝรั่ง ถึงขนาดรุ่นน้องของผมที่เป็นนักศึกษาชาวไทยที่นั่นเอ่ยถามท่านด้วยความสนใจใคร่รู้ว่า “แล้วคนนั่งภาวนาบนเบาะบรรลุธรรมได้ไหมครับ?”

ท่านตอบว่า "มันเป็นภาคติดสบาย เอาแบบไม่ปวดไม่เมื่อยมากนัก พอให้จิตสงบ เป็นสมาธิ แต่ไม่ใช่ภาคฆ่ากิเลส"

เราพบว่าวัดอื่นๆ ที่ได้ไปแวะเยี่ยมล้วนแล้วแต่มีเจ้าเบาะรองนั่งก้อนกลมๆ บ้าง ก้อนสี่เหลี่ยมบ้างทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นวัดพุทธเถรวาท ทั้งธรรมยุติและมหานิกาย มหายาน หรือวัชรยาน เรียกว่าเป็นของคู่วัดเลยก็ว่าได้

ผมว่าน่าเห็นใจนะครับ เพราะชาวตะวันตกเหล่านี้เกิดและโตในวัฒนธรรมนั่งเก้าอี้ ไม่ค่อยได้นั่งพื้น หลายคนพอนั่งกับพื้นก็จะขัดสมาธิ คือคู้หรือพับขาเข้ามาเฉยๆ ทำทั้งสองข้างยังไม่ได้เลย การมีเบาะรองก็ช่วยทำให้เขานั่งได้ ไม่ทรมานเกินไปนัก แต่ก็คงไม่เฉพาะชาวตะวันตกเท่านั้น เดี๋ยวนี้เด็กตะวันออกและเด็กไทยจำนวนมากก็นั่งพื้นกันไม่ค่อยเป็นเหมือนกัน

ในเมืองไทยของเราช่วงนี้ หลายท่านคงได้ทราบข่าวคราวการเดินทางมาของหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ เพราะเป็นที่พูดถึงกันไม่น้อย คนที่คุ้นเคยกับกิจกรรมของท่านและหมู่บ้านพลัมก็อาจนึกถึงการเจริญสติด้วยการเดินในสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ การร้องเพลง (“ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ดั่งดอกไม้บาน...”) หรือการนั่งภาวนา ซึ่งพบว่ามักจะมีเบาะอยู่ด้วย เพราะลูกศิษย์ลูกหาของท่านนั้นเป็นชาวตะวันตกจำนวนมาก

เมื่อครั้งผมได้ฟังท่านบรรยายที่ลินคอล์นเซนเตอร์ ที่มหานครนิวยอร์ก ในหอประชุมได้จัดเตรียมเบาะกลมๆ วางเรียงสลอนเหมือนยานอวกาศลำน้อยๆ เต็มไปหมด คาดว่าในงานปาฐกถาธรรมและงานอบรมภาวนาขณะท่านอยู่เมืองไทย ระหว่าง ๑๙-๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐ นี้ เราคงจะพบเห็นเจ้าก้อนๆ นี้ไม่มากก็น้อย

อีกทั้งเมื่อไม่กี่วันมานี้ มีเรื่องที่ทำให้นึกถึงเบาะได้อีก เพราะผมไปเข้าร่วมงานจิตตปัญญาเสวนา ครั้งที่ ๔ ณ วัดญาณเวศกวัน ซึ่งจัดโดยศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล การเสวนาครั้งนี้มีคุณหมอธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ เป็นผู้บรรยาย เรื่อง Spirituality in the Modern World แม้หัวเรื่องจะชื่อว่าจิตวิญญาณแต่คุณหมอกลับพูดเรื่องการพัฒนาหรือฝึกกาย (Body) และจิต (Mind) ในโลกสมัยใหม่เป็นหลัก โดยให้เหตุผลว่าเรื่องจิตวิญญาณ (Spirituality) เป็นการรับรู้และเข้าใจพ้นจากประสาทสัมผัส ทั้งอยู่นอกเหนือในมิติของเวลาและสถานที่ จึงเป็นเรื่องยากที่มนุษย์จะใช้ภาษาพูดสื่อสารทำความเข้าใจกันได้

คุณหมอธีระเกียรติพูดเรื่องการจัดวางตำแหน่งของร่างกายหรือท่าทางในชีวิตประจำวันและสำหรับการภาวนาไม่น้อย บอกว่าคนเราควรจะฝึกยืน เดิน และนั่งให้ตรง ให้น้ำหนักของร่างกายตกลงแนวดิ่งผ่านศูนย์กลางของร่างกายพอดี เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อบางมัดต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา

การจัดวางท่าทางของเราสำคัญอย่างยิ่ง ถึงกับมีผู้บอกว่าที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากได้หญ้าคา ๘ กำที่โสตถิยะพราหมณ์ ถวายให้ระหว่างทาง ไปยังต้นศรีมหาโพธิ์ไม่ไกลจากแม่น้ำเนรัญชรา เอาไว้ปูรองนั่ง

ยามนั่งสมาธิภาวนาอาจลองเอาหมอนเล็กๆ หนุนใต้ก้น เพื่อยกกระดูกก้นกบให้สูงขึ้น เพราะมีผู้ศึกษาวิจัยแล้วว่าท่านั่งที่กระดูกก้นกบอยู่สูงกว่าเข่านั้น จะช่วยให้ร่างกายของเราสามารถตั้งตรงและไม่เกร็งได้ง่ายขึ้น คุณหมอยืนยันว่าความรู้เหล่านี้เป็นสิ่งดีๆ ที่โลกสมัยใหม่มีไว้ให้ เทคนิควิธีการใหม่ๆ ที่ค้นพบได้ช่วยเสริมความรู้ที่มีมาแต่เดิม แม้แต่การนั่งภาวนา

ฟังแล้วทำให้ผมนึกถึงเรื่องเบาะรองนั่งขึ้นมาอีก ผมนึกเปรียบเทียบว่าการปฏิบัติภาวนามันเหมือนกับการออกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางแห่งหนึ่ง ส่วนรองเท้าแม้จะเป็นอุปกรณ์สำคัญช่วยให้เราเดินได้สะดวกขึ้น แต่หากเรามัวคร่ำเคร่งเลือกว่าจะเป็นรองเท้าแตะเพราะโปร่งสบาย รองเท้าผ้าใบเพราะกระชับแน่น หรือจะเป็นแบบหุ้มข้อเพื่อป้องกันข้อเท้าพลิกก็ตาม การณ์จะกลับกลายเป็นว่าเรามัวแต่เลือก พลอยแต่วุ่นอยู่กับการคิดระดมความเห็น บานปลายไปจนจัดประชุมสัมมนา อบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อวิจัยค้นหารองเท้าที่ดีที่สุดสำหรับการเดินทางไป เช่นนี้แล้วก็คงไม่ได้ออกเดินทางไปถึงไหนสักที มัวแต่เกี่ยงว่าต้องใช้เบาะแบบไหนก็เลยไม่ได้ปฏิบัติอย่างจริงจังเสียที

การปฏิบัติภาวนานั้นต้องมีความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง หากเรามัวกังวลหรือสนใจเลือกเบาะรองนั่งมากไปหรือยึดติดกับการสรรหาเบาะที่ช่วยให้นั่งได้สบายขึ้น ระวังจะเป็นอย่างนักสะสมเครื่องออกกำลังกายชั้นดีราคาแพงแต่กลับไม่ค่อยได้เอาออกไปใช้จริงจัง

สำหรับผมแล้ว การปฏิบัติภาวนานั้นจะใช้เบาะใช้หมอนหรือไม่ใช้ก็ได้ครับ หากว่าเราใช้แล้วรู้สึกดีก็ใช้ไปเถอะ หากใช้แล้วเก้ๆ กังๆ ก็ไม่ต้องใช้ เท่านั้นเอง ถือเสียว่าเป็นสิ่งช่วยเสริมการเดินทางของเราที่จะเลือกเป็นตัวช่วยหรือไม่ก็ได้

แม้ว่าโลกสมัยใหม่จะวุ่นวายสับสน มีเรื่องราวรายรอบตัวที่ดึงดูดความสนใจ และหันเหพาเราออกไปจากการปฏิบัติ แต่ก็ให้เราได้ความรู้ที่ว่ายกก้นขึ้นหน่อยแล้วสามารถ "นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้จำเพาะหน้า" อย่างที่ควรทำได้ง่าย เราจะได้แต้มต่อสักหน่อยในการปฏิบัติ ชดเชยกับการต้องอยู่ในสภาพปัจจุบันก็คงไม่เห็นเป็นไรนัก จริงไหม!

เรื่องส่วนตัว


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 8 เมษายน 2550


ถ้าเป็นคุณ คุณจะตัดสินใจทำอย่างไรต่อไปครับ เมื่อพบว่าคู่ชีวิตที่ครองรักอยู่ร่วมกันมานานกว่าครึ่งชีวิตกำลังป่วยหนักด้วยโรคร้าย ถึงขั้นเกินเยียวยารักษาให้หายได้ คุณจะยอมละทิ้งงานมาอยู่เคียงข้างให้กำลังใจ หากว่างานนั้นมีความสำคัญและมีความหมายอย่างยิ่งล่ะ

กลับกัน ถ้าคุณพบเห็นใครที่อยู่ในสถานการณ์ข้างต้น ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจทำงานสำคัญให้ลุล่วงก่อน หรือตัดสินใจวางมือจากภาระหน้าที่งานทุกอย่างเพื่ออยู่ดูแลคนรัก คุณจะรู้สึกอย่างไรครับ คิดไหมว่าทางเลือกที่ถูกต้องเหมาะสมนั้นควรเป็นอย่างไร

เขาคนนั้นคือจอห์น เอ็ดเวิร์ด อดีตสมาชิกวุฒิสภาและผู้สมัครตำแหน่งรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเรื่องของเขาเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเขากำลังมีงานสำคัญคือรณรงค์หาเสียงสนับสนุนเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่เป็นเพราะในเวลาเดียวกันนี้เอง อลิซาเบธภรรยาของเขากำลังล้มป่วยด้วยมะเร็งเต้านม และโรคร้ายได้ลุกลามลึกถึงกระดูก อาการเจ็บป่วยของเธอรุนแรงถึงชีวิต

คุณอาจคิดว่าเขาช่างโชคร้ายเสียจริงเชียว คงต้องสละสิทธิถอนตัวเพื่อดูแลภรรยาแน่ หรือคุณอาจเป็นห่วงอลิซาเบธว่าเธอจะได้รับเวลาและความเอาใจใส่อย่างพอเพียงจากจอห์นสามีของเธอไหม แต่เปล่าเลยครับ เพราะในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ สองสามีภรรยากลับออกมาแถลงข่าวยืนยันจะดำเนินกิจกรรมรณรงค์หาเสียงสนับสนุนลงเลือกตั้งต่อไป

การกระทำครั้งนี้ของทั้งคู่บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า หรือว่าเป็นความบ้าคลั่งกันแน่ หรือนี่เป็นเกียรติยศที่สำคัญเหนือกว่าความรักความผูกพันระหว่างสามีภรรยาเชียวหรือ หลายคนงุนงงสงสัยว่าการตัดสินใจดังกล่าวมีที่มาอย่างไร ตัดสินใจบนพื้นฐานความเชื่ออะไร จนนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ในบทความที่นำเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาโดยหนังสือพิมพ์ชื่อดังฉบับหนึ่งได้เก็บประมวลความเห็นจากการสัมภาษณ์ผู้คนในแวดวงต่างๆ จากหลากวัยและอาชีพ บ้างก็คับข้องใจ บ้างก็ชื่นชม

ดังเช่น หญิงคนหนึ่งบอกว่านี่แสดงถึงการกดขี่ทางเพศอย่างชัดเจนอีกแล้ว การที่ผู้หญิงต้องยอมเสียสละอย่างใหญ่หลวงเพื่อสนองตอบความทะเยอทะยานของฝ่ายชาย ส่วนพนักงานประชาสัมพันธ์คนหนึ่งกลับบอกว่าคำถามสำคัญที่สุด คือ คุณจะทำอะไรเพื่อคนที่คุณรัก เธอว่าถ้าสามีเธอลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เธอจะขอให้เขาสู้ต่อไป และเธอก็มั่นใจว่าสามีจะพูดอย่างเดียวกัน หากเธอเป็นฝ่ายลงแข่งขัน

แม้สามีภรรยาเองยังมีความเห็นต่อเรื่องนี้ต่างกัน ดังสามีภรรยาวัยเกษียณคู่หนึ่ง ฝ่ายภรรยามองว่านี่เป็นการตัดสินใจแบบเด็กๆ ที่ดื้อรั้นจะทำให้ได้โดยไม่คำนึงถึงคู่ชีวิตที่ป่วยอยู่ ขณะที่ฝ่ายสามีกลับมองว่าเป็นการตัดสินใจอย่างกล้าหาญที่จะทำงานต่อไป

หญิงผู้หนึ่งเธอรู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคมะเร็งเมื่อ 5 ปีก่อน ขณะที่เธอทำงานอาสาสมัครในบอสเนีย-เฮอเซโกวีนา ครั้งนั้นครอบครัวไม่เห็นด้วย ขอให้เลิกล้มความตั้งใจ และกลับบ้านเสีย แต่จนบัดนี้ก็ยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ เธอเชื่อว่าการที่เธอได้อุทิศตนอยู่ที่นั่นต่อเป็นสาเหตุที่เธอยังคงมีชีวิตรอด

ขณะที่อีกคนกลับมองเรื่องเดิมนี้ว่า จอห์น กำลังทำเพื่อภรรยาสุดที่รัก การที่เขาไม่ถอนตัวจากการแข่งขันหาเสียงเพียงเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกเสียใจที่ตนเป็นต้นเหตุให้สามีพลาดโอกาสก้าวหน้าในวงการเมือง

คิดเห็นกันไปคนละทางสองทางใครกันแน่เป็นฝ่ายถูก เราเองก็มักเอาความคิดตนไปตัดสินคนอื่น หรือยอมให้คนอื่นมาตัดสินชีวิตเรา แต่ท้ายที่สุดต่างฝ่ายก็ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเราเอง

จริงอยู่ว่าสิ่งที่นักข่าวและนักเลือกตั้งทั้งหลายพยายามวิเคราะห์คือ จอห์นจะได้รับคะแนนเลือกตั้งมากขึ้นหรือน้อยลงแค่ไหน บางคนว่าคงมากขึ้นเยอะ เพราะได้แสดงความกล้าหาญ อดทนสู้ต่อ แม้ในภาวะที่ครอบครัวประสบเรื่องราวสำคัญและยากลำบาก บ้างก็ว่าคงลดลงมาก เพราะประชาชนคงไม่อยากเลือกประธานาธิบดีที่มีสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งกำลังป่วยหรือเจียนตาย

เอาเถอะครับ สิ่งที่ผมว่าสนใจกว่าคะแนนคือ จอห์นและอลิซาเบธคิดอย่างไร อะไรอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจเช่นนั้น เห็นที่ผู้คนให้สัมภาษณ์ไหมครับ นานาจิตตัง แถมยังไม่แน่เสมอไปด้วยว่าคนให้สัมภาษณ์จะตัดสินใจอย่างที่พูด หากเหตุเกิดขึ้นกับตนเองจริงๆ ขึ้นมา ผมคิดว่าสิ่งสำคัญคือการที่ทั้งคู่ได้ตัดสินใจบนความมีสติ และคิดใคร่ครวญถี่ถ้วนรอบคอบแล้ว ว่านี่คือความสุขและความต้องการของทั้งสองเอง

ไม่จำเป็นต้องรู้สึกขัดใจหรือไปห่วงกังวลแทนเขาและเธอหรอกครับ เราไม่สามารถคิดแทนเขาหรือรับผิดชอบดูแลอะไรให้ชีวิตเขาได้จริง เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ในความหมายว่าแต่ละคนต่างมีหน้าที่ต้องดูแลรับผิดชอบเรื่องของตัวเอง ถ้าสิ่งที่ทั้งคู่ตัดสินใจทำนั้น มันไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นแล้ว มันก็เป็นสิ่งที่น่าสนับสนุน

หากเราเป็นคนป่วย เราจะเลือกอะไรก็แล้วแต่ขอให้ได้เลือกเถอะ แล้วมั่นใจกับมัน แล้วก็ภูมิใจว่าได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเราเองแล้ว แต่หากเราเป็นคนที่อยู่ข้างๆ ก็จงเคารพในการตัดสินใจของคนป่วย แม้ว่าเราอาจจะไม่เห็นด้วยก็ตาม

ดูแลคนที่เรารักใน “วาระของเขา” ไม่ใช่แม้ว่าใกล้จะจากไปแล้วเรายังบังคับให้เขาใช้ชีวิตและรับการดูแลตามความต้องการของเรา (อีกแล้ว) บางทีการให้คนป่วยได้ทำในสิ่งที่เขาเลือกอาจเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดก็ได้ ไหนๆ เขาก็จะไปแล้ว ก็น่าจะได้ให้เขาชีวิตช่วงสุดท้ายอย่างมีเกียรติ มีคุณค่า และงดงาม ในความหมายของเขาเอง