ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตวิวัฒน์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 2 ธันวาคม 2549


เดือนธันวามาถึงแล้วครับ มาพร้อมกับลมหนาวจากจีน-ไซบีเรีย แต่ฝนก็ยังไม่หยุดตก (รู้อะไรไหม? ปีนี้ฝนตกครบทุกเดือนตั้งแต่ มค. ถึง ธค.!) น้ำก็ยังไม่หยุดท่วม ความทุกข์ยากเดือดร้อนของชาวบ้านก็ยังไม่หมดไป

เดือนธันวามาถึงแล้ว พร้อมกับโอกาสที่จะทบทวนตนเองเพื่อเริ่มต้นใหม่ แต่มนุษย์ก็ยังไม่หยุดสะสมอาวุธ ฆ่าสัตว์ ตัดต้นไม้ ทำลายสิ่งแวดล้อม (และตนเอง) ขณะที่คนเริ่มเชื่อมากขึ้นว่าเราต้องเปลี่ยนทิศทางของโลก จากบริโภคนิยมไปสู่บุญนิยมหรือเศรษฐกิจพอเพียง แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเดินทางไปในทางเดิม มิหนำซ้ำยังเร่งเครื่องอีกต่างหาก

เดือนธันวามาถึงแล้ว พร้อมกับเทศกาลเลือกเหตุการณ์แห่งปีหรือบุคคลแห่งปีของเหล่านิตยสารหรือสถาบัน ที่ดังที่สุดเห็นจะเป็น Person of the Year หรือบุคคลแห่งปีของนิตยสารรายสัปดาห์ไทม์ นิตยสารดังกล่าวเลือกคนหรือกลุ่มคนที่สร้างผลกระทบต่อข่าวโลกในรอบปีมากที่สุด ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุคคลที่ได้รับเลือกมักเป็นคนดังและนักการเมือง เช่น ไอน์สไตน์, ประธานาธิบดีบุช ทั้งพ่อและลูก, บิล คลินตัน เป็นต้น

แต่เมื่อปีที่แล้วไทม์เลือก โบโน กับ บิลและเมลินดา เกตส์ ในฐานะผู้มีจิตอาสา ทำงานเพื่อผู้อื่นที่ด้อยโอกาสในโลก

โบโนนั้นนอกเหนือจากจะโด่งดังจากการเป็นนักร้องนำวงดนตรีจากไอร์แลนด์ “ยูทู” (เพลงดัง เช่น ไอวิลฟอลโลว์ และ อินเดอะเนมออฟเลิฟ) ยังที่เป็นที่รู้จักจากการเป็นผู้นำการเรียกร้องการปลดหนี้ให้กับประเทศแถบแอฟริกาและลดการติดเชื้อเอดส์ เขาร่วมจัดงานไลฟ์เอด เพื่อหาทุนช่วยภาวะทุพภิกขภัยในเอธิโอเปียที่มีผู้ชมทั่วโลกถึงพันห้าร้อยล้านคน

ส่วนสองสามีภรรยาตระกูลเกตส์ นั้นดังจากผลิตภัณฑ์ซอฟแวร์ของไมโครซอฟท์หรือระบบปฏิบัติการวินโดว์ที่คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ในโลกใช้กัน บิล เกตส์นั้นเคยเป็นคนถือว่าเป็นตัวชั่วร้ายอย่างยิ่งในสายตาชาวโลก เพราะการที่สินค้าของเขาครองตลาดส่วนใหญ่และกลยุทธทำลายคู่แข่งทางการค้าต่างๆ แต่ปัจจุบันจากการสำรวจในยี่สิบประเทศทั่วโลก เขาเป็นผู้นำที่มีผู้ชื่นชมสูงสุดเป็นอันดับที่สอง (อันดับ๑-๖: เนลสัน แมนเดลา, บิล เกตส์, ดาไลลามะ, โบโน, บิล คลินตัน, โคฟี่ อานัน) ซึ่งเป็นผลมาจากงานของเขาและมูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ ที่มีเงินก้นถุง ๑,๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (อ่านว่า หนึ่งล้านสามแสนล้านบาทครับ) ที่เขาได้รับการยอมรับอย่างสูง ไม่ใช่เพราะมีเงินมาก หากแต่เป็นเพราะการทุ่มเทให้กับงานส่งเสริมบริการสุขภาพและลดความยากจนทั่วโลกอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

แต่ทว่า ผู้เขียนไม่ตื่นเต้นกับข่าวคนดังอย่างโบโนกับสามีภรรยาตระกูลเกตส์สักเท่าไหร่ กลับรู้สึกสนใจข่าว “ซานตาคลอสปริศนา” มากกว่า

เพราะสำหรับผู้เขียนแล้ว บุคคลแห่งปีในปีนี้คือซานต้าปริศนาผู้นี้แหละ

ซานต้าปริศนาคนนี้มีชื่อว่า แลรี่ สจ๊วต ครับ ปัจจุบันมีอายุ ๕๘ ปี พำนักอาศัยในรัฐมิสซูรี ประเทศสหรัฐอเมริกา

แลรี่ หรือซานต้าปริศนาบริจาคเงินให้กับคนยากไร้ และคนที่เขาเห็นว่าทุกข์ยาก คนที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยเขาไม่เคยเปิดเผยตัวว่าตัวเองเป็นใคร ทำงานที่ไหน และไม่ต้องการอะไรตอบแทนจากคนที่เขาหยิบยื่นเงินให้ แค่เดินออกไปตามที่ต่างๆ ในช่วงเวลาเทศกาลคริสต์มาส พบเห็นใครที่เขาจะช่วยได้ เขาก็แค่ยื่นเงินให้ ง่ายๆ เท่านั้น

และเขาก็ทำเช่นนั้นมา ทุกๆ ปี ติดต่อกันมาแล้วเกือบ ๓๐ ปี แม้จะมีสื่อมาถ่ายทำนำเสนอข่าวแต่เขาก็ยืนกรานไม่ขอเปิดเผยชื่อและเผยว่าตัวเองเป็นใคร

อะไรทำให้ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งตัดสินใจทำสิ่งเหล่านี้?

เมื่อ ๒๖ ปีที่แล้วนั้น เขาเพิ่งถูกให้ออกจากงานเป็นครั้งที่ ๒ ในรอบสองปี และเป็นช่วงเวลาเดียวกัน คือเพียง ๑ สัปดาห์ก่อนหน้าวันคริสต์มาส วันเทศกาลแห่งความสุข ในคืนย่ำแย่ของชีวิต และยังเป็นคืนที่อากาศหนาวจัด เขาขับรถเข้าจอดในร้านอาหารแบบมีพนักงานมาบริการเสิร์ฟอาหารถึงที่รถ และพบว่าตนเองยังโชคดีมากมายนักเมื่อเทียบกับพนักงานหญิงตรงหน้า เพราะเธอไม่มีแม้แต่เสื้อโค้ทหนาพอให้ความอบอุ่น ซ้ำต้องเดินทำงานท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ แลกกับเงินเพียงน้อยนิด

เขาตัดสินใจยื่นธนบัตร ๒๐ เหรียญให้เป็นค่าอาหาร พร้อมบอกเธอว่าไม่ต้องทอน ทันใดนั้นเอง เขาเห็นริมฝีปากของเธอสั่นระริกและน้ำตาของเธอไหลเป็นสายอาบแก้ม "คุณคงไม่รู้ว่าเงินจำนวนนี้มีความหมายต่อชีวิตฉันแค่ไหน" เธอบอก

ชั่วนาทีนี้เองคือเหตุที่ทำให้ชายธรรมดากลายมาเป็นซานต้าปริศนา

หลังออกจากร้านอาหารแห่งนั้น เขาถอนเงินออกมาอีก ๒๐๐ เหรียญ และยื่นให้ใครก็ตามที่น่าจะต้องการความช่วยเหลือ แต่ละปีที่ผ่านไปเขาให้ธนบัตรใบละ ๕ เหรียญบ้าง ๑๐ เหรียญบ้าง มากขึ้นเพิ่มขึ้นตามฐานะรายได้ ในทุกๆ ปี เขาจะเดินทางไปตามร้านขายของราคาถูก แหล่งขายของเก่า ลาดจอดรถโทรมๆ มองหาคนที่กำลังยากลำบากและเงินของเขาจะช่วยคนเหล่านั้นได้ คนที่ไม่ร้องขอความช่วยเหลือ คนที่ไม่สามารถไปเข้าคิวรอ และคนที่ไม่อาจกรอกแบบฟอร์มเอกสารของราชการหรือองค์กรการกุศล สำหรับแลรี่แล้ว เขาคิดว่าสิ่งนี้แหละคือ “ของขวัญวันคริสต์มาสสำหรับตัวฉันเอง”

ด้วยรู้ดีว่าครั้งหนึ่งในชีวิตขณะที่อยู่ในภาวะสิ้นไร้หนทาง เขาเคยเดินไปที่โบสถ์เพื่อขออนุเคราะห์จากหญิงผู้หนึ่ง เธอบอกว่าคนดูแลเรื่องนี้กลับไปแล้ว พรุ่งนี้ให้มาติดต่อใหม่ เพียงสบตาหญิงผู้นั้น เขาก็หันหลังกลับและไม่คิดจะร้องขอความช่วยเหลืออีกเลย

เขาให้เพราะถือว่าเป็นการทำดีโดยสะดวกใจ ไม่มีพิธีระเบียบวิธีการที่เป็นทางการ และนับจากเงิน ๒๐ เหรียญให้หญิงสาวพนักงานเสิร์ฟคนนั้นจนถึงวันนี้ เขาสละเงินมอบให้ผู้คนจำนวนมากในวันคริสต์มาสไปแล้วกว่า ๕๒ ล้านบาท

จนกระทั่งวันนี้ วันที่เขากำลังเจ็บป่วยจากโรคมะเร็งร้าย ความเข้มแข็งหดหายจากการใช้เคมีบำบัด สุขภาพร่างกายโทรมทรุดลงจนเหลือเวลาในชีวิตไม่นาน แลรี่จึงได้เปิดเผยตัวต่อสื่อมวลชนว่า เขาคือซานต้าปริศนา คนที่สละทรัพย์ของตนเป็นโอกาสมอบให้ผู้ขาดไร้ในช่วงเทศกาลศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่การเปิดเผยตัวต่อสาธารณะเพื่อเรียกร้องการยอมรับ หรือต้องการเสียงปรบมือแซ่ซ้อง แต่หวังเพียงว่าเรื่องเล็กๆ ของเขาจะสร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นให้ทุกคนตระหนักรู้ว่า เราต่างทำดีให้กันได้ง่ายๆ โดยสะดวกใจ

“เราทุกคนนั้นเกิดมาเพื่อช่วยเหลือกัน” เขาเชื่อเช่นนั้น

บุคคลแห่งปี ซานต้าปริศนา ไม่ได้มีเพียงคนเดียวครับ แต่มีมากมายกระจายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง เพียงไม่มีข่าวเขาเหล่านี้ออกผ่านสื่อ ก็ใช่ว่าจะขาดไร้ซึ่งความดีความมีเมตตาต่อกันระหว่างเพื่อนมนุษย์ เราเองต่างก็เป็นบุคคลแห่งปี เป็นคนผู้ทำความดีให้แก่ผู้คนรอบข้างได้ ใช่ว่าจะต้องเป็นนักร้อง นักการเมือง หรือนักธุรกิจชื่อดังเสียเมื่อไหร่

จะทำเมื่อไหร่ ทำที่ไหนไม่สำคัญ เพียงทำความดีโดยสะดวกใจ เท่านั้น