ตีพิมพ์ในคอลัมน์ จิตวิวัฒน์ หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555

เราท่านทั้งหลายคงเคยผ่านตาหนังสือประเภทสวรรค์มีจริง นรกมีจริง ชีวิตหลังความตายมีจริง มาแล้ว ยิ่งในระยะหลังหนังสือประเภทนี้ขึ้นอันดับต้นๆ บนแผงหนังสือตามร้านใหญ่ๆ หรือไม่พวกเราก็คงเคยได้ยินเรื่องราวทำนองนี้มาบ้าง ระดับของความน่าเชื่อถือก็แตกต่างกันไปตามแหล่งข้อมูลและองค์ประกอบรอบข้าง

เมื่อเดือนที่แล้ว มีนายแพทย์ชาวอเมริกันออกมายืนยันอีกรายว่า สวรรค์มีจริง! โดยตีพิมพ์ข้อค้นพบและหลักฐานสนับสนุนในหนังสือ Proof of Heaven: A Neurosurgeon's Journey into the Afterlife การบอกกล่าวว่าสวรรค์มีจริงครั้งนี้ต่างจากเรื่องอื่นๆ อยู่สองประการ หนึ่งคือตัวผู้บอกเล่า คือ ดร. Eben Alexander III เป็นศัลยแพทย์ระบบประสาทที่ได้ปริญญามาจากไอวีลีก ทำงานด้านนี้มากว่ายี่สิบห้าปี รวมถึงที่โรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดสิบห้าปี เดิมทีเขาเป็นผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายโดยสิ้นเชิง โดยใช้เหตุผลค้านจากความรู้และประสบการณ์ด้านวิทยาศาสตร์ของสมองและระบบประสาท

ความพิเศษประการที่สองคือ ลักษณะประสบการณ์ของผู้เล่า ในปี ๒๕๕๑ ดร.อเลกซานเดอร์ติดเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เชื้อนี้พบได้ยาก มักจะเป็นแต่กับเด็กเล็ก และอาการรุนแรงมาก หลังจากเริ่มมีอาการปวดศีรษะเพียงไม่กี่ชั่วโมง สมองส่วนคอร์เท็กซ์ก็หยุดทำงานโดยสิ้นเชิง โดยสมองส่วนนี้ทำหน้าที่ควบคุมทั้งความคิดและอารมณ์ความรู้สึก ว่าโดยง่ายเป็นส่วนที่ทำให้เราเป็นคนนั่นเอง และที่เขาทราบว่าสมองส่วนนี้หยุดทำงานก็ด้วยคุณหมอท่านนี้ทำงานในแผนกดังกล่าวอยู่แล้วจึงถูกติด ตรวจ และวัดด้วยเครื่องมือศึกษาการทำงานของสมองอย่างละเอียด ทางคณะแพทย์ผู้รักษาพบว่าเชื้ออีโคไลนั้นได้แทรกเข้าไปยังน้ำหล่อสมองไขสันหลังและเริ่มกินเนื้อเยื่อ ทำให้สมองตกอยู่ในอาการช็อกและหยุดทำงาน โอกาสรอดนั้นแทบจะไม่มีเลย

หลังจากนอนเป็นผักไม่ไหวติง ๗ วัน ในขณะที่คณะแพทย์กำลังคิดว่าจะหยุดเครื่องพยุงชีวิตนั้นเอง อาการของเขาก็ดีขึ้นและหายในที่สุด แต่เรื่องราวไม่ได้จบเท่านั้น เพราะเขาได้บอกเล่าประสบการณ์ในช่วงที่เขาอยู่ในอาการโคม่านั้นว่าเขาได้ไปยังดินแดนที่เขาเชื่อว่าคือสวรรค์

ดร.อเลกซานเดอร์ได้บรรยายถึงลักษณะของสถานที่ที่เขาเดินทางไปอย่างละเอียด มีนางฟ้าดวงตาสีฟ้าผู้เป็นมิตรที่สื่อสารกับเขาด้วยโทรจิต หมู่เมฆสีชมพูอ่อนเป็นปุยลอยอยู่ในท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ที่ล่องลอยอยู่เบื้องบนมิได้มีแต่เมฆ ยังมีอะไรบางอย่างที่คนไทยคงเรียกว่าเทวดาอยู่ด้วย เทวดาเหล่านั้นเปี่ยมด้วยปีติอย่างล้นเหลือจนต้องเปล่งเสียงแห่งความสุขออกมา ที่นั่นภาพและเสียงไม่ได้แยกออกจากกัน เฉกเช่นเดียวกับผู้สังเกตและสิ่งที่ถูกสังเกต อีกทั้งยังมีรายละเอียดอื่นๆ อีกมาก

ในอดีตมีคนนับร้อยที่เคยผ่านประสบการณ์ใกล้ตาย (หรือหลังตาย) มาก่อน แล้วกลับมาเล่าเรื่องสวรรค์ (หรือนรก) แต่นักวิทยาศาสตร์ทั่วไปมักเชื่อว่า เป็นสิ่งที่เกิดจากการทำงานของสมองซึ่งอยู่ในสภาพผิดปรกติ แต่ ดร.อเลกซานเดอร์ บอกว่าประสบการณ์ของเขาแตกต่างไป เพราะเขาเป็นคนแรกที่ตลอดระยะเวลาของการมีประสบการณ์นั้นมีหลักฐานชัดเจนว่าสมองส่วนคอร์เท็กซ์นั้นไม่ได้ทำงานเลย แสดงว่าสวรรค์ที่เขาไปพบมานั้นเป็นของจริง ไม่ใช่เป็นแค่การทำงานผิดพลาดของสมองตามที่มักเชื่อกัน แต่เป็นการรับรู้ เป็นประสบการณ์ที่อยู่นอกสมองไปโดยสิ้นเชิง

ไม่แปลกใจว่าหนังสือของเขาขึ้นอันดับหนึ่งของ New York Times Best Sellers และปัจจุบันก็ยังเป็นหนังสือขายดีอันดับหนึ่งของเว็บไซต์อเมซอนในหลายหมวด ผู้คนจำนวนมากที่ควักกระเป๋าหรือรูดบัตรซื้อหนังสือคงสงสัยอยากรู้ว่าสวรรค์มีจริงหรือไม่ ลักษณะเป็นอย่างไร ตายไปแล้วฉันจะได้ไปไหม?

แต่จากมุมมองของจิตวิวัฒน์แล้ว เรื่องเหล่านี้เกี่ยวกับสวรรค์ว่ามีจริงไหม หน้าตาเป็นอย่างไรนั้น ยังไม่ใช่สาระ สิ่งที่ควรตั้งคำถามมากกว่า คือประสบการณ์ใกล้ตาย การได้พบดินแดนสวรรค์นั้นมีความหมายอย่างไรต่อโลกทัศน์และการดำเนินชีวิตของคุณหมอ

ประสบการณ์ใกล้ตายหรือการได้ไปสวรรค์เป็นเพียงจุดเริ่มหรือประตูเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน (Transformation) ไปสู่การปรับเปลี่ยนระดับจิตสำนึก (Consciousness) ซึ่งก็คือการเปลี่ยนมุมมอง โลกทัศน์ ความเข้าใจต่อตนเอง ชีวิต และโลกที่เราอาศัยอยู่

หากประสบการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงจุดเริ่มต้นแล้วกระบวนการถัดมาคืออะไร

สถาบันไอออนส์ (Institute of Noetic Science) ตั้งอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ทำงานวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ในหนังสือ Living Deeply: The Art & Science of Transformation in Everyday Life พูดถึงงานชิ้นสำคัญของสถาบัน เป็นงานวิจัยที่ใช้เวลาหลายปี เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์นักวิชาการ คุรุ นักปฏิบัติชั้นนำจำนวน ๕๐ ท่าน โดยคัดเลือกเพื่อให้เป็นตัวแทนของศาสนา สำนักปฏิบัติ และกระบวนการเคลื่อนไหวสมัยใหม่ ที่มีรากฐานจากทั้งวัฒนธรรมตะวันออก ตะวันตก และประเพณีชนเผ่าพื้นเมือง ร่วมกับข้อมูลจากแบบสอบถามจากผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานมากกว่า ๙๐๐ คน ผลการวิจัยอธิบายถึงกระบวนการโดยสรุปดังนี้

๑. ประตูเข้าสู่ประสบการณ์ มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานนั้นเริ่มเข้าสู่เส้นทางจากการพบความทุกข์ความเจ็บปวดในชีวิต เรื่องนี้อาจไม่เป็นเรื่องแปลกสำหรับชาวพุทธ ดังเช่นที่ครูบาอาจารย์บางท่านกล่าวว่า “ถ้าอยากสุข ให้เอาทุกข์เป็นทางเดิน” แต่สำหรับชาวตะวันตกแล้วเป็นเรื่องที่ไม่คุ้นเคยนัก แต่ความทุกข์ความเจ็บปวดก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ผู้คนจึงมีโอกาสที่จะได้พบเจอช่องทางเข้าทางนี้เสมอๆ ผ่านความเจ็บป่วยหรือประสบการณ์ใกล้ตายของตนเอง เช่นที่ ดร.อเลกซานเดอร์พบมา ผ่านความเจ็บป่วยหรือการสูญเสียของบุคคลอันเป็นที่รักที่มีความหมายในชีวิต และก็ไม่ใช่แค่ความเจ็บปวดภายนอกเท่านั้น หากประสบการณ์ความล้มเหลวหรือสูญเสียอาจจะเป็นเรื่องภายในก็ได้ เช่นคุณค่าความหมายของชีวิต

ประตูช่องอื่นๆ นั้นผ่านทาง ก) ประสบการณ์ที่รู้ได้เฉพาะตน เช่น เกิดจากการฝึกฝนปฏิบัติสมาธิภาวนา ข) การพบคุรุหรือครูบาอาจารย์ ในแง่นี้ครูมิใช่เป็นเรือจ้าง แต่เป็นเสมือนแผนที่การเดินทางเลยทีเดียว ค) เรื่องราวที่อาจดูเหมือนเล็กๆ ไม่สลักสำคัญอะไร แต่เป็นการปิ๊งแว้บอะไรบางอย่าง เช่นที่มาซาโนบุ ฟูกุโอกะ ผู้เขียนหนังสือปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว หรือ อ.ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ ค้นพบ หรือจะมาจากการอ่านหนังสือพบเจอข้อคิดที่มีความหมายสำหรับเราก็ยังได้ ง) การอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักปฏิบัติว่าธรรมชาตินั้นมีพลังพิเศษบางอย่างที่ช่วยกระตุ้นส่งเสริมให้มนุษย์เปิดรับกับประสบการณ์ความรู้บางอย่างได้ พระพุทธเจ้าจึงมักแนะนำให้สาวกในศาสนาไปฝึกฝนในป่า สำหรับสังคมวัฒนธรรมสมัยใหม่ กิจกรรมอย่างเช่น นิเวศภาวนา (Eco Quest หรือ Vision Quest) จึงเป็นทางเลือกสำหรับผู้สนใจแสวงหาประสบการณ์ดังกล่าว

แต่ผู้คนไม่น้อยที่พบประสบการณ์ดังว่า ได้มาถึงประตูนี้แล้ว กลับปฏิเสธ ไม่ยอมรับ หรือใช้ความเชื่อเดิมไปอธิบาย เท่ากับการละทิ้งกระบวนการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานและไม่ได้เข้าสู่ลำดับขั้นต่อไป

๒. สำรวจค้นคว้า ผู้ที่ไม่ปฏิเสธประสบการณ์ที่เกิดขึ้นเปรียบเสมือนกับเมล็ดพืชที่พร้อมจะงอก หรือผีเสื้อที่พร้อมจะออกจากดักแด้ เขาต้องพร้อมที่จะเปราะบางและยอมรับการเปลี่ยนแปลง โดยอาจเริ่มจากความเชื่อเกี่ยวกับตนเองหรือเกี่ยวกับโลก ด้วยเพราะชุดความเชื่อเดิมเล็กเกินไปหรือไม่เพียงพอที่จะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น การค้นหานั้นอาจนำไปสู่การค้นพบชุดคำสอน ชุดคำอธิบาย รวมถึงกระทั่งพบเจอการฝึกฝนที่ใช่สำหรับตน

๓. พบแนวปฏิบัติ เพื่อที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นยั่งยืน ผู้ที่ตั้งใจค้นหาต้องหมั่นฝึกฝนปฏิบัติอะไรบางอย่าง เรื่องแนวการปฏิบัตินี้มีให้เลือกมากมาย อาจจะเป็นแนวเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น ไทเก๊ก ชี่กง โยคะ เดินจงกรม หรือยกมือสร้างจังหวะ แนวอยู่นิ่ง เช่น การนั่งสมาธิภาวนา แนวผ่านกระบวนการเชิงสร้างสรรค์ เช่น สร้างงานจิตตศิลป์ แนวผ่านกระบวนการเชิงความสัมพันธ์ เช่น สุนทรียสนทนา การเขียนบันทึก การสะท้อนการเรียนรู้ แนวผ่านพลังพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ เช่น พิธีกรรมทางศาสนา หรือพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ เช่น นิเวศภาวนา แนวผ่านกิจกรรมรังสรรค์ เช่น การสวดมนต์ หรือแม้กระทั่งแนวผ่านการทำกิจกรรมทางสังคม เช่น การเจริญสติในการทำงานในชีวิตประจำวัน หรือทำงานจิตอาสา เป็นต้น

๔. มีวิถีชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับการปฏิบัติ การฝึกฝนนั้นจะต้องไม่แยกออกจากชีวิต มิใช่ชีวิตตามปรกติเป็นแบบหนึ่ง ส่วนการปฏิบัติก็เป็นไปอีกแบบหนึ่งแยกหรือขัดแย้งกัน ซึ่งหมายถึงการเข้าใจถึงแก่นของการปฏิบัติมิใช่แค่รูปแบบภายนอกเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ความแปลกแยกระหว่างการใช้ชีวิตทางโลกด้านนอกและการค้นหาความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นภายในก็จะลดน้อยลง ในระยะนี้มีข้อพึงระวังไม่ให้การปฏิบัติเป็นไปเพื่อตนเองเพียงอย่างเดียว

๕. จากฉันสู่เรา จากเดี่ยวสู่กลุ่ม เมื่อวิถีชีวิตกับการปฏิบัติเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือการเข้าถึงศักยภาพที่สูงขึ้นของตนเอง รวมถึงความรักความเมตตากรุณาที่มีให้กับผู้อื่นสิ่งอื่น การฝึกฝนจะช่วยให้เห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงของตนกับสังคมรอบข้าง เห็นโยงใยที่เกาะเกี่ยวทุกชีวิตเข้าด้วยกัน การฝึกฝนและการดำรงอยู่ของตนจึงเป็นไปเพื่อคนอื่นด้วย แต่ในทางกลับกัน จะต้องไม่สุดโต่งไปจนกระทั่งลืมที่จะมีวิถีชีวิตที่ดูแลโจทย์และเป้าหมายของตนเองพร้อมกันไป

๖. ชีวิตที่ลุ่มลึก ในท้ายที่สุด ชีวิตจะมีความสุขอย่างยิ่ง เพราะอยู่ในสมดุลระหว่างการเข้าใจโลกภายนอกและโลกภายใน ระหว่างการเห็นและดูแลประโยชน์ตนเองและผู้อื่น แบบแผนความคิดและการกระทำจะกลายเป็นส่วนหนึ่งส่วนใหม่ที่สำคัญของความเป็นตัวเรา ตัวเราที่ผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน มีคุณภาพใหม่ที่มีบางส่วนของคุณภาพเดิม แต่ก็มิใช่คุณภาพเดิมแต่อย่างเดียว เป็นตัวเราที่พร้อมจะนำการเปลี่ยนแปลงนี้ไปสู่ชุมชนวงกว้าง และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานแบบสมุหะและในระดับที่สูงขึ้นไป

ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการจิตวิวัฒน์หรือการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานนี้ ยืนยันให้เห็นว่าความสุขจากยกระดับจิตสำนึกนี้เป็นความสุขที่หาง่าย เข้าถึงได้ทุกคน เพราะราคาถูก ที่อาจารย์ประเวศ วะสีใช้คำว่า Happiness at low cost ไม่จำเพาะผู้ที่มีฐานะดีมีโอกาสมีเวลาไปเข้าสปาเข้าคอร์สภาวนาเท่านั้น

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ต้องเริ่มจากการที่เราเปิดใจ เปิดโอกาสให้ตนเองได้เปราะบาง ได้ยอมรับประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นกับเรา ให้กรอบความคิด ชุดความเชื่อเดิมๆ ได้ขยายออก

ดังนี้แล้วคำถามสำคัญต่อเรื่องราวของ ดร.อเลกซานเดอร์ ที่ว่าสวรรค์มีจริง จึงอาจไม่ใช่แค่การตรวจสอบและพิสูจน์ว่าสวรรค์มีจริงหรือไม่ มีลักษณะเป็นอย่างไร ตายไปแล้วเราจะได้ไปไหม แต่เป็นคำถามที่ว่า ประสบการณ์บอกเล่าเรื่องแดนสวรรค์ที่ ดร.อเลกซานเดอร์ ได้ไปพบมานั้นมีความหมายอย่างไรต่อโลกทัศน์และการดำเนินชีวิตของตัวเราอย่างไร?

ชีวิตเลือกได้



ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา
*** ในฉบับตีพิมพ์ใช้ชื่อบทความว่า "เลือกเพื่อแม่" ***
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ

ฉบับวันที่ 7 ตุลาคม 2555

“ทำให้แม่มึงเถอะ แม่มีคนเดียว”

หนุ่มนักศึกษา ปี 1 คนนี้เขาเล่าให้ผมฟังถึงคำพูดของเพื่อนที่ทำให้เขาตัดสินใจเลือกเรียนสายวิทย์ ทั้งๆ ที่ตนเองรักและอยากเรียนดนตรีถึงที่สุด

ผมมักจะทึ่งกับคนประเภทนี้เสมอๆ คนที่เลือกเรียนตามที่ผู้ใหญ่ขอ ด้วยตนเองนั้นนึกเทียบเคียงประสบการณ์ตรงไม่ค่อยออก เพราะที่บ้านนั้นสนับสนุนการตัดสินใจเรื่องการเรียนของผมอย่างเต็มที่ (แม้ว่าอาจมีสงสัยหรือไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง) ยิ่งคนที่เลือกใช้ชีวิตตามที่คนอื่นต้องการ เชื่อว่าจำนวนไม่น้อยคงเป็นคนที่เสียสละน่าดู

อย่างนักศึกษาคนนี้ ฐานะครอบครัวแต่ก่อนค่อนข้างลำบาก ต้องต่อสู้ไม่น้อยจึงจะอยู่ได้ เกิดมาเขาได้อยู่ในอ้อมอกแม่แค่สองเดือนก็ต้องย้ายไปอยู่กับยายและป้าที่หนองคาย ช่วงยังเด็กก็มีสงสัยตามประสาวัยเยาว์ว่าพ่อแม่รักเราหรือเปล่า เหตุใดจึงให้ไปอยู่เสียห่างไกล แต่พอโตมาก็เข้าใจว่าเพราะรักมาก จึงยอมอดทนสู้อุตส่าห์ทำงานหนัก เพื่อส่งลูกเข้าโรงเรียนเอกชน เพื่อให้ได้รับการศึกษาที่เชื่อว่าดีที่สุด

การที่เขาชอบและรักดนตรีตั้งแต่เรียนมัธยม ทำให้อยากเรียนต่อด้านดนตรี ในขณะที่แม่อยากให้เรียนวิทยาศาสตร์ จึงเป็นโจทย์ยากของครอบครัว เป็นเหตุให้ได้ทะเลาะกันรุนแรงหลายครั้ง เมื่อเขายอมตัดสินใจเลือกและสอบเข้าได้คณะวิทยาศาสตร์ มหิดล แม่ดีใจถึงขนาดบอกพ่อว่า “เราได้ลูกกลับคืนมาแล้ว”

เข้าปีหนึ่ง เขาได้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นสมาชิกคณะประสานเสียง MU Choir ของมหาวิทยาลัย แต่การต้องไปซ้อมที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ชวนจินตนาการเห็นภาพตนเองที่เป็นนักดนตรี ทำให้เขากลับมาซึมเศร้าอีกครั้ง อีกทั้งการเรียนที่คณะวิทย์ก็ยากมากๆ สำหรับเขาเสียด้วย

วันหนึ่ง ผมมีโอกาสให้เขา “ระบาย” ให้ฟัง จึงได้รับรู้ ได้ยิน ถึงความอึดอัด ตัดสินตนเอง เกรงว่าตนจะไม่เหมาะไม่ดีพอ หรือไม่เข้ากับแบบพิมพ์ของคนส่วนใหญ่ในคณะ เป็นการต่อสู้ของคนที่อยากทำให้ได้ดี

ที่สำคัญ คือ อยากจริงแท้ต่อความรู้สึกตนเอง ไม่อยากทิ้งความฝันในชีวิตของตนเองไป

เราใช้เวลาอย่างมีคุณภาพในการถ่ายทอดบอกเล่า และฟังอย่างลึกซึ้ง เพียงไม่นาน เขาก็เข้าใจได้ด้วยตนเอง ถึงความสอดคล้องเข้ากันได้ของสองสิ่งที่ดูเหมือนจะขัดกัน แต่แท้จริงแล้วเกื้อกูลกัน

ในช่วงเวลาสั้นๆ เขาก้าวข้ามจากสภาวะหนึ่งสู่อีกสภาวะหนึ่ง แบบข้ามพ้นแต่ปนอยู่ (transcend and include) คือ มีคุณสมบัติใหม่ มีความเข้าใจใหม่ โดยไม่ได้ต้องทิ้งของเดิมไปแต่อย่างใด เป็นการเข้าถึงความหมายของการอยู่ร่วม ที่ไม่ใช่เพียงอยู่ให้รอดในการเรียนวิทยาศาสตร์ หรืออยู่ให้รอดจากการทิ้งความฝันตัวเอง แต่มีชีวิตอยู่เพื่อความฝันของแม่และยังมีความรักในดนตรี เป็นการอยู่ร่วมของความรัก ความฝัน และความสุข ในรูปแบบความเข้าใจของเขาเอง

นั่นทำให้เปิดความสามารถในการเลือกได้ด้วย คนส่วนใหญ่นั้นรับรู้และเชื่อว่าสิ่งที่เราเลือกได้ คือ เลือกทางกาย เลือกการกระทำของเรา แต่มักไม่ตระหนักว่าเราสามารถเลือกทางใจได้ด้วย ซึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเลือกที่จะอยู่โดยทุกข์หรือไม่ทุกข์

เมื่อวานนี้ เขาเขียนมาบอกกับผมว่าชีวิตนี้มีคุณค่าและความหมายอย่างไร “ที่นี่เป็นที่ๆ ผมอยู่แล้วมีความสุข เพราะได้ทำเพื่อแม่”

เขารู้และเลือกแล้วที่จะเรียนและอยู่ที่นี่อย่างไร

“นี่ก็คงเป็นตัวผมที่เป็นปัจจุบันที่สุดแล้วครับ” เขาเขียนส่งท้าย

ยินดีด้วยครับ!



ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ

ฉบับวันที่ 16 กันยายน 2555

ที่บ้านผมนั้นมีปลูกต้นไม้อยู่บ้าง แต่นอกจากที่หิ้งพระแล้ว ในตัวบ้านก็ไม่ค่อยมีไม้ตัดดอกใส่แจกันเอาไว้ ตอนเด็กนั้นไม่เคยคิดจะซื้อดอกไม้เข้าบ้านเลย รู้สึกว่าเรื่องแจกันดอกไม้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่

มาเปลี่ยนไปก็เมื่อคราวไปเรียนต่างประเทศ วันที่ผมได้ไปเยี่ยมเพื่อนที่อพาร์ทเมนต์ เมื่อเปิดประตูเข้าไป โอ้โห ต้นไม้และดอกไม้เต็มห้องเลย เหมือนเดินเข้าไปในสวนพฤกษศาสตร์ หรือในฉากหนังมากกว่าห้องพัก เธอบอกว่าดอกไม้และต้นไม้เหล่านี้ช่วยเธอให้หายเครียดได้มาก

พอกลับบ้าน ผมเดินเลยไปที่โรงรถ ขับออกไปที่ Home Depot ซื้อดอกไม้ ทั้งที่บานแล้วในกระถาง และแบบยังเป็นหัว (bulb) มาปลูกทันที มีทั้งไฮยาซินท์ แดฟโฟดิล และอื่นๆ อพาร์ทเมนต์ผมก็เปลี่ยนไปในบัดดล รู้สึกเลยว่ามีแบบแผนของพลังของความอบอุ่นอ่อนโยนเพิ่มขึ้น

จากนั้นผมก็เริ่มซื้อดอกไม้มาปลูกและจัดแจกัน พร้อมกับการเริ่มสะสมแจกันที่นักศึกษาที่ย้ายหอแล้วไม่เอาไปด้วย ก็จะนำไปวางทิ้งไว้หรือขายราคาถูกเป็นพิเศษ

กลับมาเมืองไทย เมื่อมีโอกาสได้เรียนจัดดอกไม้แบบอิเคบานะกับหมู่เพื่อนชาวจิตตปัญญา ก็ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปอีกมาก ผมชอบและมีความสุขกับการจัดดอกไม้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แถมไม่ต้องใช้ดอกเยอะๆ อีกต่อไป ดอกเดียว ก้านเดียวก็งามได้

แต่กระนั้นก็ยังช่างเลือกอยู่ไม่น้อย ผมจะนิยมดอกไม้ที่ตัดเองจากต้น หรือที่ร่วงหล่นเองตามพื้น ถ้าต้องซื้อ ก็ชอบไปเดินหาที่ปากคลองตลาดด้วยตนเอง ต้องเป็นดอกที่ไม่ค่อยธรรมดาหน่อย ไม่ต้องแพงหรือเป็นดอกไม้นอกก็ได้

ที่ผมไม่นิยมอย่างยิ่ง คือ กล้วยไม้ตามแผงลอย ที่แม่ค้ามาแบ่งและผสมกับใบเตยสักหน่อย ขายควบพวงมาลัยไหว้พระ ด้วยมีอคติส่วนตัวหลายอย่างที่แต่ก่อนก็ไม่ตระหนัก ไม่เคยอนุญาตให้ตนเองซื้อมาจัดเลย

วันก่อนอยากได้ดอกไม้มาไว้สำนักงานสักช่อ แต่หาไม่มีที่ถูกใจ เลยตัดใจซื้อกล้วยไม้สกุลหวาย (Dendrobium) มากำหนึ่งยี่สิบบาท ถึงที่ทำงานแกะออกดูก็ เอ๊ะ งามไม่น้อยนะนี่ แม้ว่าจากมุมมองคนทั่วไปอาจเห็นว่าเขาไม่สมบูรณ์ตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย แต่ค่อยๆ พิจารณา พอหมุนบ้าง ตัดบ้าง แต่งบ้าง ช่วยเลือกด้านที่เขางามที่สุดออกมา ก็ได้แจกันและแก้วใส่ดอกไม้ 5 อัน ที่งดงามไปคนละแบบ แบ่งให้เพื่อนร่วมงาน

เมื่อวานเย็นลงไปนั่งริมน้ำเจ้าพระยา ดูแสงอาทิตย์ที่ไล้ผิวน้ำค่อยๆ เปลี่ยนสี ตกมืดไปเดินเล่นจึงได้กล้วยไม้ราคาสิบห้าบาทขึ้นมาถวายพระหนึ่งกำ ถึงที่พักผมรีบแกะหนังยางออก เพราะสงสารเขาที่ถูกรัดแน่น พบว่าก้านหัก กลีบช้ำและขาดจำนวนมาก

หากเป็นเมื่อก่อน คงนึกบ่นแม่ค้า ผสมวิจารณ์ความหยาบกระด้างของสังคม คละปนไปกับความเสียดายที่ได้ดอกไม้ไม่สวยมา แต่ตอนนี้มีเครื่องมือจิตตปัญญา รู้จักที่จะดูใจระหว่างที่จัดไป จิตอยู่กับการจัด มากกว่าอยู่กับผลงานในอนาคตที่จะออกมา

ราวครึ่งชั่วโมงผ่านไป ได้แจกัน แก้ว ถ้วย ใส่ดอกไม้สำหรับจัดวางถวายพระและในห้องต่างๆ ถึง 8 แห่ง เป็นแบบกิ่งยาวหลายดอกบ้าง สองสามดอกบ้าง หรือแม้กระทั่งดอกเดียวก็มี

เช้าตื่นขึ้นมา สวัสดีวันพระ หากดอกไม้ยิ้มได้ พวกเขาคงส่งยิ้มให้กับเรา เพราะเขาได้พัก ได้ฟื้น ทุกดอกงดงามยิ่งกว่าเมื่อคืน ดอกตูมบางดอกก็ค่อยแย้มกลีบน้อยๆ หากเป็นเมื่อก่อนพวกเขาคงไม่ได้รับโอกาสให้เผยความสง่างาม และความแช่มบานให้ได้ชื่นชมเช่นนี้

คุณประภาส ชลศรานนท์ เขียนถึงผู้ใหญ่ที่ท่านเคยแนะนำว่าหากมีเงินสองบาท หนึ่งบาทให้ซื้อข้าว อีกบาทให้ซื้อดอกไม้

บัดนี้ ผมเดินทางมาจนเข้าใจด้วยตนเองแล้วว่าคำพูดนั้นหมายถึงอะไร

ช่างสามัญไม่ธรรมดา



ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ

ฉบับวันที่ 2 กันยายน 2555

ที่จอดรถช่วงเที่ยงวันธรรมดากลางสัปดาห์นั้นหาได้ไม่ยากนัก ไม่ต้องขับวนก็มีที่ จอดเสร็จพลางนึกในใจว่าวันนี้คงใช้เวลาไม่นาน เพราะอุตส่าห์เลือกมาเวลานี้

แต่เมื่อพลันก้าวเข้าไปในร้านตัดผม ก็ต้องแปลกใจเพราะว่ามีลูกค้านั่งรออยู่สองคน ขณะที่ช่างทั้งสามคนกำลังง่วนอยู่ ช่างประจำของผมยิ้มพร้อมผายมือให้ไปนั่งรอก่อน

ระหว่างนั่งรอเห็นช่างเขาหันมาทางผมบ่อยๆ พร้อมมีสีหน้ากังวลเล็กน้อย ผมมองไปรอบๆ จึงเห็นว่าหนึ่งในลูกค้าสองคนที่มาก่อนเป็นวินมอเตอร์ไซค์ สวมหมวกผ้าใบเล็กแนบศีรษะ ดูเหมือนผมก็ไม่ยาว ผมได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ

พอช่างของผมตัดเสร็จ เขาก็เริ่มพับผ้าคลุม ผ้าขนหนู หยิบกระเป๋าใบเล็กขึ้นมาแล้วหยิบผ้าใส่ลงไป พร้อมหยิบปัตตาเลี่ยนมาม้วนสายไฟเก็บอีก ผมทั้งงงทั้งสงสัยเข้าไปใหญ่ว่า อ้าว จะเก็บของไปไหนนี่ เก็บเสร็จเขาทำท่าทางขอโทษขอโพย ยกมือยกไม้เหมือนบอกเวลาว่าแป๊บเดียวไม่กี่นาที นั่นไม่ช่วยให้ผมเข้าใจอะไรมากขึ้นเลย แต่พอจะเอ่ยปากถาม หนุ่มวินมอเตอร์ไซค์ก็พาช่างผมออกไปจากร้านเรียบร้อยแล้ว

ช่างอีกคนคงเห็นเครื่องหมายคำถามเต็มใบหน้า มีน้ำใจบอกผมว่า "เดี๋ยวช่างเขาก็กลับมาครับ"

อ้อ แล้วผมจะต้องรอนานสักเท่าไหร่ละนี่? เอาเถิด ไหนๆ ก็มาแล้ว จะกลับไปก็เสียเที่ยว ทำใจสบายนั่งรอไปละกัน รีบไม่รีบก็เป็นสุขใจได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องอึดอัดอะไร

สักพักใหญ่ ช่างประจำตัวก็เดินกลับเข้ามา เขากุลีกุจอเอาของออกจากกระเป๋า ปาดเหงื่อแล้ว ปัดเศษผมออกจากเก้าอี้ แล้วเชิญผมไปนั่ง

คำถามนั้นไม่เป็นสิ่งจำเป็น เขาเริ่มเล่าพลางเริ่มกระบวนการตัดที่คุ้นเคย ผมสังเกตว่าแม้ว่าดูเขาจะเหนื่อยมา แต่ละขั้นตอนก็ยังคล่องแคล่ว ว่องไว และปราณีตเช่นทุกครั้ง สมกับเป็นช่างฝีมือดีที่ผมไว้วางใจ

"ขอประทานโทษทีนะครับพี่" น้ำเสียงเขานอบน้อม เรียกผมเป็นพี่ทุกคำแม้ว่าจะผมจะอายุอ่อนกว่า "ไปตัดผมให้คุณลุงท่านหนึ่งแถวนี้มาน่ะครับ ให้คนมาเรียกผมหลายครั้งแล้ว แต่ผมคิวแน่นตลอด วันนี้แกเลยส่งลูกน้องมารอรับเลย"

คุณลุงที่เอ่ยถึงนั้นอายุอานาม 80 กว่า อยู่ซอยแถวนี้ ลูกหลานอยากให้ตัดผม แต่ไม่สามารถเดินมาด้วยตนเองได้

"ถือว่าไปดูแลญาติผู้ใหญ่น่ะครับ น่าสงสารคนเหล่านี้นะ แก่แล้วหลายก็ออกไปไหนมาไหนไม่ได้ เราลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็เลยยินดีไปครับ อีกหน่อยเราก็เองก็ต้องแก่เหมือนกัน"

โดยมากช่างมักไม่ค่อยชอบไปตัดผมตามบ้านให้คนมีอายุ เพราะมักมีปัญหาสุขภาพ "ฉี่อึรดที่นอนก็มี หรืออย่างสัปดาห์ที่แล้ว ผมไปตัดให้คุณลุงอีกคนแม้อายุไม่มากเท่า แต่เป็นเบาหวานต้องตัดขาทั้งสองข้าง นั่นก็ต้องไปช่วยอุ้มจากเตียงขึ้นมานั่ง ตัดก็ยากกว่าตัดปรกติครับ" เขาเล่าด้วยความตั้งใจ ไม่มีน้ำเสียงของการบ่นแต่ประการใด

"แต่ผมเข้าใจได้ คุ้นเคยดี แต่ก่อนตอนนู้นยังไม่มีครอบครัว ผมก็อาสาไปตัดให้พวกคนไข้ พวกทหารที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึกเสมอๆ เห็นใจเขาครับ ใครๆ ก็อยากได้ตัดผมแต่ไม่มีช่าง เดี๋ยวนี้เสียดายผมไม่ค่อยได้ไปแล้ว ต้องดูแลที่บ้าน"

ผมนั่งฟังด้วยความซาบซึ้ง เกิดปีติมีขนลุกบ้างเป็นครั้งคราว แค่ครู่เดียวก็ตัดเสร็จ เพราะตัดง่าย ทรงเดียวกับที่ไว้มาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม

เรากล่าวขอบคุณซึ่งกันและกันเช่นทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมตั้งใจขอบคุณเขามากเป็นพิเศษ รู้สึกโลกนี้งดงามน่าอยู่ไม่น้อย เดินออกมาจากร้านรู้สึกดีที่ได้เลือกที่จะนั่งรอเกือบชั่วโมงก่อนหน้านั้น

ยอม



ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ

ฉบับวันที่ 26 สิงหาคม 2555

ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก

แต่ก่อนผมไม่ค่อยสนใจสำนวนไทยนี้สักเท่าใด ตอนเด็กๆ ครูสอนให้ท่อง เราก็ท่อง (เพื่อไปสอบ) แต่ผมไม่เคยสงสัยว่าจริงหรือไม่ และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ครั้นโตมาก็ได้ยินคนนำไปใช้อยู่เนืองๆ ประมาณว่าใช้กล่าวกระทบกระเทียบบรรดาผู้ใหญ่ที่ดื้อ คือ ไม่ค่อยจะยอมเปลี่ยนแปลง

คีย์เวิร์ดหรือคำสำคัญคือคำว่า 'ยอม' กระมัง?

ตอนยังเด็กเล็กๆ แต่ละคนจะมีช่วงเวลาที่เรายอมให้กันง่ายๆ อาจเป็นขนม ของเล่น บางทีก็เป็นโอกาสที่จะได้รับอะไรดีๆ เช่น ได้เล่นเครื่องเล่นหรืออ่านหนังสือการ์ตูนก่อน หรืออาจเป็นยอมให้อภัยคนที่ทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ ทะเลาะกันวันนี้ พรุ่งนี้ก็กลับมาเล่นกันใหม่ ยังไงก็ยังเป็นพี่น้อง เป็นญาติ เป็นเพื่อนกันอยู่ดี

ครั้นเติบโตมา มีการมีงานเป็นหลักเป็นฐาน แค่การขอให้เพื่อนร่วมงานไปประชุมแทน หรือทำงานง่ายๆ ให้สักอย่าง พอเขาไม่ยอมตามที่ขอ ก็โกรธขุ่นข้องหมองใจ คนที่เป็นฝ่ายขอก็กลายว่ารู้สึกเสียหน้า พาลไม่พูดไม่ทักกันไปเป็นเดือน บางทีนานจนแทบจำไม่ได้ว่าโกรธกันด้วยเรื่องใด

แล้วอะไรหนอที่ทำให้เราดัดหรือยอมได้ยาก? อาจจะเป็นประสบการณ์ในการใช้ชีวิตของเรา โดยเฉพาะตอนที่เราต้องเผชิญกับโจทย์ชีวิตยากๆ ทำให้ต้องเป็นหรือต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อที่จะอยู่รอด ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางจิตใจ แล้วเราก็บอกตัวเองว่าต้องเป็น ต้องทำแบบนี้ถึงจะโอเค ถึงจะปลอดภัย

ยิ่งโตขึ้น ความเชื่อเหล่านี้ยิ่งมากและยิ่งแข็งแรง เราพร่ำบอกและตอกย้ำว่าเราเป็นคนเช่นนั้นๆ อยู่เสมอๆ โดยเราไม่รู้ตัว บ่อยครั้งก็ด้วยการปลูกฝังความเกลียดชังหรือความเป็นอื่นให้กับคนที่มีคุณสมบัติที่เราไม่ชอบ

แต่ยิ่งเราเกลียดหรือถอยห่างจากคนที่ต่างจากเราแค่ไหน เรายิ่งไม่สามารถยอมให้เราเองมีคุณสมบัติเช่นคนนั้น (แม้ว่าบ่อยครั้งเราก็ต้องการคุณสมบัติเช่นนั้นบ้าง)

หากเราเกลียดคนที่ดูเหมือนว่าบ้าอำนาจ เราอาจจะยิ่งไม่สามารถยอมให้ตนเองเป็นคนที่กล้ารับผิดชอบและตัดสินใจคนเดียวอย่างเด็ดขาด

หากเราบอกตัวเองว่าเราไม่เก่งศิลปะ เรายิ่งไม่ยอมเปิดโอกาสให้ตนเองได้ลองสนุกกับเส้นสายลายสีได้อย่างวางใจ

ในงานอบรมจิตตปัญญาเพื่อพัฒนาศักยภาพกระบวนกรหรือผู้ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ขององค์กรด้านจิตอาสา คำที่ผู้เข้าร่วมอบรมชอบกันมาก คือ คำว่า 'ยอมให้' ไม่ใช่ยอมให้คนอื่นคนไกลที่ไหน แต่ยอมให้ตนเอง คือ ยอมอนุญาตให้ตนเองเปลี่ยน เปลี่ยนไปเป็นคนที่ตนเองเคยบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ฉันไม่ใช่คนเช่นนั้น

ชายหนุ่มหน้าเข้มเสียงเข้มหัวหน้าองค์กรชั้นนำของประเทศด้านการทำบ้านดิน แบ่งปันการเรียนรู้ในตอนท้ายของการอบรมว่า "ขอบคุณงานอบรมครั้งนี้ ที่ทำให้ผมได้เปิดตนเอง มีมิติด้านจิตใจมากขึ้น ได้ลองทำงานศิลปะ แต่ก่อนจะไม่กล้าเลย บอกตัวเองว่า 'เราวาดรูปไม่เก่ง' เพราะตอนเด็กๆ ครูมักให้คะแนนแค่ 5 จากเต็ม 15 คะแนน"

น่าประทับใจที่แค่การเรียนรู้ด้วยกันไม่กี่ครั้ง เขากลับ 'ยอม' ให้ตนเองเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง

"เรื่องจิตใจนี้ก็เปลี่ยนมาก เมื่อก่อนคุยก็จะใช้แต่เหตุผลล้วนๆ ใครไม่คุยเหตุผล ผมจะไล่ไปไกลๆ เลย และก็ไม่ให้ความสำคัญเรื่องอารมณ์ความรู้สึกคนอื่น ... เดี๋ยวนี้คุยกันก็ฟังกันมากขึ้น กลายเป็นคนอ่อนโยนขึ้นมากเลยครับ"

ฟังแล้วทำให้ผมชักไม่สนใจว่า ไม้จะแก่หรือจะอ่อน หรือจะดัดยากหรือดัดง่าย เพราะสำหรับผมแล้วทุกคนดัดได้เสมอ และไม่ใช่เพราะว่าการดัดนั้นต้องใช้วิธีอะไร แต่เพราะเรานี่แหละที่พร้อมยอมให้ดัดตัวของเราเอง

ส่งศิษย์ถึงฝั่ง



ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ

ฉบับวันที่ 19 สิงหาคม 2555

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นมาจากงานบนโต๊ะ เห็นลูกศิษย์ที่นัดไว้เปิดประตูเข้ามาหา เขาฉีกยิ้มกว้างแบบที่ผมจำได้แม่น

"สวัสดีครับอาจารย์ ผมมาลาอาจารย์ครับ"

"อ้าว!" ผมแปลกใจ วางงานลง พากันเดินมานั่งคุยที่โซฟาห้องโถง ไต่ถามความเป็นมาเป็นไปว่าจะลาไปไหน จึงได้ทราบว่า "ผมจะไปเรียนต่อปริญญาเอกครับ"

ความแปลกใจก็ยังไม่หาย เพราะเห็นเขาเพิ่งได้งานใหม่ที่สถาบันชื่อดังแห่งหนึ่งของรัฐ อีกได้ข่าวว่ากำลังสนุกกับการเดินทางไปทำวิจัยทั่วประเทศ เขาเล่าว่าพอดีมีโอกาสเรียนต่อเข้ามา ได้รู้จักกับอาจารย์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านที่สนใจ จึงตัดสินใจไปเรียน ด้วยว่าจะไปเรียนถึงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่จึงมากราบลา

มาลัยดอกมะลิพวงงามที่เตรียมไว้ถูกหยิบออกมา เขาย่อตัวลงนั่งคุกเข่าที่พื้นห้อง พนมมือที่ถือพวงมาลัยกลิ่นหอมขึ้น ตอนนี้เพื่อนๆ ของเขาก็มานั่งใกล้ๆ ด้วย เขาขออนุญาตทำพิธีขออโหสิกรรม โดยออกตัวว่ารูปแบบและถ้อยคำที่จะกล่าวก็จำจากที่เห็นมา ไม่แน่ใจว่าจะถูกต้องครบถ้วนแค่ไหน

ชายหนุ่มนิสัยเรียบร้อยเอื้อนเอ่ยคำขออโหสิกรรมอย่างชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ แฝงความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างยิ่ง

ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องหยุดลง ความตั้งใจทั้งหมดทั้งมวลของทุกคนอยู่ที่กิจกรรมนี้ คุณภาพของความตั้งใจดังกล่าวทำให้พิธีกรรมเรียบง่ายศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาทันที

หลังจากคำอโหสิกรรม เขาเล่าถึงบางช่วงของการเส้นทางชีวิตตั้งแต่ได้เจอชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ที่ผสมผสานกระบวนการจิตตปัญญาของเราว่ามันมีความหมายเช่นไร คำพูดเขาทำให้ผมย้อนระลึกถึงเด็กหนุ่มที่ก้าวเข้ามาเรียนในวิชาเลือกที่ผมสอนเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เขาวันนั้นกับวันนี้เรียกได้ว่าต่างกันเป็นคนละคน

เด็กวันก่อนซึ่งก็ไม่ต่างกับเด็กเรียนทั่วไป ที่ขยัน เก่ง และรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะสอบได้คะแนนเยอะ ทำผิดทำพลาดก็เคย ปัจจุบันได้กลายเป็นชายหนุ่มที่มีความสามารถในการรู้จักตนเอง เครื่องมือการเรียนรู้ที่หลากหลายทางจิตตปัญญาทำให้เขาได้พัฒนาด้านหรือมิติที่ไม่เคยเห็นหรือยอมรับมาก่อนของตนเอง ทำให้เป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์และรอบด้านมากขึ้น อีกทั้งความสัมพันธ์กับทุกคนที่บ้านก็ดีขึ้น ไม่ว่ากับคุณตา คุณยาย คุณพ่อ คุณแม่ น้า หรือพี่สาว กับความสัมพันธ์ยากๆ ที่แต่ก่อนเขานึกไม่ออกเลยว่าจะทำให้คลี่คลาย เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีได้อย่างไร มาบัดนี้สมาชิกครอบครัวสามารถแสดงออกถึงซึ่งความรักความเข้าใจกันได้อย่างอิสระมากขึ้น เป็นที่พึ่งของเพื่อนร่วมงาน ช่วยทำให้บรรยากาศที่ทำงานเป็นมิตร ผู้คนใส่ใจให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์

"ผมตั้งใจจะทดแทนบุญคุณของอาจารย์ครับ แต่ต้องไปเรียนต่างจังหวัด ระหว่างนี้ผมจะขอทำความดี เป็นคนดี และน้อมนำเอาสิ่งที่อาจารย์สอนไปปฏิบัติเพื่อทดแทนคุณนะครับ"

ถ้อยคำที่กล่าวอย่างหนักแน่น ทำเอาผมตื้นตันอย่างมาก ย้อนระลึกถึงนับตั้งแต่วันที่ได้เริ่มมาเป็นครูแล้ว ก็ได้พบได้เจอประสบการณ์ดีๆ มาก็ไม่น้อย แต่ช่วงเวลาเช่นนี้ที่ได้เห็นการเติบใหญ่ของศิษย์ ไปสู่การเป็นมนุษย์ผู้มีความพร้อมในการดูแลตนเองและครอบครัว มีความเข้าใจในตนเองและโลก ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่และมีความหมายมากสำหรับความพยายามทั้งหมดที่ได้ทุ่มเทไปในฐานะครูคนหนึ่ง

ขอบพระคุณคุณพ่อ คุณแม่ ที่ได้ให้ชีวิต ขอบพระคุณครูบาอาจารย์ผู้อบรมขัดเกลา ทำให้ผมได้ทำงานนี้ งานที่ได้เป็นประจักษ์พยานการเปลี่ยนผ่านของศิษย์ เป็นงานที่เติมเต็มความหมายให้ชีวิต

โซโล่



ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ

ฉบับวันที่ 5 สิงหาคม ๒๕๕๕

ตรงนี้ได้คนหนึ่ง" พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล พูดพร้อมกับชี้ไปยังพื้นที่ที่ดูค่อนข้างเหมาะ

ที่ว่าค่อนข้างเหมาะนั้นหมายถึงที่พื้นดูค่อนข้างเรียบและโล่ง แม้จะเป็นพื้นดินในป่าที่ค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ก็ไม่มีพืชคลุมดินหรือไม้พื้นล่างที่ขึ้นหนาแน่นเกินไป เศษใบไม้ที่ร่วงหล่นและกำลังถูกย่อยสลายก็ไม่หนาจนอาจมีงูเงี้ยวเขี้ยวขอที่อาจเป็นอันตราย ผมเงยหน้ามองไปข้างบนต้นไม้ใหญ่ไม้เรือนยอดก็มีพอจะเป็นแนวบังแดดที่มีอยู่ให้ดูรำไร ไม่มืดจนน่ากลัว แต่ก็ไม่จ้าจนร้อน อากาศก็ดูถ่ายเทได้ดี ไม่อับ

ผมหันกลับไปแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ฝรั่งที่เดินตามมาเป็นแถวเรียงหนึ่งทราบ พวกเขามองหน้ากันไปมาสักพักก็มีคนพยักหน้า ทำนองให้สัญญาณว่า "ฉันเลือกที่นี่แหละ" แล้วเดินตรงไปยังจุดดังกล่าว สำรวจไปรอบๆ หาตำแหน่งเหมาะๆ แล้วเอาเป้สัมภาระวางลง

พวกเราค่อยๆ หาตำแหน่งและปล่อยชาวต่างชาติเหล่านี้อยู่ในป่าภูกลาง อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ ตามลำพังทีละคน แต่ละคนอยู่ห่างกันพอให้ไม่เห็นกัน ส่วนเราไปหยุดพักที่ริมผา สนทนากันสักครู่ ก็ได้เวลาพระท่านฉันเพล ผมรับประทานข้าวกล่อง ตั้งใจกินอย่างรู้เนื้อรู้ตัว จากนั้นก็แยกย้ายกันภาวนาหรือพักผ่อนตามอัธยาศัย

สองสามชั่วโมงถัดมา ได้เวลานัดหมาย พร้อมๆ กับสายฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมา พวกเราเดินย้อนกลับไปทางเก่า ผ่านแต่ละจุดที่ปล่อยฝรั่งเหล่านั้นไว้ แล้วเดินกลับออกมาด้วยกัน

ที่ริมป่าพวกเราได้นั่งสนทนากันถึงช่วงเวลาการอยู่คนเดียวในป่าประมาณสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา คุณครูสอนวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมต้น จากเมาท์วอชิงตัน รัฐเคนตักกี้ สะท้อนว่านี่เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่สำคัญที่สุดของเธอ

"หลังจากเลือกที่ได้แล้ว ฉันวางของลง สาละวนกับการจัดที่ทางให้พร้อม จุดธูปไล่แมลง ทำนู่นทำนี่สารพัดอย่างค่อนข้างหงุดหงิดรำคาญ กว่าจะได้นั่งภาวนาก็พักใหญ่ มองนาฬิกาถึงได้รู้ว่าผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว พอนั่งลงพักก็พบว่ามันสบายมากกับแค่กลับมารู้เนื้อรู้ตัว มันทำให้ฉันตระหนักว่าที่ผ่านมาฉันเองก็ใช้ชีวิตแบบนี้แหละ กระสับกระส่ายกับการจัดการเพื่อให้ฉันสบาย ทั้งๆ ที่มันง่ายๆ แค่การได้อยู่กับตัวเองอย่างแท้จริง"

เธอเป็นคนในหนึ่งในคณะของชาวอเมริกันราว 20 ชีวิต ประกอบด้วยครู นักการศึกษา นักสื่อความหมายธรรมชาติ ผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ทั้งในระบบ นอกระบบ และการเรียนรู้ตามอัธยาศัย เขาเหล่านี้จ่ายเงินบินข้ามน้ำข้ามทะเลครึ่งโลกมาเรียนรู้เรื่อง "พุทธศาสนากับการอนุรักษ์ธรรมชาติ" ในโครงการ Earth Expeditions ซึ่งเป็นความร่วมมือของกลุ่มจิตตปัญญาวิถี อาจารย์จากมหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยไมอามี และสวนสัตว์ซินซิเนติ สหรัฐอเมริกา

พวกเขาได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนักคิดนักปฏิบัติด้านจิตตปัญญาชาวไทย ถึงการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดสมดุลของการเรียนรู้เนื้อหาเรื่องราวภายนอก ไปพร้อมๆ กับการรู้จักรู้ใจตนเอง สามารถเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งเก่งและทั้งงามจากภายใน มีความอ่อนโยนต่อชีวิตและอ่อนน้อมต่อธรรมชาติ สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่น สรรพชีวิต และธรรมชาติได้นั้นอย่างสอดคล้องสมดุล

ประสบการณ์ที่พวกเขาได้พบเป็นประสบการณ์จิตตปัญญาที่อยู่บนฐานวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของไทย ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นสากล และทำให้เราได้สะท้อนเห็นตัวเองชัดยิ่งกว่าบทเรียนตามตำรา

เธอผู้นี้กล่าวทิ้งท้ายถึงประสบการณ์สำคัญว่า "นี่คงเป็นครั้งท้ายๆ ในชีวิตแล้วที่ฉันจะเสียเวลากับการมัวจัดการกับสิ่งนอกตัวมากมายขนาดนี้"

จิตอาสาทัศนาจร



ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ

ฉบับวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๕

คุณครู : เดี๋ยวเดือนหน้า เราจะไปทัศนศึกษากัน

เด็กๆ : เฮ! จะได้ไปเที่ยวแล้ว


ตอนสมัยยังเป็นเด็กๆ มีคำอยู่ 3 คำ ที่ผมรู้สึกว่ามันมีความหมายคล้ายกัน หรือเหมือนกันมาก นั่นก็คือคำว่า ทัศนศึกษา ทัศนาจร และไปเที่ยว เวลาครูพูดถึงทัศนศึกษา สำหรับเด็กๆ นั้นหมายถึง “ไปเที่ยว” หรือ ทัศนาจร นั่นเอง

ปีไหนโรงเรียนวนกลับไปจัดทัศนศึกษายังสถานที่ที่เราเคยไปกันแล้ว จึงมักมีเสียงบ่นโอดโอยกันยกใหญ่ จะไม่ให้บ่นได้อย่างไร ในเมื่อเด็กๆ รู้สึกว่าเคยไปเที่ยวมาแล้ว และจะไม่ให้นักเรียนรู้สึกว่าไปเที่ยวได้อย่างไร ในเมื่อโรงเรียนจำนวนมากไม่ให้ความสำคัญกับมิติการเรียนรู้ในการไปทัศนศึกษา จนคุณครูอาจคิดในใจว่า โรงเรียนลูกจะพาไปเที่ยวอีกแล้วก็เป็นได้

ก็เพราะการไปทัศนศึกษาของโรงเรียนจำนวนมาก ไม่ได้มีการเตรียมครูก่อนไป ไม่มีการเตรียมนักเรียนก่อนไป ว่าการเรียนรู้ที่พวกเขาควรจะได้รับคืออะไร ที่ๆ จะไปมีความหมายสลักสำคัญอย่างไร เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับบทเรียนไหนบ้าง ช่วงอยู่นอกสถานที่ ครูก็ไม่ค่อยได้ชวนนักเรียนสังเกต ซักถาม หรือสะท้อน อย่างมากก็แจกใบงานให้นักเรียนไปคัดลอกข้อมูลมาส่ง พอมีต้นฉบับ นักเรียนที่เหลือก็ลอกตามๆ กันไป ทำให้ไม่ค่อยได้ใช้ศักยภาพของการเรียนรู้นอกสถานที่ หรือสภาพปกติอย่างที่สามารถ และควรจะเป็น

ดูไปก็คล้ายกับกิจกรรมจิตอาสาที่หลังๆ พบเห็นกันมากขึ้น เด็กเยาวชนที่มุ่งมั่นมาช่วยเหลือคนอื่นอย่างจริงจัง มีวินัย ตั้งใจทำงานตามที่ผู้ดูแลกิจกรรมแนะนำนั้นก็มีอยู่ แต่ก็ยังพบว่ามีไม่น้อยที่มาแบบทัศนาจร คือทำนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ถ่ายรูป อัพสเตตัส แชร์บนเฟซบุ๊ค แถมขอลายเซ็นต์คนจัดเพื่อไปเอาคะแนนจากโรงเรียนเสียอีกด้วย

แต่เรื่องราวมันก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินไป และจบลงเช่นนี้ตลอดไปครับ

ธนาคารจิตอาสา เป็นโครงการที่รับ “ฝากเวลา” คือ เป็นสื่อกลางในการสร้างโอกาส ให้เราได้ใช้เวลามาช่วยเหลือกันในสังคม แสดงความตั้งใจที่จะทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น โดยจะช่วยแนะนำงานอาสาที่เหมาะกับเวลาว่าง ความสนใจ และความถนัดของเรา ซึ่งขณะนี้ กำลังจัดฝึกอบรมกระบวนกรจิตอาสา หรือพี่เลี้ยงอาสาสมัคร (Training of Trainers หรือ ToT) เพื่อผสานความรู้ในงานจิตวิวัฒน์ จิตตปัญญาศึกษา เข้ากับงานจิตอาสา เป็นการหนุนเสริมให้ผู้ดูแลและจัดกิจกรรมจิตอาสา เพิ่มมิติด้านการเรียนรู้เข้าไปในงานอาสา ทำให้เกิดความมั่นใจและมีทักษะในการใช้เครื่องมือการเรียนรู้ที่หลากหลายสำหรับจัดกระบวนการ รวมถึงการสะท้อน และการถอดบทเรียน

ผมมีโอกาสสัมผัสคอร์สอบรมนี้โดยตรง ทำให้เห็นโอกาสและศักยภาพที่เหล่าผู้ดูแลองค์กรอาสาสมัคร จะช่วยให้บรรดาจิตอาสาเกิดการพัฒนา ไม่ใช่แค่เรื่องความคิด วิเคราะห์ และทักษะทางกายเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง การรู้จักใจและเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง การยอมรับผู้อื่น และการลดละอัตตาของตนเอง เป็นการยกระดับจิตวิญญาณของทุกคนในกระบวนการ

ที่กล้าเอ่ยเช่นนี้ เพราะได้เห็นบุคลากรเหล่านี้เริ่มก้าวออกจากพื้นที่คุ้นชิน ไปสู่พื้นที่ท้าทายที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ เห็นพวกเขาสะท้อนตนเอง ให้การรับฟัง และสนับสนุนการสะท้อนบทเรียนของผู้อื่นแล้ว ก็ให้รู้สึกดีใจกับวงการจิตอาสาอยู่ไม่น้อย ที่จะมีกระบวนการทำให้อาสาสมัครเกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน (Transformation) ได้มากยิ่งขึ้น

ดีไม่ดี อาจส่งผลทางอ้อมทำให้กิจกรรมทัศนศึกษาเป็นกิจกรรมที่มีมิติ ความหมาย และเกิดการเรียนรู้ขึ้นบ้าง ก็เป็นได้

ไม่อายหมา



ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ

ฉบับวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๕

พุทธชยันตี วิสาขบูชาปี 2555 วันเฉลิมฉลอง 2,600 ปีแห่งการเข้าถึงความจริงของมนุษย์คนหนึ่ง ผู้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของชีวิตคนจำนวนหลายล้าน วันนั้นหลายคนหลายองค์กรได้ร่วมกันจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ในหลากสถานที่และหลายรูปแบบ ส่วนตัวผมนั้น ผมเลือกที่จะกลับไปหาครู ณ วัดป่าแห่งหนึ่ง

ครูผู้เป็นลูกศิษย์ของบรมครู เป็นบุคคลผู้ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นถึงสิ่งที่ถูกส่งทอดสืบต่อกันมานับเป็นพันปีตั้งแต่วันนั้น เป็นผู้ให้เรามากกว่าความรู้ ทั้งยังไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทนจากเรา

ในวันวิสาขบูชาปีนี้ ที่วัดไม่ได้จัดงานใหญ่หรือจัดอะไรเป็นพิเศษ ญาติโยมที่มางานก็มีจำนวนมากตามปรกติเหมือนวันพระใหญ่ทั่วไป ครูอยู่และเป็นอย่างเรียบง่าย และเหมือนเช่นทุกวัน เป็นสุดยอดตัวอย่างของความเสมอต้นเสมอปลาย อันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่เรียบง่าย แต่ใช่จะหาได้ง่ายๆ ในโลกทุกวันนี้

เรื่องที่ครูสอนก็เป็นเรื่องที่ท่านเน้นย้ำเสมอ เรื่องการมีสัจจะ พูดคำไหนคำนั้น “เอาแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็พอ” ท่านว่า

ระหว่างการเดินทางขากลับออกจากวัด ผมได้ฟังเรื่องเล่าจากรุ่นพี่ที่ผมนับถือ เขาเป็นศิษย์ใกล้ชิดของท่านมายาวนาน เขาเล่าว่า

“เมื่อไม่กี่ปีก่อน พี่มีโอกาสได้ตามไปอุปัฏฐากดูแลหลวงพ่อท่านเมื่อครั้งไปสังเวชนียสถานที่อินเดีย เมื่อไปถึงพุทธคยา สถานที่ต้นกำเนิดพุทธชยันตี คือใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ หลวงพ่อบอกว่าจะปฏิบัติภาวนาข้ามคืนจนถึงรุ่งเช้า พี่ก็เรียนท่านว่าจะอยู่ปฏิบัติด้วย แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็ทนไม่ไหว ถอดใจ และล่าถอยกลับไปพักที่โรงแรมตั้งแต่ตอนสองทุ่ม”

ครั้นเมื่อถึงเวลาเช้า หลวงพ่อท่านเปรยทักว่า

“อายหมามันบ่ เว้าแล่วเฮ็ดบ่ได้” (อายหมามันบ้างไหม พูดแล้วทำไม่ได้น่ะ)

พี่เขาไม่ได้บอกว่าตอนนั้นเขารู้สึกอย่างไรในใจ แต่เล่าว่าเขานั่งเงียบตลอดการเดินทางที่เหลือจนกระทั่งมาถึงเมืองไทย เมื่อส่งหลวงพ่อขึ้นรถไปแล้ว เขาก็จัดการซื้อตั๋วเครื่องบินกลับไปที่อินเดีย มุ่งหน้าไปยังพุทธคยาทันที

ในที่สุด การกลับมาคราวนี้พี่เขาก็ได้ปฏิบัติบูชา ด้วยการเดินภาวนารอบองค์พระเจดีย์ และต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นจำนวน 108 รอบจนสำเร็จ พี่เขายอมรับว่า แม้การเดินจากเย็นไปยันเช้าจะทำให้ปวดเมื่อยราวขาแทบหลุด แต่ในใจนั้นเป็นสุขอย่างยิ่ง

“ผมได้ทำหน้าที่เสร็จแล้วนะครับ” เขาโทรศัพท์ไปรายงานหลวงพ่อเมื่อกลับมา

แทนที่พี่เขาจะเล่าเรื่องต่อว่าท่านตอบหรือแนะนำอะไรกลับมา เขากลับพูดเน้นย้ำประโยคที่เป็นเหมือนสรุปบทเรียนล้ำค่าที่ได้จากครู เขาว่า “ท่านยิ่งตียิ่งว่าเรา เรายิ่งเข้าใกล้ท่าน ... ชีวิตผมที่รอดมาได้ และเป็นผู้เป็นคนอย่างทุกวันนี้ ก็เพราะท่านนี่แหละ”

ได้ยินแล้วก็ทำให้ปลาบปลื้มปิตินัก ผมชื่นชมยินดีที่พี่เขามีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้และต่อครูบาอาจารย์ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ช่างชัดเจนมากเหลือเกินว่าที่ท่านเรียกไปสอนก็เพราะว่าท่านมีเมตตา และท่านเห็นว่าเรา “สอนได้”

ชีวิตก็เช่นนี้ หลายครั้งหลายทีเราต้องการครูที่กล้าและทักเราตรงๆ ไม่เช่นนั้นเราอาจพลาดไม่พบบทเรียนสำคัญสำหรับตัวเราไป เพราะเรามัวแต่มีข้ออ้างให้กับกิเลสตนเอง อ้อ ไม่ใช่สิ เป็นเพราะกิเลสที่สิงในตัวเรา มันมีข้ออ้างเสมอน่ะ แล้วเราก็ไม่มีสติพอที่จะทันมัน ก็เลยตกเป็นทาสมันตลอด

เสียทีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ แต่ใช้ชีวิตอย่างน่าอายหมา แม้ว่าเราเองก็ไม่รู้ตัว

สั-ง-เ-ก-ต


ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕


ช่วงที่มีข่าวดังเกิดขึ้นที่ภูเก็ต ผมอยู่ที่นั่นพอดี เพราะได้รับเชิญไปร่วมบรรยายในพิธีเปิดการอบรมนิเวศวิทยาทางทะเลภาคฤดูร้อน โดยมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ร่วมกับสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทะเลและชายฝั่งภูเก็ต

เคยไปภูเก็ตหลายครั้ง บางคราวก็มีเรื่องตื่นเต้นเป็นพิเศษ ครั้งหนึ่งไปเที่ยวเกาะพีพีกับเพื่อน ขึ้นรถสองแถว รถแหกโค้งพลิกคว่ำหลายตลบ ดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย แค่เสื้อเป็นรูเล็กน้อย ยังจำหน้าโชเฟอร์คนขับที่เมาและมีตาข้างเดียวได้อยู่เลย

ส่วนรอบนี้ จากสถิติรายงานแผ่นดินไหว โดยกรมอุตุนิยมวิทยา ในช่วงระยะเวลาห้าวัน เกิดแผ่นดินไหวมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่นั่น 20 ครั้ง ซึ่งก็ดี เพราะทำให้ได้ใช้ชีวิตที่ช้าลง และละเอียดขึ้นในการสังเกต ทั้งสิ่งรอบตัวและสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ

จะว่าไปภูเก็ตก็เป็นสถานที่ที่ผมเองได้เคยมาฝึกเรื่องการสังเกตอย่างจริงๆ จังๆ และในคอร์สอบรมเดียวกันกับที่ไปบรรยายนี่แหละ แต่ก็เมื่อสองทศวรรษผ่านมาแล้ว

ครั้งนั้นได้เข้าร่วมในฐานะนักศึกษา แต่ละคนต้องทำงานวิจัยชิ้นเล็กๆ ผมเลือกศึกษาพฤติกรรมการกินปะการังของปลาในแนวปะการังเกาะภูเก็ต ต้องพาเรือลำน้อยไปลอยในทะเลอยู่หลายวัน ดำน้ำลงไปตีกรอบพื้นที่ศึกษาใต้ทะเล แล้วลงน้ำนับชนิดปลา จำนวนปลา และจำนวนครั้งเฉลี่ยที่ปลาแต่ละตัวกัดปะการัง ลมและแดดเดือนพฤษภาคมพัดและย่างเสียแห้งเกรียม อีกทั้งน่วมจากการต้องกระโดดลงน้ำและปีนขึ้นเรือวันละเป็นสิบรอบ แต่ก็สนุกและมีความสุขกับการทำวิจัยมาก เพราะวันหนึ่งๆ ได้ลงไปอยู่กับบรรดาหมู่ปลา และสังเกตพฤติกรรมของเขาอยู่นานสองนาน

เป็นเรื่องปรกติธรรมดาและสนุกสำหรับผมไปเสียแล้ว เพราะชอบนั่งสังเกตสิ่งมีชีวิตตั้งแต่เด็กๆ เช่น จำได้ว่าสมัยเรียนประถมห้า คุณครูวิภาส คุณครูประจำห้องวิทยาศาสตร์อนุญาตให้รับผิดชอบดูแลตู้ไฮดราของโรงเรียน ผมจึงชอบไปโรงเรียนแต่เช้า เพื่อสังเกตพวกเขาที่แตกหน่อ เกาะอยู่บนก้อนหินในตู้ ลำตัวเล็กๆ บางๆ เหมือนเส้นด้าย มีสีเขียวอ่อนจากสาหร่ายที่อยู่ภายใน หนวดเล็กๆ จำนวนมากที่บริเวณปากด้านบน โบกไหวไปมา จับไรแดงกิน ผมนั่งดูได้เป็นชั่วโมงๆ โดยไม่เบื่อ ทักษะสังเกตเหล่านี้เองกระมังที่อาจจะติดตัวมาด้วย อยู่เฉยๆ ก็มีอะไรให้สังเกตได้เรื่อยๆ

อันที่จริง ทักษะการสังเกตทางวิทยาศาสตร์นี้ หากนำมาปรับนิดหน่อยก็ใช้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์อื่นๆ ได้ ซึ่งการสังเกตนั้นต้องอาศัยความอดทน ตั้งใจ ใส่ใจ และเวลา สิ่งเหล่านี้เป็นคุณสมบัติสำคัญที่นำไปสู่ความเข้าใจ

แต่กระบวนการจิตตปัญญามีเป้าหมายที่จะทำความเข้าใจต่างกับวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ วิทยาศาสตร์ใช้เครื่องมือหลักคือตา (อาจบวกกับเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพตา) ส่วนทางจิตตปัญญาใช้ใจ

วิทยาศาสตร์ศึกษาโดยการสังเกตโลกภายนอกเป็นหลัก ส่วนจิตตปัญญาเน้นศึกษาโลกที่เกิดขึ้นภายในตัวผู้สังเกต

ส่วนผล วิทยาศาสตร์สร้างความรู้เกี่ยวกับโลกนอกตัวผู้สังเกต ในขณะที่จิตตปัญญาสร้างความรู้เกี่ยวกับโลกภายในตัวผู้สังเกต

สิ่งที่ให้สังเกตทางวิทยาศาสตร์นั้นมีเยอะแยะมากมายนับไม่ถ้วน มีเรื่องใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ ให้สังเกตได้ไม่หมด ในขณะที่จิตตปัญญานั้นมีสิ่งที่ให้สังเกตไม่มาก หลักๆ ก็คือ กายและใจของผู้เรียนนั่นแหละ ใครที่ลองสังเกตทั้งสองแบบแล้ว คงเห็นว่าต่างมีแง่มุมน่าสนใจของตน แต่ละคนคงต้องตอบคำถามเองแล้วว่า เราจะให้ความสำคัญ ให้เวลา ให้ความใส่ใจกับการสังเกตสิ่งใดมากกว่ากัน

ท่านผู้อ่านล่ะมีคำตอบแล้วหรือยังครับ?

มากกว่าคำถาม



ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๕

คนเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?

ชายชราชาวไต้หวัน 5 คน อายุเฉลี่ย 81 ปี แต่ละคนมีโรคประจำตัว ไม่ว่าจะเป็นโรค หัวใจ มะเร็ง ไขข้อ หรือหูตึง พวกเขานั่งอยู่รอบโต๊ะอาหาร หน้าอมทุกข์ บนเก้าอี้ตัวหนึ่งมีรูปงานศพของเพื่อนในกลุ่มตั้งอยู่ บรรยากาศบนโต๊ะดูเศร้าสร้อย หลายคนทำหน้าไม่อยากอาหาร สักพัก ชายคนหนึ่งทุบโต๊ะดังปัง! แล้วประกาศชวนเพื่อนๆ วัยไม้ใกล้ฝั่งว่า "พวกเราไปซิ่งมอเตอร์ไซค์กัน!"

พวกเขาใช้เวลา 6 เดือน สำหรับการเตรียมพร้อม ใช้เวลาอันสดใหม่ขี่มอเตอร์ไซค์รอบเกาะไต้หวันเป็นเวลา 13 วัน รวมระยะทาง 1,139 กิโลเมตร แม้ร่างกายปวดระบม เหน็ดเหนื่อย แต่ทุกคนกลับมีชีวิตชีวา เหมือนกับได้พลังชีวิตคืนมา พวกเขาเดินทางจากเหนือจรดใต้ ไปยังสถานที่ที่เคยไปเที่ยวอย่างมีความสุขด้วยกันเมื่อครั้งยังหนุ่มๆ ตอนท้ายพวกเขาไปยืนที่ชายหาดแห่งความทรงจำอันประทับใจที่เคยถ่ายรูปร่วมกัน แม้เพื่อนเก่าคนหนึ่งจะจากไปแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในใจทุกคน ภาพของเขาอยู่ในกรอบรูปที่เพื่อนยกชูขึ้นเหนือศีรษะ แสงสีทองของดวงอาทิตย์อาบใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา แต่ดวงตาทุกคนบ่งบอกถึงความเข้าใจบางอย่างถึงความหมายของชีวิต

นั่นเป็นส่วนหนึ่งของคลิปที่ผมเคยเอาไปฉายให้กับนักศึกษาปีหนึ่งดูก่อนที่พวกเราจะเริ่มเรียน

คลิปจบ จำได้ว่าเลือดสูบฉีดแรง ใจเต้นตุบๆ ขนลุกไปทั้งตัว เพราะตนเองรู้สึกร่วมไปกับนักศึกษาด้วย กับเนื้อหาและคำถามที่คลิปทิ้งเอาไว้ว่า What do people live for?
โดยไม่ได้คิดวางแผนไว้ก่อน ผมรู้ว่าตนเองต้องทำอะไรบางอย่าง ผมเดินไปที่กระดานดำ หยิบชอล์กสีขึ้นมาเขียน สัมผัสถึงน้ำหนักที่กดผ่านแท่งชอล์ก ความรู้สึกที่เห็นชอล์กที่สั้นลงพร้อมกระดานดำที่เกาะผงชอล์กเอาไว้เป็นเส้นตามที่ลากนั้น เตือนให้ตระหนักว่านี่เป็นครั้งแรกของเทอมที่ผมเขียนกระดานดำ ในยุคสมัยของสไลด์เพาเวอร์พอยต์และเครื่องฉายแผ่นทึบ (visualizer) แล้ว กระดานดูเหงาไปไม่น้อย แต่มันยิ่งขับเน้นประสบการณ์ อย่างน้อยก็ในตัวผม ที่ทำให้ความรู้สึกอะไรบางอย่างมันเกิดขึ้นที่มากไปกว่าคำถามที่กำลังจะถามพวกเขา แต่มันกำลังจะถามผมเองด้วย เช่นกัน

ผมค่อยๆ บรรจง ละเลียดเขียนอักษรทีละตัว

What do YOU live for?

นักศึกษาเกือบสามร้อยคนเงียบกริบ (ส่วนผมได้สัมผัสกับหัวใจเต้น ) เชื่อว่าจำนวนไม่น้อยกำลังใคร่ครวญอยู่กับตนเอง เห็นบางคนกำลังแอบซับน้ำตาอยู่ด้วย ผมถามบรรดาน้องๆ นักศึกษาว่า "แล้วพวกเราล่ะ มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?"

ผมให้เวลาพวกเขาอย่างเต็มที่เท่าที่ชั้นเรียนของเราจะให้ได้ ณ เวลานั้น ความเงียบและความจริงจังตั้งใจเป็นดั่งของขวัญล้ำค่าสำหรับความสัมพันธ์ของตัวเรากับคำถามที่สำคัญที่สุดในชีวิต

ชั้นเรียนนี้จะเป็นแค่อีกชั้นเรียนที่ให้ความรู้เรื่องเนื้อหาวิทยาศาสตร์ก็ได้ แต่เราฉกฉวยวันเวลาแห่งโอกาสนี้ไว้ ปล่อยหัวใจให้สัมผัสกับคำถามที่ผุดบังเกิดขึ้นภายใน ถามใจว่าอะไรคือสิ่งสำคัญของชีวิต แล้ว ... เราเรียนไปเพื่ออะไร?

จบชั้นเรียน นักศึกษาจำนวนมากเขียนมาบอกว่าวันนั้นเป็นวันที่พิเศษ จบเทอมการศึกษาหลายคนก็ยังสะท้อนบอกว่าไม่กี่นาทีในคาบนั้นเป็นชั่วขณะที่มีความหมายสำหรับชีวิตเขา

และนั่นก็ช่วยยืนยันสิ่งที่ผมตระหนักรับรู้อยู่ในใจ ว่ามันมีบางสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างยิ่งได้เคยเกิดขึ้นในชั้นเรียนของเรา

ปัญญาจาริก




ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๕

มาสิมาล้อมวง เรามานั่งลงใกล้ๆกันไว้

เธออย่าเพิ่งไปไหน มีอะไรจะเล่าให้ฟัง"

นักศึกษาหนุ่มในชั้นเรียนร้องเพลงของ ศุ บุญเลี้ยง ด้วยเสียงนุ่มๆ แต่โอดครวญ เพื่อนและทีมอาจารย์ผู้สอนนั่งฟังอย่างตั้งใจ

ทุกคนใช้สัปดาห์สุดท้ายของการเรียน แลกเปลี่ยน เพื่อสรุป สะท้อน ประเมินการเรียนรู้ของกลุ่มร่วมกัน ในวิชาสิ่งแวดล้อมศึกษา: ทฤษฎีและปฏิบัติ ของคณะวิทยาศาสตร์ มหิดล

เนื้อหาของวิชา ถูกนำมาศึกษาผ่านการฝึกฝนที่หลากหลาย เช่น สุนทรียสนทนา (Dialogue) การเช็คอิน-เช็คเอาท์ การภาวนา การอยู่วิเวกคนเดียวในสภาพธรรมชาติ การอ่านและวิจารณ์หนังสือที่เปิดโลกทัศน์ การเขียนบันทึก (Journal) รวมไปถึงการเรียนรู้จากตัวอย่างนักคิดนักปฏิบัติตัวจริงเสียงจริง ที่มีความสุขจากการทำงานที่มีความหมาย มีปัญญา มีจิตกว้างขวาง ไม่คับแคบ

วันนี้พวกเราใช้กระบวนการ จิตตศิลป์ (Contemplative Arts) ในการประเมิน เพื่อให้สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์และญาณทัศนะในการมองชั้นเรียนและชีวิตอย่างเป็นองค์รวม ใช้สมองซีกขวาควบคู่ไปกับสมองซีกซ้ายที่มหาวิทยาลัยฝึกให้ใช้จนเชี่ยวชาญ ในการคิดวิเคราะห์ อย่างเป็นเหตุเป็นผล อย่างเป็นวิทยาศาสตร์

เทคนิคการวาดภาพ Scribble ถูกนำมาใช้ ให้ทุกคนสร้างสรรค์งานสื่อถึงความเข้าใจใหม่ที่เกิดขึ้นในตัวเอง บอกเล่าการเรียนรู้หรือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่เกิดขึ้นกับตนเอง ผลที่ได้มหัศจรรย์ ศิลปะกว่ายี่สิบผลงานล้วนไปพ้นจากภูเขาสองลูกและพระอาทิตย์หนึ่งดวงที่ครอบเรามาเกือบยี่สิบปี พร้อมทำลายอคติเดิมๆ ที่หลายคนบอกกับตนเองว่า "โอ๊ย เราวาดรูปไม่เป็นหรอก"

แม้บางรูป อารมณ์หรือโทน อาจจะคล้ายกัน ทว่าแต่ละชิ้นดูแตกต่าง ดูมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ที่สำคัญ คือ งดงามในตัวมันเอง มันชัดเจนว่า "สวยทุกรูป" บอกไม่ได้เลยว่าชิ้นไหนสวยกว่ากัน

นี่เองกระมัง เลยทำให้นักศึกษาชายคนหนึ่งขออนุญาตร้องเพลง ที่เขารู้สึกอิน รู้สึกว่าใช่ ต้องแบ่งปัน ณ เวลานั้น บทเพลงเล่าถึงดาวดวงหนึ่งที่รู้สึกว่าตนเองไม่สวย ถูกกลั่นแกล้งโดยดาวที่สวยกว่าดวงอื่นจนอับอาย จึงละทิ้งท้องฟ้ามาอยู่ในท้องทะเล พบว่าปลาแต่ละตัวหน้าตาแตกต่างกันไป จึงกลายเป็นปลาดาวที่มีความสุขในที่สุด และลงท้ายว่า แม้เราจะแตกต่างจากคนอื่น อย่ากลัวว่าจะไม่เหมือนใคร แค่ให้เราเป็นตัวของเราเองก็พอ

เสียงเพลงและงานศิลปะที่งดงาม ช่วยเปิดและชี้ประเด็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกิดขึ้น คือ การรู้จักตนเอง ที่นำไปสู่ความจริงใจ การยอมรับ และการโอบอุ้มดูแลทุกคนในชั้นเรียน

พวกเขาได้พูดสิ่งที่ผมอ่านในบันทึกของพวกเขาทุกสัปดาห์ คือ ความรู้สึกว่าตนเองแปลก ต้องพยายามให้เป็นที่ยอมรับ รู้สึกว่าชีวิตนั้นยาก และบ่อยครั้งก็โดดเดี่ยว ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครเข้าใจ แต่พวกเขาก็ได้แต่เก็บความรู้สึกเช่นนี้ไว้คนเดียว แบบว่า "นึกว่าเราเป็นคนเดียว"

มาในชั้นเรียนนี้ ทุกคนฝึกที่จะฟังอย่างลึกซึ้ง ให้ความเคารพ ห้อยแขวนการตัดสิน ฝึกที่จะเปิดเผยตนเอง อย่างสด เปลือย เปราะบาง และชื่นชมความเงียบ สิ่งที่พวกเขาได้รับเองโดยไม่ผ่านการบรรยาย ก็คือมิตรภาพ คือความเข้าใจกัน ต่างบอกว่ารู้จักและสนิทสนมกันมากกว่าที่อยู่กันมาสามปีเสียอีก

ตอนท้าย พวกเราตั้งชื่อให้กับการเดินทางของตนเอง นักศึกษาชายหนุ่มที่สุภาพ เรียบร้อย พูดน้อยที่สุดของชั้นเรียน เลือกวลีที่ไพเราะมาก The Pilgrimage of Life เป็นการจาริกของชีวิต ไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เราสร้างขึ้นมาร่วมกัน เพื่อเติบโตและค้นหาตนเอง


ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๕

ตัวเลขดิจิตอลบนหน้าปัทม์นาฬิกาบอกเวลาหกโมงเย็น แม้ชั้นเรียนจะเริ่มมาบ่ายโมงครึ่งและเลยเวลาเลิกเรียนไปแล้วพักหนึ่ง ผมก็ยังวางใจ เพราะนักศึกษาที่มีธุระข้างนอกก็ได้พูด "เช็คเอาท์" (check out) และขอตัวกลับไปก่อน ที่ยังเหลืออยู่ ก็ดูเต็มใจและอยู่ด้วยกันอย่างร้อยเปอร์เซนต์

เช็คเอาท์เป็นช่วงเวลาตอนท้ายที่ทุกคนได้มีโอกาสพูดแบ่งปัน สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในคลาสวันนั้น อาจจะบอกเล่าความประทับใจ การเรียนรู้ที่เขารู้สึกว่าสำคัญหรือโดนที่สุด หรือบอกเล่าความสุขความทุกข์ สิ่งที่อยู่ในใจของชีวิตช่วงนั้น หรือจะเป็นอะไรก็ได้ ขณะเช็คเอาท์เราอยู่ด้วยกันจริงๆ ให้ความสำคัญกับแต่ละคนและทุกๆ คนที่อยู่ตรงหน้า ณ พื้นที่นั้น การได้ยินกันและกันสำคัญเหนือทุกสิ่ง

ปรกติแล้วสำหรับคลาสที่มีนักศึกษา 15 คนบวกทีมผู้สอน เราใช้เวลาเช็คเอาท์กันประมาณครึ่งชั่วโมง เราจึงใช้เวลาในคลาสสี่ชั่วโมง สำหรับวิชาสามหน่วยกิต ถึงแม้ได้หน่วยกิตน้อยกว่าวิชาอื่นๆ ที่ใช้เวลาเท่ากัน แต่ก็ยังมีนักศึกษาเลือกลง อาจเป็นเพราะผู้เรียนเชื่อว่าจะได้อะไรมากกว่าหน่วยกิต อาจเป็นเพราะเขาเชื่อว่าจะได้ฝึกรู้จักกัน ได้ฟังกันจริงๆ ในวิชานี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเช็คเอาท์ในสัปดาห์นี้ นักศึกษากำลังมีความตึงเครียดจากการเตรียมงานค่ายที่สำคัญ เป็นงานใหญ่ที่พวกเขาทั้งรุ่นจะได้รับผิดชอบเป็นหลักร่วมกันเป็นงานสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แต่งานนี้ก็ทำให้เพื่อนหลายคนบาดเจ็บ จากความความต้องการให้งานออกมาดี และทั้งจากความปรารถนาดีที่มีให้กัน เพียงแต่ยังพร่องทักษะการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารในที่ประชุม

ช่วงเช็คเอาท์ จึงกลายเป็นพื้นสำหรับโอกาสในการเรียนรู้และทำความเข้าใจกัน แม้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นบทสนทนาเพื่อดูแลความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องและยาวนาน แต่ก็งดงามที่ได้ริเริ่ม

การใช้ชีวิต การทำงานร่วมกันนั้น ไม่ได้ง่ายเสมอไป เรื่องราวที่เล่าในเช็คเอาท์จึงทำให้สั่นไหว ถึงกับร้องไห้หลายคน

ในพื้นที่ของสุนทรียสนทนา (Dialogue) ทุกคนฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง ห้อยแขวนการตัดสิน เคารพในการเข้าถึงไม่หมด พูดอย่างสด-เปลือย-เปราะบาง และชื่นชมวัฒนธรรมความเงียบ พวกเขาได้แบ่งปันเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากมุมมองของตนเอง เขาได้กล้าและไว้วางใจที่บอกกันตรงๆ และจริงๆ เพราะต่างรู้ว่าทุกคนกำลังพยายามที่จะได้ยินกันจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ฟังแต่ไม่ได้ยิน (hearing but not listening)

หลังจากได้ยินพูดกันเกือบครบรอบวง นักศึกษาคนหนึ่งแบ่งปันว่า เขาประทับใจมากที่ทุกคนรวมถึงอาจารย์ใส่ใจ ให้เวลาในการดูแลกันและกัน

"ขอเช็คเอาท์เพิ่มอีกหน่อย คือ ผมอยากจะพูดจากความรู้สึก ต่อจากเมื่อกี๊น่ะครับ คือ สามปีที่เรียนผ่านมาเนี่ย วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมสามารถเรียกมหิดลว่า 'บ้าน' ได้ รู้สึกว่าอบอุ่นมาก มันอบอุ่นและเชื่อได้อย่างหมดใจว่านี่คือบ้านของผม อันนี้มันมาจากความรู้สึกจริงๆ ครับ อยากจะขอบคุณอาจารย์มาก ขอบคุณครับ"

เขากล่าวจบพร้อมกับยกมือไหว้ เป็นการไหว้ที่ผมจะจำไปตลอด ตอนนั้นทั้งขนลุก ทั้งน้ำตาซึม

วันที่น่าประทับใจที่สุดวันหนึ่งของความเป็นคนและความเป็นครู วันที่รุ่นน้องของเรา เรียกสถาบันการศึกษาของเขาและของพวกเราว่า "บ้าน" … จะไม่ให้เราเรียกวันนี้ว่าเป็นวันที่น่าประทับใจที่สุดได้อย่างไร ในชีวิตความเป็นครูมหาวิทยาลัยจะเกิดขึ้นกับกี่คนและกี่ครั้งกัน

ขณะเดินออกจากมหาวิทยาลัย คำพูดนักศึกษายังก้องอยู่ในโสตประสาท

หรือว่ามหาวิทยาลัยมีความเป็นบ้าน เมื่อผู้คนข้างในเรียนรู้ที่จะฟังกันอย่างใส่ใจ ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และความเข้าใจ ก่อนจะพยายามไปแก้ไขปัญหา

สวีทตี้ วาเลนไทน์
















ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕

จู่ๆ แสงไฟฟลูออเรสเซนต์ในห้องบรรยายขนาดใหญ่ของมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านศาลายาก็พลันดับลง อาจารย์ผู้สอนหันไปมองเลิ่กลั่ก สีหน้าดูแปลกใจนิดๆ ที่ไฟฟ้าดับทั้งที่ฝนก็ไม่ได้ตก สักพักไฟดาวน์ไลท์สีเหลืองนวลหลายดวงค่อยสว่างขึ้นทีละน้อย พร้อมกับเสียงร้องเพลงของนักศึกษาคนหนึ่งดังขึ้นเป็นต้นเสียง ตามมาด้วยนักศึกษากว่าสามร้อยคนต่างร่วมกันร้องเพลง "คนไม่เอาถ่าน" และ "ขอบคุณที่รักกัน"

เมื่อเพลงจบลง ตัวแทนนักศึกษาบอกว่าในวันวาเลนไทน์นี้นอกเหนือจากความรักระหว่างคู่รัก ยังมีความรักความผูกพันระหว่างคณะลูกศิษย์กับอาจารย์อีกด้วย นอกจากของขวัญแล้ว พวกเขาจึงขอมอบเพลงนี้และความมุ่งมั่นว่าจะทำให้ดีที่สุด ให้แด่อาจารย์ผู้สอน ตอบแทนความรัก ความเอาใจใส่ และการดูแลตลอดเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา เสียงคนพูดสั่นเครือ ด้วยกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เหนี่ยวนำให้เพื่อนๆ อีกหลายคนร้องไห้ไปด้วย พวกเขาอาจไม่รู้ว่าอาจารย์ผู้อยู่ด้านหน้าห้องก็กำลังเสียน้ำตาด้วยเหมือนกัน

อาจจะไม่เป็นเรื่องแปลกอะไรที่นักศึกษามอบของขวัญเนื่องในวันพิเศษให้แก่ครู แต่ห้องเรียนนี้เป็นห้องเรียนธรรมดาๆ ที่ไม่ธรรมดา

ในบรรยากาศที่เร่งรีบและบางทีก็สับสนของมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ พวกเขาร่วมกันสร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น ห้องเรียนนี้ที่มีอาจารย์สองท่านร่วมกันสอน คนหนึ่งถือไมค์เดินไปรอบๆ บรรยายและยกตัวอย่างให้เข้าใจ อีกคนหนึ่งนั่งเขียนอยู่ที่เครื่อง visualizer คอยบันทึกความรู้ จับประเด็นสำคัญ ให้นักศึกษาได้มีอะไรจด

ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่อาจารย์สองท่านจำชื่อเล่นนักศึกษาร่วมสามร้อยคนได้เกือบหมด พวกเขาทำการบ้านมาอย่างดี นั่งท่องชื่อนักศึกษา ตามไปรู้จักแต่ละคนในห้องปฏิบัติการที่นักศึกษาแยกเป็นกลุ่มย่อยๆ พยายามตามถ่ายรูปนักศึกษาที่รูปติดบัตรที่มีอยู่ในระบบกับตัวจริงไม่ค่อยเหมือนกัน พวกเขารู้เอง โดยไม่ต้องอ่านทฤษฎีใดๆ ว่านักศึกษาจะตั้งใจเรียน จะเข้าใจและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับวิชา หากว่าผู้เรียนกับผู้สอนมีใจที่เชื่อมโยงกัน

พวกเขาเลือกให้ความสำคัญกับการปลูกฝังความรักและความเข้าใจในวิชาฟิสิกส์ ที่นักศึกษาส่วนใหญ่จะได้เรียนเป็นปีสุดท้ายแล้ว (เพราะส่วนใหญ่แยกย้ายไปเรียนต่อในภาควิชาอื่น) มากกว่าจะพยายามอัดเนื้อหาให้ได้มากที่สุดในเวลาที่จำกัด (ตามนโยบายของรัฐ)

ผมได้ลองเก็บข้อมูลง่ายๆ อย่างไม่เป็นระบบนัก ผ่านการคุยกับนักศึกษาทุกชั้นปีจำนวนหนึ่ง เกือบทุกคนบอกว่าประทับใจอาจารย์สองท่านนี้มากที่สุดในคณะ สาเหตุที่พวกเขารักและเข้าใจวิชาฟิสิกส์มากขึ้นมาก ก็เพราะอาจารย์สองท่านนี้ แถมยังบอกว่า อาจารย์ทั้งสองเป็นคนที่มีความหมายต่อชีวิตอย่างยิ่ง ช่วยทำให้ชีวิตในปีแรกในรั้วมหาวิทยาลัย ที่นักศึกษาส่วนใหญ่ต้องออกจากบ้านมาอยู่หอ ทั้งเรียนหนักและกิจกรรมเยอะ เป็นชีวิตที่มีทั้งความสุข ความสนุก และความหวัง

เด็กๆ ทุกคนของเรา ไม่ว่าจะเรียนในชั้นประถม มัธยม หรืออุดมศึกษา พวกเขาน่าจะได้พบโอกาสพัฒนาจิตวิญญาณอิสระ ความคิดสร้างสรรค์ และความสนใจใฝ่รู้ มากกว่าที่เป็นอยู่นี้ หากว่าอาจารย์ผู้สอนไม่ได้แค่บรรยายและทำตามๆ กันไป ... ใช่ไหม? :-)















ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕

หญิงสูงอายุวัยหลังเกษียณคนหนึ่งที่ผมรู้จักดี เธอทำงานโดยไม่ได้สนใจเรื่องความลำบากหรือความสบาย คำชมหรือคำขอบคุณ แต่ประการใด เธอทำกิจวัตรประจำวันด้วยความใส่ใจอย่างให้คุณค่าและความหมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำกับข้าว ซักผ้า ถูบ้าน ไหว้พระสวดมนต์ ออกกำลังกายว่ายน้ำ แม้กระทั่งการได้กินอาหารธรรมดาๆ หรือการอยู่บ้านเฉยๆ ความสัมพันธ์ของเธอกับคนอื่นๆ รอบข้างก็นำมาซึ่งความผ่อนคลายสบายใจ บ่อยครั้งผมชวนเธอไปเที่ยวหรือทานอาหารข้างนอก เธอก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร

อะไรนะที่ทำให้เธอช่างแตกต่างจากคนอื่นๆ คนเมืองจำนวนไม่น้อยบางวันขับรถมาถึงที่ทำงานตอนเช้าโดยจำไม่ได้เลยว่าวันนี้รถคันข้างหน้าเป็นรถยี่ห้ออะไรสีอะไรบ้าง ขณะที่เพิ่งทานอาหารเบื้องหน้าเสร็จ พลันสงสัยว่า เอ๊ะมื้อนี้กินอะไรลงไป รสชาติเป็นอย่างไรบ้างนะ ลืมตั้งใจดูตอนกิน ตอนเย็นกลับถึงบ้าน พอจำได้ลางๆ ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เหลือบดูปฏิทิน อ้าว นี่เดือนกุมภาแล้วหรือ เหมือนเพิ่งสิ้นปีไปหยกๆ โลกทั้งโลกเหมือนผ่านไปไวๆ แว้บๆ ที่ให้ได้รอลุ้นว่าจะมาเมื่อไหร่ ก็คือโบนัส วันหยุดยาว และเทศกาลลดกระหน่ำของห้างต่างๆ

ชีวิตแบบหลังนี้เปรียบเป็นรถก็เหมือนขับด้วยเกียร์ออโต้ แถมด้วยระบบครูซคอนโทรล ตั้งความเร็วปุ๊บ รถเคลื่อนด้วยความเร็วคงที่เสร็จสรรพไม่ต้องแม้ขยับเหยียบคันเร่ง แค่คอยหักหลบซ้ายหลบขวานิดๆ หน่อยๆ ก็พอไปได้ ด้านหนึ่งก็ดูเหมือนง่ายดี ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดมากมาย แต่อีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนอะไรๆ มันผ่านไปแบบเบลอๆ ดูไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่ แถมติดๆ ขัดๆ งงๆ ว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตที่เหมือนจะดูดี แต่ก็บ่อยครั้งที่ดูโหวงๆ เราเรียกชีวิตแบบนี้ว่าอยู่ในโหมด Automatic หรือ "อัตโนมัติที่หลับไหล" (แปลโดย วิศิษฐ์ วังวิญญู) คือไปเรื่อยๆ แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ในขณะที่ตัวอย่างต้นเรื่อง เป็นชีวิตที่อยู่ในโหมด Autotelic หรือ "อัตโนมัติที่ตื่นรู้"

ความแตกต่างระหว่างสองกลุ่มนี้คือ กลุ่มอัตโนมัติที่ตื่นรู้เป็นกลุ่มที่มีเป้าหมายของชีวิตอยู่ภายในที่ไม่ได้แยกออกจากตนเอง (รากศัพท์ภาษากรีก Autotelic คือ ตนเอง + เป้าหมาย) แม้ว่าเขาอาจจะพูดออกมาเป็นภาษาสวยหรูไม่ได้ก็ตาม

มีไฮ ชีคเซนทมิไฮอี ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา ชาวฮังกาเรียน ผู้เชี่ยวชาญด้านความสุขและความคิดสร้างสรรค์ ระบุว่ากลุ่มอัตโนมัติเป็นคนที่ตื่นรู้มีแรงขับเคลื่อนจากภายในจะแสดงออกถึงการมีเป้าหมายและความสนใจใคร่รู้ในตนเอง ตรงกันข้ามกับกลุ่มที่ใช้แรงขับเคลื่อนจากภายนอก จะอาศัยความสะดวกสบาย ทรัพย์สมบัติ อำนาจ และชื่อเสียงเป็นแรงจูงใจ

ที่กลุ่มอัตโนมัติที่ตื่นรู้จะไม่ค่อยต้องการทรัพย์สมบัติสิ่งของ ความบันเทิง ความสะดวกสบาย ชื่อเสียงอำนาจ ก็เพราะชีวิตที่พวกเขาได้ใช้ สิ่งที่พวกเขาได้ทำมันเหมือนให้รางวัลในแต่ละวันอยู่แล้ว พวกเขาจะเข้าถึงสภาวะ "ความลื่นไหล" (Flow) คือสภาวะทางจิตในคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องในกิจกรรมหนึ่งๆ ด้วยความตั้งใจ โฟกัสอย่างมีพลัง และประสบความสำเร็จในกระบวนการของกิจกรรมนั้น และนี่คือแนวคิดสำคัญของจิตวิทยาเชิงบวกนั่นเอง

สภาวะ "ความลื่นไหล" และ "ความพ้องจองซึ่งกันและกัน" (synchronicity) มีความใกล้ชิดเชื่อมโยงกันอย่างยิ่ง มีผู้ศึกษาวิจัยและเสนอเทคนิคมากมายที่จะดึงเอาศักยภาพของสภาวะทั้งสองมาใช้ประโยชน์ ในการทำงานและการใช้ชีวิต

เรื่องขำๆ ก็คือ หากผมไปแนะนำหญิงสูงอายุต้นเรื่อง เธออาจบอกว่า "พูดอะไรไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวไปทำกับข้าวก่อนนะ"

แค่บังเอิญ?














ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕

ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยฝัน หรือฝันก็จำไม่ค่อยได้ แต่มีคืนหนึ่งเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ฝันชัดเจนมาก ว่าตกอยู่ในอันตรายกับพี่สาวคนโต เราวิ่งหนีคนร้ายอยู่ในสวนมืดๆ คล้ายในยุโรปยุคกลาง ขณะที่เธอกำลังจะถูกรุมทำร้าย ผมก็ตกใจตื่นขึ้นมา หายใจหอบแฮ่กๆ เหงื่อโทรมกาย นึกสงสัยว่าอะไรหนอ ทำไมฝันมันเด่นชัดแบบนี้ ยังจำรายละเอียดของประตู แนวพุ่มไม้ คูเมือง และอื่นๆ ได้อยู่เลย

เมื่อเปิดคอมพิวเตอร์ เช็คอีเมล พบว่ามีรุ่นน้องที่ทำปริญญาเอกอยู่ต่างประเทศด้วยกัน บอกว่ามีเครื่องบินการบินไทยตกที่ภาคใต้ เขาเห็นในรายชื่อผู้โดยสารมีนามสกุลผมอยู่ด้วย ผมขนลุกเสียวสันหลังวาบ รีบโทรกลับมาเช็คข่าวที่เมืองไทย ... ปรากฏว่าใช่เลย พี่สาวคนดีของผมเสียชีวิตแล้ว

ปรากฏการณ์นี้คืออะไร? จริงหรือว่าแค่ความบังเอิญ?

เราเคยนึกถึงใครบางคนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดถึงไหม แต่แล้วจู่ๆ เขาคนนั้นก็โทรศัพท์มาหา มันอาจเรียกง่ายๆ ว่าเป็น “เรื่องบังเอิญ” แต่ลึกๆ เราก็รู้ว่าไม่ใช่แค่ความบังเอิญแน่ๆ

ปรากฏการณ์เช่นนี้มีอยู่และได้รับการรับรองในโลกของชนเผ่าพื้นเมือง ภูมิปัญญาชาวบ้าน หรือศาสนาความเชื่ออันหลากหลายมานานแล้ว หลายวัฒนธรรมก็มีพิธีกรรมอันสืบเนื่องเกี่ยวโยงกัน กระทั่งได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้

สำหรับวิทยาศาสตร์แล้ว นี่มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือเหลวไหล ถึงแม้ในอดีตจะมี คาร์ล ยุง (Carl Jung) แพทย์และนักจิตวิทยา เคยพยายามอธิบายมันอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ บอกว่าโลกและจักรวาลนี้มีกฎอื่นๆ นอกเหนือจากที่มนุษย์เข้าใจกันทั่วไป

แต่เมื่อปีกลายนี้เอง วงการวิทยาศาสตร์อาจต้องทบทวนใหม่ เพราะมีการค้นพบทางฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบห้าสิบปี นั่นคือ พบว่ามีอนุภาคที่มีความเร็วมากกว่าแสง!

เจ้าอนุภาคนิวตริโน (neutrino) นี้มีการค้นพบมานานแล้ว มีขนาดเล็กมาก เบาหวิวจนแทบไม่มีมวลอยู่เลย มีความเป็นกลางทางกระแสไฟฟ้าจึงเดินทางโดยไม่ได้รับผลกระทบจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า นักวิทยาศาสตร์ในยุโรปเพิ่งจะวัดความเร็วได้ พบว่าเร็วกว่าแสงที่เดินทางด้วยความเร็ว 299,792,458 เมตรต่อวินาที ใช่ครับ สามพันล้านเมตรต่อวินาที แต่นิวตริโนนี้เร็วกว่าแสงอีก เร็วขนาดที่ “มันไปถึงที่หมายก่อนที่จะออกจากจุดตั้งต้น” เสียอีก

ฟังแล้วงงๆ ใช่ไหมครับ ไปถึงที่หมายก่อนออกจากจุดตั้งต้น?

นั่นเพราะนิวตริโน อาจไม่ได้เดินทางเป็นเส้นตรงในโลกสี่มิติของเรา (กว้าง ยาว ลึก เวลา) แต่ผ่านมิติที่มากกว่านั้น (จะติดเบอร์ว่ามิติที่ห้า หรือเลขอะไรก็แล้วแต่) จึงไม่ต้องเดินทางจากวินาทีที่หนึ่ง ไปยังวินาทีที่สองและสามตามลำดับ

การที่อนุภาคหนึ่งหายแว้บจากปัจจุบันไปโผล่ในอีกเวลาหนึ่งที่ไม่ได้ต่อเนื่องกัน มันเปิดความเป็นไปได้สู่การเดินทางท่องเวลา จากปัจจุบันไปอดีต หรือไปอนาคต (แต่ยังไม่ต้องรีบซื้อตั๋วจองที่นั่งไทม์แมชชีนนะครับ คงอีกนานมาก)

นักฟิสิกส์ทฤษฎีบอกว่าการค้นพบนี้เป็นเสมือนประตูไปสู่บางสิ่งที่พื้นฐานและลึกซึ้งที่เรายังไม่เข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติ

และนี่อาจเป็นหนึ่งในรูปธรรม หลักฐาน หรือคำอธิบายของปรากฏการณ์ “ความพ้องจองซึ่งกันและกัน” (synchronicity) ดังตัวอย่างเหตุการณ์ที่ยกมาข้างต้น ที่อนุภาค (ซึ่งก็คือคลื่นและ/หรือข้อมูลนั่นเอง) สามารถเดินทางในมิติอื่นนอกเหนือจากสี่มิติที่เรารับรู้ตามปรกติ

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปิดใจ ไม่ยึดติดแค่ในระบบคิดแบบเดิม และเปิดศักยภาพของการเรียนรู้ให้พ้นจากกรอบเก่าๆ นี้เสียที













ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕

ตัวเลขบางตัวมีความหมายในเชิงสังคมวัฒนธรรมที่สำคัญในตัวมันเอง เช่น หากพูดว่า “พร้อมรับปีใหม่” ขึ้นมาในวงสนทนา ผู้ร่วมวงก็อาจรู้สึกเฉยๆ แต่ถ้าพูดว่า “พร้อมรับปีใหม่ 2012” คาดว่าบางคนอาจ “จิ้น” (อิมเมจิ้น-จินตนาการ) ไปได้ไกลใช่ไหมครับ

วันขึ้นปีใหมที่ผ่านมา ผมได้เชิญชวนให้ลองตั้งปณิธานปีใหม่ New Year’s resolution พร้อมเสนอปณิธานร่วมสมัยต้อนรับปี 2012 ว่า “จะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับภัยพิบัติ” กันอย่างไรดี ซึ่งการเตรียมพร้อมกายหรือทางโลกนั้นได้ลองแบ่งปันไปแล้ว ลองมาดูทางใจกันบ้าง

การเตรียมความพร้อมทางใจ ถ้าพูดแบบเข้าเป้าตรงประเด็นเลย ก็คือ การเตรียมตัวยอมรับความตาย นั่นเองครับ (บอกแบบนี้ก็ใช่ว่าปี 2012 นี้เราจะต้องตายกันยกโขยงพร้อมกันเสมอไปนะครับ เท่าที่ทราบตอนนี้ก็ยังไม่มีใครที่มีข้อมูลที่ยืนยันได้ 100%)

การเตรียมตัวตายเป็นการเตรียมตัวที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์เลยทีเดียว และไม่ใช่เฉพาะสำหรับรับภัยพิบัติเท่านั้น เป็นสิ่งที่ผู้รู้จำนวนมากกล่าวสรรเสริญเอาไว้ ทางพุทธศาสนามีคัมภีร์เขียนกันไว้มากถึงแนวคิดและวิธีปฏิบัติมรณานุสติ ซึ่งเป็นการเจริญสติที่เชื่อว่าเหมาะสมทันยุคทันสมัย 2012 อย่างยิ่ง
มรณานุสติมิได้หมายถึงการครุ่นคิดหดหู่ไม่เป็นทำอะไร แต่เป็นการระลึกนึกถึงความตายว่าเป็นของธรรมดา ซึ่งหากพิจารณาบ่อยๆ จะทำให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งคือทำให้เป็นคนไม่ประมาท

ยิ่งหากเป็นคนที่เชื่อเรื่องชาตินี้ชาติหน้า ก็จะไม่หลงระเริงเล่นสนุก หรือเอาแต่ทำงานโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัว แต่จะเร่งทำความดี เพื่อเป็นทุนรอนต่อไปภพหน้า
ถึงแม้จะไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด การเตรียมตัวตายก็ยังมีประโยชน์ ดังที่พระไพศาล วิสาโล เคยกล่าวไว้ว่า หากเรารู้ว่าเราอยากจะตายอย่างไร เราก็จะรู้ว่าเราต้องอยู่อย่างไร เพราะถ้าจะรอไปเตรียมช่วงภัยพิบัติมาก็มีแนวโน้มว่าจะไม่ทัน

คนที่มีชีวิตอยู่ด้วยความหงุดหงิด โกรธเกรี้ยวโมโหง่าย ก็มีแนวโน้มว่าจะจากไปพร้อมๆ กับความคับข้องเห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด การมีโทสะเป็นเจ้าเรือน ย่อมร้อนเนื้อร้อนใจไม่ว่าจะอยู่หรือจะไป

คนที่มีชีวิตอยู่อย่างยึดติด ห่วงนู่นห่วงนี่ ห่วงบ้าน ห่วงรถ ห่วงเงินทอง ห่วงหน้าตา ห่วงชื่อเสียง ห่วงลูก ห่วงพ่อแม่ ก็มักต้องตายพร้อมกับภาระในใจ หนักเท่าใดก็ตามจำนวนห่วงที่แบกอยู่ทุกวัน

คนที่ไปดี ไปอย่างสงบ ไม่ใช่เพราะเตรียมตัวพร้อม หากแต่ด้วยเพราะเตรียมใจพร้อม

ยิ่งเรายอมรับความตายได้เร็วเท่าใด เรายิ่งมีโอกาสที่จะเลือกใช้ชีวิตทุกชั่วขณะอย่างมีคุณค่า เราจะเลิกดิ้นรน เลิกเตรียมการมากมาย (เกินไป) เพื่อต่อสู้ยื้อยุดเพื่อให้ไม่ตาย แต่จะกลับมาใส่ใจกับการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายในทุกๆ วัน และในทุกๆ ลมหายใจ

เพราะนี่คือโอกาสกลับไปดูแลความสัมพันธ์กับคนที่เราให้ความสำคัญ คนที่รักเรา คนที่เรารัก และผู้คนอื่นๆ รอบตัวเรา ในทางกลับกัน ความสัมพันธ์ที่ได้รับการเยียวยาฟื้นฟูจะยิ่งทำให้เรามีความพร้อมทางใจมากขึ้นด้วย

สิ่งสำคัญ คือ การฝึกให้รู้ตัวเอง หรือการเจริญสติ เพราะเป็นทางที่ทำให้เราเกิดอิสรภาพในทันที หลุดพ้นจากความบีบคั้นของเวลา เข้าถึงความสงบ ความสุข ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ใดๆ

การเตรียมการเรื่องอื่นๆ นั้นไม่รู้จบ แต่หากเราได้เตรียมใจ ยอมรับความตายนั้นทำให้จบได้ จิตไม่ติดค้าง เพราะทำให้เราได้ดูแลเรื่องความสัมพันธ์ มีสติ รู้เนื้อรู้ตัวเสมอๆ น่าจะได้ชื่อว่าเป็นผู้พร้อมแล้วอย่างยิ่ง

ปณิธาน 2012













ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕

ใครได้ตั้งใจไว้แล้วบ้าง ว่าปีใหม่ 2012 นี้ จะทำอะไรสักเรื่องให้สำเร็จ หรือเปลี่ยนแปลงชีวิตบางอย่าง?

ปณิธานปีใหม่ หรือ New Year’s resolution นี้ มันอาจจะเป็นอะไรที่ส่วนตั๊วส่วนตัวของเราเอง จะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ตาม หรือเป็นความตั้งใจยอดฮิตติดอันดับท็อปเท็น อย่างเช่น ให้เวลากับครอบครัวและเพื่อนๆ ออกกำลังกายหรือไปฟิตเนส ลดน้ำหนัก เลิกสูบบุหรี่ มีความสุขกับชีวิตให้มากขึ้น เลิกดื่ม ปลดหนี้ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทำกิจกรรมจิตอาสา จัดระเบียบในชีวิต เป็นต้น

เชื่อว่าหลายคนคงเคยตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำอะไรบางอย่างตอนขึ้นปีใหม่กันมาบ้าง แล้วประสบการณ์ของเราที่ผ่านๆ มาแล้วล่ะ โดยมากมันประสบผลสำเร็จ หรือลงเอยด้วยการเลิกรากลางคันครับ

ถ้าทำไม่สำเร็จก็ไม่น่าแปลกใจเลยครับ เพราะข้อมูลจากงานวิจัยบอกว่าคนทั่วไปเพียง 12% เท่านั้นที่สามารถทำได้ตามปณิธานปีใหม่ของตนเอง ส่วนหนึ่งก็เพราะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเรา โดยเฉพาะที่ทำบ่อย ลงรากฝังลึกนั้น มันไม่ได้จะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ

แม้จะรู้อย่างนี้ แต่ก็อย่าเพิ่งล้มเลิกความตั้งใจที่จะปรับเปลี่ยนตนเอง และความตั้งใจที่จะตั้งปณิธานไปง่ายๆ นะครับ บางคนอาจผิดหวังกับที่ตนเองเคยตั้งใจไว้ช่วงขึ้นปีใหม่แล้วทำไม่ได้ พอหลายๆ ครั้งเข้าก็ท้อแท้ หันมาปลอบใจหรือแก้ตัวให้ตนเอง เป็นทำนององุ่นเปรี้ยวมะนาวหวานว่า “โอ๊ย อย่างฉันน่ะหรือ ไม่ต้องมาตั้งอะไรตอนปีใหม่หรอก ถ้าจะเปลี่ยนน่ะ ฉันเปลี่ยนได้เอง ไม่ต้องรอปีใหม่หรอก”

แต่ในความเป็นจริงก็มักไม่เป็นเช่นนั้นครับ เพราะว่างานวิจัยจากวารสารวิชาการด้านจิตวิทยาคลินิกพบว่าคนที่ตั้งใจมีปณิธานปีใหม่นั้นประสบความสำเร็จบรรลุเป้าหมายมากกว่าคนที่ไม่ได้ตั้งใจไว้ถึง 11 เท่าทีเดียว

อย่าถูกกิเลสหลอกเอาง่ายๆ ว่าตั้งใจไว้แล้วทำไม่ได้ก็ไม่ตั้งดีกว่า ไม่ได้มีใครลงโทษเราเสียหน่อยนะครับ หากว่าปีนี้เรายังทำไม่สำเร็จ อีกเป้าหมายบางอย่างอาจต้องใช้เวลาหลายปีในการทำ

การตั้งปณิธานอาจนับว่าเป็นก้าวแรกของความสำเร็จก็ได้ ในอิทธิบาทสี่ (รากศัพท์ คือ ความสำเร็จ + เส้นทาง) นั้น ข้อแรกก็คือ ความพอใจ ความต้องการที่จะทำ ใฝ่ใจรักที่จะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ

ในทางพุทธก็มีภาษิตที่ว่า ศรัทธาตั้งมั่นแล้ว ยังประโยชน์ให้สำเร็จ สทฺธา สาธุ ปติฏฺฐิตา
ดังนั้น อยากชวนให้ลองตั้งปณิธานปีใหม่กันดูครับ

หากนึกไม่ออก ก็ขอเสนอปณิธานปีใหม่ที่ร่วมสมัย เข้ากับสถานการณ์มากๆ คือ การตั้งใจว่าจะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับภัยพิบัติ ด้วยเป็นที่แน่นอนแล้วว่านับแต่นี้ต่อไป ภัยพิบัตินั้นจะเกิดทั้งถี่ และทั้งรุนแรงขึ้น ซึ่งแต่ละคนก็ควรเตรียมตัวให้พร้อมทั้งทางกาย (หรือทางโลก) และทางจิตใจ

การเตรียมตัวทางโลกนั้นว่ากันว่ามีสามขั้นตอน คือ จัดถุงยังชีพ เตรียมแผนรับมือ และหาความรู้ ซึ่งข้อมูลที่มีอยู่บนอินเทอร์เน็ตก็มากมาย หาได้ไม่ยาก มีเว็บที่แนะนำ คือ ready.gov ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีข้อมูลครบถ้วนมาก หรือที่เป็นภาษาไทย เช่น “คู่มือคนไทยเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ” ของบริษัทบางจาก ก็อ่านง่าย เป็นการเริ่มต้นที่ดี

ส่วนการเตรียมตัวทางใจหรือทางจิตตปัญญานั้นเอาไว้จะมาลองแบ่งปันให้ฟังในตอนหน้านะครับ

ใครได้ตั้งปณิธานปีใหม่นี้แบบจิตตปัญญาอย่างไรกันบ้าง ส่งมาเล่าสู่กันฟังกันบ้างสิครับที่ 2012NYresolution@gmail.com มีของขวัญปีใหม่มอบให้สำหรับสามท่านที่ตอบได้โดนใจครับ

ขอให้ปีใหม่นี้เป็นปีแห่งสติและการเตรียมพร้อมนะครับ