ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 24 เมษายน 2548


บทความนี้ไม่เกี่ยวกับทรงผม แฟชั่นหรือความสวยความงามจากภายนอกครับ แต่เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกันคือเป็นเรื่องของสมองและวิธีการมองโลกและความสวยความงามจากภายในครับ

คนเราแต่ละคนมีวิธีการเผชิญกับโลก เข้าใจโลก และแก้ปัญหาโลกต่างๆกันออกไป ในสถานการณ์แบบเดียวกันแต่ละคนย่อมมีการแสดงออก มีพฤติกรรมต่างกันไป

นักวิชาการและนักปฏิบัติ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเปลี่ยนแปลง (ทั้งในระดับบุคคล องค์กร และโลก) อธิบายว่าพฤติกรรมที่แสดงออกมาที่เราเห็นนั้น มีรากฐานสำคัญมาจากปัจจัยพื้นฐานที่สุดคือ รูปแบบทางความคิด (mental model) การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเฉพาะเป็นกรณีๆ ไปนั้นไม่ได้ผลหรือมีประสิทธิภาพมากนัก ต่างกันกับการเปลี่ยนรูปแบบทางความคิด

รูปแบบทางความคิด เรียกง่ายๆ ก็คือ ความเข้าใจต่อโลกนั่นเอง เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ของเรา หมายรวมถึงความเชื่อ ทัศนคติของเราด้วย

ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางความคิดที่ชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตผมคือ การได้มีโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนกับท่านอาจารย์ระพี สาคริก ผู้เป็นที่เคารพนับถืออย่างยิ่งของผมท่านหนึ่ง เมื่อแปดปีที่แล้วคณะนักวิจัยได้ขอให้ผมพาไปเยี่ยมเยียนท่านเป็นของขวัญสำหรับการปิดโครงการวิจัยชิ้นใหญ่ของเรา บ้านท่านอาจารย์ที่บางเขนนั้นร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และกล้วยไม้นานาพันธุ์ พร้อมอบอุ่นไปด้วยความเมตตากรุณาของครอบครัวเจ้าบ้าน

ระหว่างที่กำลังทานของว่างกันอยู่ นักวิจัยรุ่นน้องผมถามว่า "อาจารย์คะ ทำไมชีวิตอาจารย์ดูมีความสุขจังละคะ? อาจารย์มีหลักในการดำเนินชีวิต (หรือ "รูปแบบทางความคิด" นั่นเอง--ผู้เขียน) อย่างไรคะ?"

อาจารย์หัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วเล่าสุดยอดวิชาให้เราฟังว่า "อ๋อ ... ผมแบ่งเรื่องราวในโลกนี้ออกเป็นสองจำพวก พวกแรกเป็นเรื่องของผม และอีกพวกเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของผม พวกแรกนั้นผมก็จัดการกับมันตามที่ผมควรจะทำ ส่วนเรื่องหลังนั้นผมก็วางใจ ไม่ไปเดือดร้อนกับมัน" อาจารย์ยกสองสามตัวอย่างประกอบการอรรถาธิบายด้วย

ไม่ทราบว่าใครในคณะที่ไปจะได้ยิน เข้าใจ หรือประทับใจอย่างไร แต่สำหรับผมแล้วสองสามประโยคนั้น "โดนใจ" สุดๆ นับเป็นการตกผลึกประสบการณ์อันงดงามหลายสิบปีของปราชญ์ของแผ่นดินไทย

หลังจากวันนั้นชีวิตผมสบายขึ้นมาก มีความสุขขึ้นมาก ไม่ค่อยได้ไปคอยเที่ยวแบกเรื่องชาวบ้านเป็นประจำเช่นเคย (ฮา)

หรือหนึ่งในท็อปทรีเรื่องปวดหัวยอดฮิตที่ทำงาน คือ โดนหัวหน้าต่อว่าหรือตำหนิ สัดส่วนความทุกข์ในที่ทำงานทั่วโลกจำนวนไม่น้อยคงเกิดจากสาเหตุนี้ ... เคยมีบ้างไหมที่เราทำผลงานเต็มความสามารถแล้ว หัวหน้ายังไม่พอใจ แล้วอารมณ์เสียใส่เรา?

ก่อนอื่นเลย ถ้าพิจารณาให้ดีจริงๆจะเห็นว่าใครก็ตามที่อารมณ์เสีย ปัญหาอยู่ที่คนนั้นแน่ๆ (หลักฐานที่ชัดเจนต่อหน้าต่อตา คือเขากำลังทุกข์ เพราะกำลังอารมณ์เสีย)

ต่อมา ... เป็นไปได้ไหมว่าอารมณ์ไม่จอยของหัวหน้านั้นเป็นเรื่องของเขา รวมถึงความผิดหวังของหัวหน้าด้วยก็เป็นเรื่องของเขา (ที่คาดหวังผิดๆ คาดว่าเราควรจะทำงานได้ดีกว่านั้น เพราะถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว ไม่ว่าใครจะคาดหวังให้เราทำดีกว่านั้นก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเรื่องหรือปัญหาจึงอยู่ที่คนที่คาดหวังต่างหาก)

แต่เนื่องจากเราอยู่ในโลกของความสัมพันธ์ (แถมเขายังเป็นหัวหน้าเราอีกด้วย) มันก็ย่อมมีส่วนที่เป็นเรื่องของเรา เป็นไปได้ไหมว่าเรื่องของเราจริงๆ แล้วอาจเป็นว่าเราควรลองหาวิธีดูว่าเราจะทำงานให้ดีขึ้นได้อย่างไร (ถ้าดีที่สุดแล้วก็ไม่ต้องคิด) หรือลองดูว่าเราสามารถอธิบายให้หัวหน้าเข้าใจได้ไหม (โดยที่ไม่มีผลลบต่อเรา) ว่างานที่ได้นั้นดีที่สุดแล้ว ... ซึ่งทั้งหมดนี้เราควรจะสามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ หรือต้องมีอารมณ์แย่ๆ ตามเจ้านาย (ผู้น่าสงสาร) ของเราไปด้วย

(แน่นอนว่ามีหัวหน้างานบางคนที่อาจรับไม่ได้ถ้าเราไม่ "แสดงท่าที" ว่าเป็นเดือดเป็นร้อนกับการว่ากล่าวของเขา กรณีนี้ก็ควรหาวิธีการที่เหมาะสมเฉพาะกรณีไปครับ)

หากเราแยกแยะเรื่องของเรา และเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของเรา ออกจากกันได้ เราก็จะลดภาระที่ต้องไปเป็นทุกข์แบกเรื่องคนอื่น และมีเวลา มีสมอง มีปัญญามาคิดจัดการเรื่องที่เป็นเรื่องของเราจริงๆ มากขึ้นครับ :-)


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 10 เมษายน 2548


เมื่อไม่กี่วันมานี้รุ่นพี่ที่ผมเคารพรัก ชื่นชม และสนิทสนมอย่างยิ่งท่านหนึ่งได้สร้างวีรกรรมเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ให้กับองค์กรของเธอ

วันนั้นเป็นวันที่มีการประชุมระดับกรรมการสูงสุด และเนื่องจากมีประธานกรรมการเป็นคนใหม่ ทางองค์กรจึงได้เตรียมการนำเสนอข้อมูลเบื้องต้น รุ่นพี่ของผมคนนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนทำหน้าที่ดังกล่าว ตอนเริ่มต้นบรรยากาศประชุมเคร่งเครียด อึมครึม มีความไม่เข้าใจกันอยู่สูง รวมถึงช่วงแรกของการนำเสนอ แต่หลังจากนั้นไม่นานสภาพการประชุมก็ดีขึ้น เธอสามารถอธิบายงานขององค์กรได้อย่างดี ตอบข้อสงสัยต่างๆ ได้อย่างเป็นมิตร สามารถสลายความรู้สึกในแง่ลบจากห้องได้ นำมาซึ่งความสามารถตกลงในประเด็นพิจารณาได้อย่างประสานประโยชน์ทุกฝ่าย หลังการประชุมสมาชิกได้ร่วมยินดีกับเธอที่ทำหน้าที่ได้อย่างดี

ผมเองไม่แปลกใจหรือสงสัยในความสามารถของเธอ แต่ความสนใจอยากเรียนรู้จึงได้ถามถึงเบื้องหลังของความสำเร็จ เธอเล่าให้ฟังว่า "อ๋อ พี่รู้เลยว่างานนี้ไม่ง่าย ต้องใช้สติเป็นอย่างมาก พี่ใช้เวลา ๑๐ กว่านาทีก่อนเข้าห้องประชุมเจริญสติ นั่งสมาธิ ทำใจของพี่ให้นิ่ง พี่นึกถึงแต่เจ้าแม่กวนอิม นึกถึงพระโพธิสัตว์ ขอให้พี่มีปัญญา มีความรัก ที่จะไม่โกรธใคร ตอนเดินเข้าห้องประชุมเนี่ยะ รู้สึกว่าไม่มีตัวตนเลย คิดว่าเรามีแต่ความเมตตาให้ทุกคน"

เธอยังเล่าอีกว่า "ในขณะที่หลายๆ คนเครียดมากก่อนเข้าห้องประชุม แปลกนะพี่กลับรู้สึกผ่อนคลาย สบายดี"

"คือก่อนหน้านั้นพี่ใช้เวลาหลายชั่วโมงศึกษาเอกสารทั้งหมด และงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประชุม ที่ทางทีม ทางน้องๆ เขาได้ช่วยเตรียมให้"

"นี่ดีนะที่เพิ่งจะทราบว่าต้องเป็นคน present เมื่อตอนเช้า เมื่อคืนเลยไม่เครียดมาก ได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่"

เห็นได้ชัดเลยว่าความสำเร็จของเธอไม่ใช่เรื่องไม่มีที่มาที่ไป แต่เป็นเพราะทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ผมมาสรุปเอาเองว่าเกิดจากความมีสุขภาวะทั้งสี่มิติของเธอ คือ ๑. สุขภาวะทางจิตวิญญาณ ๒. สุขภาวะทางจิต ๓. สุขภาวะทางสังคม และ ๔. สุขภาวะทางกาย

ตอนที่เริ่มฟังเธอเล่านั้นผมจดบันทึกไว้ในใจว่า "อืมม์ สุขภาวะทางจิตวิญญาณ! ... ใช่เลยเจริญสติอีกแล้ว!" เรื่องของเธอตอกย้ำความสำคัญของการเจริญสติให้กับผม ชัดเจนเลยว่าสตินั้นเป็นฐานของความสำเร็จทั้งปวง เชื่อขนมทานได้เลยว่าแม้ว่าเธอจะเตรียมตัวมาดีเพียงใด หากตกใจ ประหม่า สิ่งที่เตรียมมาก็คงสับสนไปหมด ไม่สามารถจะเล่าด้วยความสุขุมนุ่มนวลอย่างที่ใจปรารถนา

ยิ่งเรื่องการข้ามพ้นความเป็นพวกเรา พวกเขาไปได้ ตรงกับหัวใจของความเป็น "วิทยาศาสตร์ใหม่" ที่พูดถึงการลดละอัตตาตัวตน สามารถก้าวข้ามและหลอมรวม (transcend and include) ความคิดเห็นที่แตกต่างได้ การโน้มนำบารมีพระโพธิสัตว์มาใช้ก็นับเป็นอุบายที่ถูกทั้งกาละและเทศะอย่างยิ่ง

ไม่น่าแปลกใจที่เธอจะมีสุขภาวะทางจิตที่ดี ผ่อนคลายไม่เครียด ยิ่งได้มีทีมงานที่ดีคอยเป็นกำลังใจ ทำงานสนับสนุนซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี ช่วยเตรียมข้อมูล เตรียมเอกสารทุกอย่างอย่างเต็มที่ จะเห็นว่างานสำคัญหลายอย่างไม่สามารถที่จะทำได้คนเดียว คนที่จะเดินไปข้างหน้าย่อมมั่นใจหากรู้ว่ามีทีมที่พร้อมจะไปด้วยกัน พร้อมสนับสนุนส่งเสริมกันตลอด นี่ถือเป็นตัวอย่างการมีสุขภาวะทางสังคม

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ สุขภาวะทางกาย โดยวิธีง่ายๆ ที่พวกเรามักหลงลืมหรือไม่ก็ละเลยกันไป เช่น การรับประทานอาหารที่เหมาะสมและพอดี หรือการได้นอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ เป็นหัวใจของการเข้าถึงสุขภาวะทางกายได้โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองแต่อย่างใด

เป็นเรื่องที่ต้องภูมิใจและชมเชยเธอเป็นอย่างมาก เพราะสุขภาวะทั้งสี่นี้แม้จะมีวิธีเข้าถึงที่ง่ายๆ ไม่แพง และเข้าถึงได้ทุกคน แต่พวกเราส่วนใหญ่ก็มักจะละเลย ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับมัน

การที่เธอมีความพร้อมของสุขภาวะทั้งสี่สำหรับงานสำคัญที่ผ่านมานั้นแน่นอนว่าไม่เพียงแต่ไม่ได้เกิดโดยบังเอิญ ที่สำคัญยังต้องให้เวลาหรือใช้เวลากับมันพอสมควรและทั้งสี่มิติเลยทีเดียว ดังกรุงโรมที่ไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว

แต่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล หรือคิดว่า "โอย! ไม่เอาหละเรื่องพวกนี้ยากเกินไปสำหรับฉัน แถมฉันยังไม่ค่อยมีเวลาอีกด้วย" เพราะเรื่องการสุขภาพในวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่นั้นแปลก คือ ดูเหมือนยาก แต่ยิ่งทำยิ่งง่าย หรือดูเหมือนเสียเวลา แต่ยิ่งทำยิ่งได้เวลาเพิ่มขึ้น ... เรื่องนี้เป็นอย่างไรไว้มีโอกาสผมจะเล่าให้ฟังครับ


ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตวิวัฒน์
หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 2 เมษายน 2548



"ยิ่งเราให้ความสนใจผู้อื่น ยิ่งเราเป็นห่วงเป็นใยในผู้อื่น
ดูเหมือนกับว่ามันจะยิ่งนำมาซึ่งความเข้มแข็งภายในของเราเอง"

ทาไล ลามะ


ในที่ประชุมจิตวิวัฒน์มีประเด็นเกิดขึ้นว่า ทั้งที่ความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ที่เจอกันอยู่ทุกวันนี้มีมากมายนัก แต่ผู้คนในสังคมกลับหมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาความสุขที่ฉาบฉวยให้กับตัวเอง ยังคงมุ่งหาความสุขด้วยการ "สร้างสุข" แทนที่จะเป็นการ "ขจัดทุกข์" ทำให้ละเลยความเป็นจริงของสังคมรอบข้างไป

ทำอย่างไรจึงจะทำให้สังคมได้รู้ถึงความทุกข์ของผู้อื่น แล้วทำให้เกิดคลื่นพลังน้ำใจเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น ให้เปลี่ยนจากจิตเล็ก คิดถึงแต่ตนเอง ไปสู่จิตใหญ่ที่คิดที่ทำเพื่อผู้อื่น
ทางออกที่เป็นไปได้มาก คือ การสร้างโอกาสให้ผู้คนได้รับรู้ ได้ลองทำงานอาสาสมัครเพื่อผู้อื่น ปฏิบัติจริงด้วยตนเองจนได้รับผลเป็นความชุ่มเย็นในจิตใจ เกิดการปฏิวัติทางจิตสำนึก แล้วได้สื่อสารออกไปให้สังคมวงกว้างเห็นถึงประสบการณ์ยิ่งใหญ่ที่ตนได้รับ
----------------------------

สึนามิจะครบรอบหนึ่งร้อยวันในวันจันทร์นี้ เหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างที่ดีระดับโลก เพราะมนุษยชาติได้เห็นปรากฏการณ์การวิวัฒน์ทางจิตของคนเป็นล้านๆ คนพร้อมๆ กัน

เฉพาะในไทย ช่วงหลังจากเกิดเหตุ มีการระดมความช่วยเหลือต่างๆ เราได้เห็นอาสาสมัครที่เกิดขึ้นพร้อมคลื่นพลังน้ำใจเต็มแผ่นดิน มีอาสาสมัครจากทุกจังหวัดของประเทศอยู่ในหกจังหวัดภาคใต้เรือนแสน ไม่นับอาสาอีกเป็นล้านที่แม้ไม่สามารถเดินทางลงไปได้ก็พยายามทำทุกอย่างที่ช่วยได้ ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคโลหิต บริจาคสิ่งของ ส่ง SMS ให้กำลังใจ และบริจาคเงินผ่านรายการต่างๆ โทรศัพท์ให้กำลังใจ บางรายไปไม่ได้ถึงขนาดส่งลูก ส่งญาติพี่น้องลงไป

ในช่วงปิดเทอมหนึ่งเดือนที่ผ่านมามีค่ายอาสาสมัครของน้องๆ เยาวชนจำนวนมากหลายสิบค่าย ไม่ว่าจะเป็นค่าย U Volunteer (นักศึกษาสายสาธารณสุข จากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ โดยการสนับสนุนหลักของสำนักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สปสช.) ค่ายเยาวชนอาสาสมัคร We Volunteer (เยาวชนระดับมัธยมศึกษา โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.) ค่ายอาสาสมัครนิสิตนักศึกษาฟื้นฟูอันดามัน (นักศึกษาจากเครือข่ายเก้ามหาวิทยาลัย โดยใช้เงินที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับบริจาคช่วงเกิดเหตุการณ์) รวมกันกว่าห้าพันคน เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง เพราะประเทศของเราไม่เคยเห็นการเสียสละของคนรุ่นหนุ่มสาวผ่านงานกิจกรรมค่ายอาสาในระดับขนาดนี้มาหลายสิบปีแล้ว

หลังจากเสร็จงานในพื้นที่แล้ว หลายกลุ่มยังคงมีการรวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อพยายามสร้างกิจกรรมดีๆให้แก่สังคม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเยาวชนอาสาที่วัดย่านยาว หรือกลุ่มอาสาศูนย์อาสาสมัครสึนามิเขาหลัก เป็นต้น

อาสาสมัครสึนามิแต่ละคนมักจะมีเรื่องเล่าถึงประสบการณ์เสี้ยวเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ที่ได้ไปพบเห็น เรียนรู้ ได้อุทิศตนเพื่อ "ขจัดทุกข์" ให้ผู้อื่น พร้อมกับการเรียนรู้เติบโตภายใน เพราะลักษณะพิเศษตามธรรมชาติของงานอาสาสมัครเอง กล่าวคือ คนทำงานอาสาจะได้ยกระดับจิตใจตนจากการทำงาน ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ไม่ว่าจะมีพื้นฐานอย่างไร

อาสาสมัครเหล่านี้เป็นประจักษ์พยานต่อศักยภาพของงานอาสาสมัครในการปฏิวัติทางจิตสำนึก (Consciousness revolution) จากจิตเล็ก ไปสู่จิตใหญ่ที่ไม่จำกัดคับแคบอยู่แต่ตนเอง

ท่ามกลางปัญหาสังคมที่ผู้หลักผู้ใหญ่กำลังปวดเศียรเวียนเกล้ากับปัญหาเยาวชน มีการออกมาตรการต่างๆ เพื่อบังคับควบคุม ที่มีฐานคิดอยู่บนกระบวนทัศน์เดิม เชื่อความรู้ที่ว่ามนุษย์มีจิตที่เห็นแก่ตัว มีกิเลส เด็กเยาวชนไม่สามารถจัดการตนเองได้ เราน่าจะได้มีการสร้างทางเลือกที่สร้างสรรค์ให้กับอนาคตของชาติ สร้างมาตรการส่งเสริมที่มีฐานคิดที่ว่าจิตเดิมแท้ของมนุษย์นั้นเป็นจิตใจที่ดีงาม เด็กเยาวชนทุกคนและทุกระดับสามารถเป็นองค์กรจัดการตนเองได้เช่นกัน

โดยเฉพาะเรื่องความรักในวัยเด็กเยาวชน ผู้ใหญ่ไม่ควรมองแต่หาวิธีห้ามปราม แต่ควรสร้างโอกาสการเรียนรู้ให้เห็นว่าความรักนั้นมิใช่มีแต่รักแบบหนุ่มสาว เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แต่ยังมีความรักความเมตตา รักที่ละวางอัตตารักสาธารณะ เพื่อผู้อื่น เพื่อสังคมอีกด้วย
เด็กเยาวชนที่อยู่ในช่วงเติบโตที่เต็มไปด้วยพลังชีวิต เกิดการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนต่างๆ อยากเรียนอยากรู้โลกกว้างภายนอก ควรส่งเสริมให้ได้รวมตัวกันเอง ทำกิจกรรมที่ท้าทายความคิดความสามารถในรูปแบบของงานอาสาสมัครเพื่อสังคม อาทิ โครงการตลาดประกอบฝัน ของกลุ่ม YIY ที่สนับสนุนเยาวชนได้คิดและทำโครงการเพื่อสังคม

ไม่เพียงแต่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงทางจิตสำนึกระดับบุคคลเท่านั้น เหตุการณ์สึนามิยังส่งผลถึงการเกิดจิตวิวัฒน์ระดับองค์กร กล่าวคือ การเห็นแก่สังคมส่วนรวมมากขึ้น หลายบริษัทมีนโยบายชัดเจนให้พนักงานสามารถทำงานอาสาสมัครโดยไม่นับเป็นวันลา เช่น ปตท. น้ำมันพืชไทย (น้ำมันพืชองุ่น) เอ็มเค ไทยพัฒน์ แพรนด้าจิวเวลรี่ เอสแอนด์พี บริษัทต่างประเทศ ก็เช่น เอเม็กซ์ จีอีแคปปิตอล เมิร์กซ์ ยูโนแคล รวมถึงหน่วยงานสาธารณประโยชน์ เช่น มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ เป็นต้น
----------------------------

บุคลากรและหน่วยงานด้านสื่อต่างมีบทบาทช่วยกันชี้ให้เห็นถึงความทุกข์ที่มีอยู่ในสังคมรอบตัวเช่นกัน ไม่เพียงแต่จากเหตุสึนามิ (หมายเหตุ: งานฟื้นฟูต่างๆ หลากหลายรูปแบบยังต้องการอาสาสมัครอีกจำนวนมาก แบบที่เรียกว่ารับได้ไม่จำกัด อาสาสมัครในพื้นที่ปัจจุบันจำนวนมากเป็นชาวต่างชาติ) เชื่อมโยงให้ถึงพลังน้ำใจของสังคมไทย ให้เห็นโอกาสมากมายที่ทุกคนสามารถอาสาช่วยงานสังคมได้ เมื่ออาสาสมัครได้มีประสบการณ์ตรงจากงานแล้ว ควรได้นำเสนอให้เป็นที่รับรู้ของสังคมวงกว้าง

แทนที่เช้ามาเปิดหนังสือพิมพ์ จะมีแต่ข่าวอาชญากรรม ข่าวไสยศาสตร์ ในหน้าหนังสือพิมพ์ เราน่าจะมีพื้นที่ข่าวของอาสาสมัครทั่วแผ่นดิน

แทนที่ทีวีจะมีแต่เกมโชว์ในแผงรายการ มีโฆษณากระตุ้นการบริโภค เราน่าจะมีพื้นที่สำหรับรายการส่งเสริมการทำความดีของคนเล็กคนน้อยจากทุกจังหวัด

แทนที่จะมีหนังสือพิมพ์ที่มีแต่ข่าวร้าย เริ่มวันใหม่แบบเศร้าๆ เราน่าจะมีหนังสือพิมพ์ข่าวดีกันบ้าง จะได้เริ่มวันใหม่แบบสดชื่น
ตัวอย่างของข่าวดีนั้นมีอยู่จริงและทำได้ หากอยากเห็น ลองแวะไปดูเว็บไซต์ www.budpage.com ที่นั่นมีคอลัมน์ "ข่าวคนดีมีทุกวัน"

ในวาระโอกาสครบรอบร้อยวันสึนามิ ผมขออนุญาตนำเอาชื่องานที่ศูนย์อาสาสมัครสึนามิเขาหลัก มูลนิธิกระจกเงา และจังหวัดพังงาร่วมกันเป็นเจ้าภาพ มาใช้เป็นชื่อบทความด้วยครับ


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Home
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 27 มีนาคม 2548


เรากำลังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวของความคิดและเหตุผลมากเกินไปหรือปล่าว?

คุณหมอประสาน ต่างใจ บอกว่ามนุษยชาติกำลังเดินทางข้ามยุคข้ามสมัย จากยุคของการอยู่อย่างสัตว์ป่า ผ่านยุคไสยศาสตร์ จากนั้นเป็นยุคศาสนา ที่มีการเบ่งบานของศาสนาสำคัญของโลก เป็นช่วงที่เน้นเรื่องความดี แล้วเข้าสู่ยุควิทยาศาสตร์ที่มีความก้าวหน้าในวิทยาการ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เป็นยุคที่เน้นเรื่องความจริง เรื่องเหตุผล โดยปัจจุบันเรากำลังจะเข้าสู่ยุคที่เน้นเรื่องความงาม

ยุคความงามนี้น่าสนใจ เพราะเป็นความงามชนิดที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่จำเป็นต้องมีอัฐิสำหรับซื้อบัตรเข้าอโรมาเธอราปี เข้าสปา หรือต้องพึ่งพาโรงพยาบาล คลินิกติดสโลแกน "สวยด้วยแพทย์ฯ" เพราะเป็นความงามที่ไม่จำกัดเฉพาะคนมีเงิน ไม่ได้งามเฉพาะบางส่วนแบบใช้ครีมทาให้ขาวเป็นสโนว์ไวท์ แต่เป็นงามแบบหมดจด เป็นความงามที่ใจครับ

ความงามประเภทนี้สอดคล้องกับวิถีตะวันออกของเราโดยพื้นฐานอยู่แล้วด้วย ท่านดาไลลามะเคยกล่าวไว้ว่า "ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป้าหมายสูงสุดของชีวิต คือ ความพึงพอใจ ความปีติ และความสุข และที่มาพื้นฐานของความสุข ก็คือ จิตใจที่ดีงาม ความรัก และความเมตตา"

ตอนที่แล้วผมเขียนวิธีสร้างความสุขง่ายให้กับชีวิตผ่านการทำ "ดีโดยสะดวกใจ - งามโดยไม่ใช้เหตุผล" เวอร์ชัน Happiness@Work ตอนนี้ลองมาดูรุ่น H@Home กันบ้าง

ดีโดยสะดวกใจ (random kindness) นั้นง่ายๆตามชื่อ อะไรก็ได้ที่ไม่เดือดร้อนตนเองและผู้อื่น ทำได้ทั้งระดับการกระทำ คำพูด และความคิด มอบสิ่งดีๆ ให้กับคนรอบข้าง สัตว์ ต้นไม้ สิ่งรอบตัวโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

เช้าวันเสาร์-อาทิตย์ไม่ไปทำงาน อาจลุกขึ้นมาทำเซอไพรซ์แฟนด้วยการปิ้งขนมปัง ชงกาแฟไปเสริฟถึงเตียงนอน จะได้เป็นการเริ่มวันแบบสบายๆ ระหว่างวันเห็นใครเมื่อยก็เข้าไปนวดให้ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นคุณปู่คุณย่า คุณพ่อคุณแม่ แฟน หรือลูกๆหลานๆ หากอีกฝ่ายตกใจว่าร้อยวันพันปีไม่เคยทำอย่างนี้ ตีหน้าซื่อๆทำเป็นเรื่องปกติ ชวนคุยเป็นเรื่องตลกไปเลยว่าแง่มุมดีๆ อื่นๆ ของเราที่เขายังไม่รู้จักยังมีอีกเยอะนะ ตอนเย็นแดดร่มลมตกอาจอาสาขับรถพาที่บ้านไปเดินสวนสาธารณะด้วยกัน ได้ทั้งออกกำลังกาย และโอกาสอยู่ด้วยกัน

วันธรรมดาตอนเช้าก่อนไปทำงานเข้าไปช่วยคุณพ่อคุณแม่ (หรือคุณแฟน) แต่งตัว พูดคุยกับท่านดีๆ ก่อนออกจากบ้าน อาจได้รับพรเป็นแถมก่อนออกจากบ้าน ส่วนตอนเย็นคุณพ่อคุณแม่ที่รออยู่ที่บ้านอาจเตรียมขนมหวาน น้ำเย็นๆ รอลูกกลับมาจากโรงเรียนหรือที่ทำงาน (หรือเราจะเตรียมไว้รอแฟนก็ไม่ผิด)

ทำไมต้องเก็บสิ่งดีๆ ให้กันปีละหนเฉพาะตอนวันฉลองครบรอบ หรือวันเกิดด้วยล่ะ? อาหารอร่อยๆปรุงสุดฝีมือ คำพูดสวยๆ หรือ "ของขวัญเนื่องในวันอยากให้" ที่ไม่ต้องราคาแพงก็ได้แต่เปี่ยมด้วยความรู้สึกดีๆ เพิ่มมิติของการมีเรื่องเซอร์ไพรซ์ดีๆให้กับคนรอบข้าง

หรือหัดลองสร้างรอยยิ้มในชีวิตให้ได้ในทุกวันที่ดูเหมือนจะน่าเบื่อ ซ้ำซาก จำเจ ด้วย "ความงามอย่างไม่มีเหตุผล" (senseless act of beauty) ดูสิครับ อย่างไม่มีเหตุผลนั้นชี้ให้เห็นว่าไม่ต้อง "คิด" ให้มากครับ ว่าอะไรงาม อะไรไม่งาม ลองปลดปล่อยพลังสุนทรียภาพของเราให้ออกมาเพ่นพ่านดูบ้าง

อาจเริ่มจากสภาพแวดล้อมภายนอก หากที่บ้านปลูกต้นไม้ มีกระถางเล็กๆ ลองยกมาไว้ในบ้าน อาจทำให้มุมที่ดูแข็งๆ อ่อนโยนขึ้น ดอกไม้และการจัดดอกไม้นั้นช่วยได้มากจริงๆ คำโบราณก็ว่าหากมีเงินสองบาท บาทหนึ่งให้ซื้อข้าว ส่วนอีกบาทซื้อดอกไม้นั้นจริง คุณประภาส ชลศรานนท์บอกว่า "อย่างแรกนั้นมันทำให้เรายังชีพ อย่างหลังมันเป็นเหตุผลให้เรามีชีวิตต่อไป" ที่สำคัญเป็นชีวิตที่งามเสียด้วยสิ

ยิ่งหากรู้สึกอยาก "สนุก" จัดดอกไม้ อาจลองจัดแบบญี่ปุ่นทั้งที่ไม่ได้ไปเรียน ไปรู้จักอะไรกับเขาหรอก ก็จัดแบบที่เรา "รู้สึก" ว่าเป็นแบบญี่ปุ่นของเรา ทำไปอมยิ้ม (แบบญี่ปุ่น) ไป สนุกดี

หากรู้สึกบ้านเป็นระเบียบไปหน่อย ลองจัดอะไรให้มันเอียงๆ ไปนิด รูปที่แขวนก็ไม่ต้องตรงเป๊ะซะทีเดียว แก้วกับที่รองก็ไม่ต้องชุดเดียวกันเสมอไป รองเท้าแตะยังใส่สลับคู่กันได้เยอะแยะ แต่งชุดโปรดอยู่บ้านก็ไม่เสียหาย ในทางตรงกันข้ามหากบ้าน "หมัก" มาหลายสัปดาห์ หลายเดือน ลองทำความงามให้เขาสักหน่อยดีไหม งามเป็นมุมๆ ก็ได้ ไม่ต้องทั้งหลัง ปัดกวาดให้ดี หาของงามๆไปวาง พอเดินผ่านทีไรยิ้มออกทุกทีสิน่า

งามสถานที่แล้วงามคนด้วย ความงามที่ทำได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องจ่ายสตางค์ หลายคนลืมไปแล้วว่าทำยังไง และเป็นที่ประทับใจของทุกคนในบ้าน คือ พูดจาอ่อนหวานครับ ทำได้ทุกคนจริงๆ นะ อย่าด่วนหน้าเบ้แล้วบอกร้อยวันพันปีไม่เคยพูดดีจะให้ทำไม่ได้หรอก ไม่ต้องก้าวกระโดดก็ได้ ลองเก็บไว้คำพูดเชือดเฉือนลงบ้าง แล้วบรรยากาศมาคุในบ้านอาจงามขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ลองใส่ ครับ หรือ คะขา ให้เป็นส่วนหนึ่งของวันของเราดู หรือจะเอาแบบสุดๆไปเลย ลองตั้งใจดูว่า "เอาน่ะ วันนี้จะพูดดี ไม่ว่า ไม่กัดใครเลยซักวัน ... จะลงแดงก็ให้รู้กันไป" เขาว่าศรัทธาที่ดีแล้วทำอะไรก็สำเร็จจริงไหม? :-)


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 13 มีนาคม 2548


ชีวิตการทำงานทุกวันนี้พวกเราเคร่งเครียดกันมากเหลือเกิน เรากำลังสูญเสียเอกลักษณ์ความเป็น "สยามเมืองยิ้ม" ไปมากขึ้นทุกที อาจเพราะได้รับสมาทานแนวความคิดการทำงานอย่างเป็นจริงเป็นจัง (หรืออย่างเป็นบ้าเป็นหลัง!?) จากลัทธิทุนนิยม

ความคิด "จริยธรรมการทำงาน" หรือ work ethic นี้เป็นที่รู้กันดีว่ามาพร้อมกับการสร้างประเทศสหรัฐอเมริกาของฝ่ายพิวริตัน ดังที่แม็กซ์ เวเบอร์อธิบายเอาไว้เรื่องการกำเนิดระบบทุนนิยม ว่าความเชื่อทางศาสนาได้ถูกนำมาทำให้เข้ากับสังคมแล้วบอกว่าผู้ที่ถูกพระเจ้าเลือกสรรนั้นต้องมี "ชีวิตการทำงานที่ดี" ด้วย

ทั้งๆ ที่แต่ก่อนวัฒนธรรมของเรามีมิติของ ความสนุกและความรู้สึกเล่นๆ อย่างวิถีเซน วิถีตะวันออก ปนอยู่อย่างแนบเนียนกับชีวิตทุกวัน

การปรับวัฒนธรรมการทำงานของสังคมนั้นยากเพราะมีปัจจัยที่เกินไปจากตัวเราอยู่มาก อย่างไรก็ตามมีวิธีมากมายที่เราสามารถปรับสมดุลของชีวิตในวันทำงานของเราอย่างง่ายๆครับ

ลองมาทำอะไรที่มันง่ายๆ เบาๆ มันๆ น่ารักๆ สนุกๆ กันดีกว่า

"ดีตามสะดวกใจ" (random kindness)

ลองทำอะไรดีๆ ให้กับชีวิต โดยไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ทำดีแบบง่ายๆ ให้กับตัวเอง เพื่อนร่วมงาน หรือคนอื่นๆ สิครับ

เช้ามาอาจแวะซื้อขนมติดมือฝากพนักงานที่คอยเปิดประตูหรือกดลิฟต์ที่ตึก ทำงานเมื่อยๆ เบรกกาแฟ ตอนเดินกลับมาที่โต๊ะก็หยิบน้ำเย็นฝากเพื่อนร่วมงานที่ร้อยวันพันปีเราไม่เคยหาอะไรให้เลย เที่ยงกินไก่ย่างส้มตำก็เก็บกระดูกไก่ไว้เผื่อเจ้าด่างข้างตึก ตกเย็นเลิกงานแล้วก่อนปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ก็อาจส่งอีเมล์ถึงเพื่อนที่ขาดการติดต่อไปชาติหนึ่ง เขียนความรู้สึกดีๆ ที่เรารู้สึกจริงๆ ถึงเขาอาจแค่สองสามบรรทัดก็พอ อย่าลืมส่ง :-) ไปตอนท้ายด้วยล่ะ พอกลับบ้านก็อาจอาสารอเพื่อนที่เราอาจไม่ค่อยสนิทเดินกลับด้วยกัน

เรื่องง่ายๆ พวกนี้ไม่ต้องวางแผน ไม่ต้องคิดให้เหนื่อย พอสบโอกาสทำอะไรดีๆ ให้กับตัวคนอื่นก็ไม่ต้องรีรอครับ ทำแบบธรรมดาๆ ธรรมชาติๆ

แน่นอนเราอาจโดนเพื่อนๆ มองดูด้วยความงุนงงเล็กๆ ว่า เอ วันนี้เธอไปกินอะไรผิดมาหรือเปล่า ... ไม่ต้องกังวลครับ เราทำดีตามสะดวกใจ

การชักชวนรอยยิ้มและความสุขให้เข้ามาในชีวิตเราแบบง่ายๆ อีกวิธีคือ ทำสิ่งที่ "งามโดยไม่ใช้เหตุผล" (senseless act of beauty) ครับ

ไม่มีนิยามที่แข็งตายตัวครับ อะไรก็ได้ที่เราคิดว่ามัน "งาม" น่ะ คิดให้น้อยหน่อย ใช้ใจล้วนๆ หรือให้มากๆ หน่อย (โดยไม่เดือดร้อนใครนะครับ)

ตัวอย่างเยอะแยะไม่รู้จบครับ เช่น ตื่นเช้าแทนที่สลึมสลือรดน้ำต้นไม้ในชุดนอนก็เปลี่ยนใส่ชุดเก่งไปรดน้ำแทน รดไปคุยกับต้นไม้ของเราไป ดื่มกาแฟก็ลองหยิบถ้วยชุดพิเศษที่ปกติมีไว้รับแขกอย่างเดียวมาใช้ หรือไม่ก็ใช้ถ้วยอลูมิเนียมแบบรีโทรก็งามไปอีกแบบ

จะไปทำงานก็ลองให้ชุดทำงานเขาเลือกเราบ้าง หรือไม่ก็ใส่เสื้อกล้ามตัว "สนุก" ของวันนั้นไป ใส่ไปแล้วก็ "สนุก" อมยิ้มได้ทั้งวัน แม้ว่าจะไม่มีใครเขารู้เขาเห็นกับเราก็ตาม (ฮา) ตอนก่อนออกจากบ้านเด็ดดอกไม้ไปแอบใส่แจกันให้เพื่อนโดยที่ไม่ต้องบอกว่าเป็นใคร

หรือนึกสนุกแทนที่วันนี้จะใช้กระดาษโน้ตธรรมดาหรือโพสต์อิทส่งถึงเจ้านาย ก็เอากระดาษพับออริกามิมาใช้แทน ทานเที่ยงกับเพื่อนก็วางเรียงจานชามแก้วน้ำในตำแหน่งที่ไม่เหมือนปกติ เอาแบบที่คิดว่ามัน "โดน" ที่สุดแล้วสำหรับวันนี้ บ่ายๆ ตัดรูปสวยๆ จากนิตยสารแอบใส่สมุดให้เพื่อนร่วมงาน ก่อนกลับบ้านก็เดินไปแวะสถานที่ที่เราคิดว่าวันนี้ "งาม" ซะไม่มีสักหน่อย

มีวิธีอื่นๆ อีกร้อยแปดพันเก้าครับ ...

ลองค่อยๆ เพิ่มส่วนประกอบหรือมิติของความดีและความงามเข้ามาในชีวิตการทำงานประจำวันของคุณดูครับ แล้วจะเห็นว่าโลกทั้งโลกมีของเล่นสนุกๆ ที่ทำให้เราอมยิ้มได้ทั้งวัน ซุกอยู่เต็มไปหมดเลย :-)


ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตวิวัฒน์
หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2548


บอกเล่ากันในภาษาชาวบ้านที่สุดนั้น "จิตวิวัฒน์" เชื่อว่า

๑) มนุษย์ได้เดินมาถึงทาง (ที่ต้อง) เลือกแล้ว

๒) เพราะอะไร?

เหตุผลประการแรก คือ เพราะสถานการณ์ทำให้เราต้องเลือก

สถานการณ์ในโลกปัจจุบันนั้นไม่ได้ "กำลังเข้าสู่วิกฤต" เพราะเราเข้ามาอยู่ในสถานการณ์วิกฤตนานแล้ว ไม่ว่าจะมองไปด้านใดล้วนแล้วแต่มีระเบิดเวลาที่รอเวลาจะระเบิดทั้งสิ้น ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่วิกฤตระดับประเทศหรือภูมิภาค แต่เป็นวิกฤตของมนุษยชาติโดยรวมทั้งหมด

ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ปรากฏการณ์เรือนกระจก ทำให้โลกร้อนขึ้น น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลาย ชาวเอสกิโมจำนวนมากเสียชีวิตจากการตกทะลุลงไปในพื้นที่บางลง ธารน้ำแข็งที่ปกคลุมเทือกเขาแอลป์ในยุโรปตอนกลางมีพื้นที่ลดลงถึงหนึ่งในสามและขนาดลดลงถึงครึ่งหนึ่ง น้ำแข็งที่ละลายเหล่านี้หายไปไหน? น้ำที่ละลายเหล่านี้ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น คาดการณ์กันว่าประเทศและเมืองชายทะเลจะประสบปัญหาอย่างรุนแรง บังคลาเทศจะสูญเสียพื้นที่ถึงหนึ่งในสี่ และต้องอพยพพลเมืองหลายล้านคน เมืองอย่างกรุงเทพจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

ฤดูกาลต่างๆ ผิดเพี้ยนไปจากเดิมอย่างไม่สามารถคาดเดาได้ เดี๋ยวนี้เมืองไทยมีฝนตกได้เกือบทุกเดือน เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๔๘ หิมะตกที่รัฐอินเดียน่าของสหรัฐอเมริกาวันเดียวสูงกว่าสถิติหิมะทั้งปี เมื่อฤดูร้อนปี ๒๕๔๖ คลื่นความร้อนได้คร่าชีวิตชาวฝรั่งเศสที่เป็นประเทศที่เจริญทางด้านวัตถุอย่างมากถึงหนึ่งหมื่นห้าพันคน

ไม่เพียงแต่วิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน ความรุนแรงขัดแย้งระหว่างศาสนา ระหว่างชนเผ่า ระหว่างรัฐกับประชาชน กำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างน่าตกใจ ทั้งในระดับโลก ระดับประเทศ หรือแม้กระทั่งระดับท้องถิ่น

โรคระบาดต่างๆ ก็มีทีท่าว่าจะรุนแรงมากขึ้น นักวิชาการหลายท่านคาดว่าไข้หวัดนกจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง อาจมีผู้เสียชีวิตถึงสามล้านคน

เหตุผลที่สอง คือ สถานการณ์เหล่านี้ ปัญหาเหล่านี้ แม้มีส่วนที่เป็นเรื่องทางเทคนิค แต่มีรากเหง้ามาจาก "วิธีคิด" การมอง และการแก้ปัญหา

เราอาจพูดว่าปัญหาความรุนแรงต้องใช้มาตรการทางกฎหมายและการปกครองเข้าแก้ไข เราอาจเสนอทางออกให้ลดปัญหาภาวะโลกร้อนได้ด้วยการพยายามใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบใหม่ เราอาจพัฒนาระบบเตือนภัยเพื่อป้องกันหายนะภัยจากธรรมชาติ แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาในเชิงเทคนิค ซึ่งบ้างไม่สามารถแก้ปัญหาได้ บ้างก็ก่อให้เกิดปัญหาใหม่ตามมา

ที่มาหรือรากเหง้าของปัญหาอยู่ที่ "วิธีคิด" ของเราในการมองโลกและชีวิตอย่างคับแคบแยกส่วน สังคมส่วนใหญ่ รวมถึงนักวิชาการด้วย ยังเห็นว่าโลกเป็นเพียงแหล่งทรัพยากรที่ใช้ไม่มีวันหมดสิ้น เชื่อว่าการดำรงอยู่ร่วมกันของมนุษยชาติอยู่บนพื้นฐานการแข่งขันอย่างเสรี โลกทัศน์เหล่านี้เป็นทั้งที่มาของปัญหา ที่มาของวิธีคิดที่ใช้มองและแก้ปัญหาเดียวกัน ซึ่งทำให้เป็นงูกินหางไม่รู้จบ

เป็นที่ยอมรับกันมากขึ้นว่าความรู้วิทยาศาสตร์กระแสหลัก ที่นำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุแต่อย่างเดียวนั้นไม่สามารถใช้ในการสร้างทางออกที่ยั่งยืนได้ ดังที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์กล่าวว่า "ถ้ามนุษยชาติจะอยู่รอดได้ ต้องการวิถีคิดใหม่โดยสิ้นเชิง"

เหตุผลที่สาม คือ เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ การวิวัฒนาการทางกายนั้นช้า มันไม่ทันการณ์แล้ว ภายใต้วิกฤตต่างๆที่ก่อตัวและทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะนี้ มนุษย์ในฐานะสิ่งมีชีวิตนั้นไม่สามารถมีวิวัฒนาการทางกาย เปลี่ยนแปลงไปได้ทัน เราไม่มีเวลาที่จะรอกระบวนการวิวัฒนาการที่อาศัยเวลาเป็นหมื่นเป็นแสนปีแล้ว มนุษยชาติได้เดินทางมาถึงทางแพร่งที่ต้องเลือกแล้ว

๓) เลือกอะไร?

ทางเลือกของเรา คือ เลือกที่จะเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเราตระหนักถึงปัญหาและวิกฤตตรงหน้า หรือเลือกที่จะไม่ทำอะไรและไม่พยายามจะเปลี่ยนแปลงอะไรเลย

หากเราเลือกที่จะทนกับสภาพสังคม สิ่งแวดล้อมเช่นปัจจุบันแบบนี้ต่อไป เลือกที่จะเพิกเฉยต่อข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จำนวนมาก สัญญาณหายนะต่างๆนับไม่ถ้วน ที่สุดแล้วเราจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่บังคับให้เราต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอยู่ดี แถมยังเจ็บปวดอย่างยิ่งอีกด้วย

หรือหากเราเลือกที่จะรีบเรียนรู้ เราเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เจ็บปวดบ้างไม่มากนัก และเกิด "จิตวิวัฒน์" เราได้เลือกที่จะเผชิญหน้าปัญหา หาทางรอดให้กับมนุษยชาติ โดยใช้ปัญญา นอกกรอบวิธีคิดแบบเดิมๆที่ผ่านมา

๔) เกิด "จิตวิวัฒน์" หมายถึงอะไร?

การวิวัฒนาการทางกายของมนุษย์นั้นไม่ทันกับวิกฤตที่อยู่เบื้องหน้าแล้ว ทางออก ทางรอดของมนุษยชาติจึงอยู่ที่การเปลี่ยนจากการมองโลกแบบแยกส่วน เน้นวัตถุและความแน่นอน มาสู่การมองโลกและชีวิตอย่างเป็นองค์รวม เน้นจิตใจและความสัมพันธ์ และการที่สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

จิตวิวัฒน์ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงระดับขั้นพื้นฐานของจิตใจ จิตวิญญาณ จากจิตเล็กไปสู่จิตใหญ่ หรือ จิตสำนึกใหม่ (New Consciousness) จากความคับแคบของตัวเองไปสู่จิตที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ

จิตเล็ก คือ ความรู้สึกนึกคิดที่แคบๆ เห็นอะไรแต่เพียงบางส่วน ทำให้เกิดความบีบคั้นเพราะขัดแย้งกับธรรมชาติ ส่วนจิตใหญ่ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิดที่มีพื้นที่กว้างขวาง มองเห็นเชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชีวิตและธรรมชาติ เห็นค่าของผืนดินที่เราอาศัยและเติบโต รวมถึงสายน้ำที่เราได้ใช้หล่อเลี้ยงชีวิต ตลอดจนสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ล้วนส่งผลซึ่งกันและกันอย่างแยกขาดกันไม่ได้

จิตวิวัฒน์ ทำให้การอยู่ร่วมกันของมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับธรรมชาติมีได้อย่างสันติ ทำให้มนุษย์เห็นคุณค่าของคนรอบข้าง เห็นความงามของทุกสิ่งรอบตัว เมื่อนั้นเราจึงจะก้าวข้ามความคิดคับแคบที่เคยมองโลก นำไปสู่การแก้วิกฤตต่างๆที่โลกเผชิญอยู่ที่ต้นเหตุของปัญหา โดยอยู่บนพื้นฐานของความรักและความเคารพในกันและกัน ทั้งกับเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติ

กระบวนการในการเข้าถึงการมีจิตใหญ่นั้นมีมากมาย หลากหลาย เช่น ขยายขอบเขตของการรับรู้ผ่านกระบวนการทางศิลปะ ผ่านการเจริญสติ ผ่านงานอาสาสมัคร หรือการเข้าถึงธรรมชาติ เป็นต้น ขณะนี้ทั่วโลกกำลังเกิดกระแสความพยายามที่จะขยายขอบเขตของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันออกไปอย่างกว้างขวาง

๕) ย้ำอีกทีว่า ... เราไม่เปลี่ยนไม่ได้แล้ว และการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เจ็บปวดเลยนั้นไม่มี

๖) แล้ว คลื่นยักษ์จากอันดามัน บอกอะไรกับเรา?

สึนามิบอกเราดังข้อ ๑ ถึง ๕ ข้างต้นนั่นเอง! ๑) สึนามิบอกเราว่าพวกเราได้เดินมาถึงทางที่ต้องเลือกแล้ว ๒) สึนามิบอกเราว่าที่เราต้องเลือก เพราะ เรากำลังอยู่ท่ามกลางวิกฤต วิกฤตทาง "วิธีคิด" ไม่ใช่ปัญหาแค่ระดับทางเทคนิค และเป็นวิกฤตที่มนุษย์รอการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายไม่ทันแล้ว สึนามิชี้ให้เห็นทุกข์ที่เกิดขึ้นได้ในพริบตา เห็นถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิต

๓) สึนามิบอกเราว่าเราสามารถเลือกได้ว่าจะเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของเราตั้งแต่วันนี้ หรือจะทนเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนภัย เสมือนเสียงไซเร็นที่อยู่เบื้องหน้า เราเลือกได้ว่าจะยังคงมองปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นต่างๆด้วยชุดความคิดเดิม หรือจะเกิด "จิตวิวัฒน์"

๔) สึนามิ บอกเราว่าในท่ามกลางความทุกข์แสนสาหัสที่เกิดขึ้น โอกาสแห่งการเติบโต เรียนรู้นั้นอยู่คู่เคียงกัน สึนามิได้แสดงให้เห็นถึงโอกาสแห่งการเกิดจิตวิวัฒน์ การก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวตนไปสู่การให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ผ่านรูปธรรมตัวอย่างที่มากมาย เช่น การหลั่งไหลมาของคลื่นพลังน้ำใจอันมหาศาลของมนุษย์ที่หลั่งไหลมาอย่างมากมาย การแสดงตนของอาสาสมัครทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ผิวพรรณ วรรณะ ที่สำคัญสึนามิยังแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเจริญสติว่าเป็นรากฐานของสุขภาวะทางจิตวิญญาณอย่างยิ่ง เป็นหัวใจของการมีจิตใหญ่ มีความรักแท้ที่ยิ่งใหญ่ ที่เชื่อมโยงถึงเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ สรรพสัตว์นานา และธรรมชาติทั้งหมด

และท้ายที่สุด ๕) นอกจากสึนามิ จะบอกเราว่าเราไม่เปลี่ยนไม่ได้แล้ว อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เจ็บปวดเลยจะไม่มีก็ตาม สึนามิ (และกลุ่มจิตวิวัฒน์) ก็ยังชี้ให้เราเห็นถึง ความจริง ความดี ความงาม และ ความหวังของมนุษยชาติ ที่ยังมีอยู่ด้วยเช่นกัน


ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตวิวัฒน์
หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 8 สิงหาคม 2547


ผมขอไม่แสดงความเห็นเรื่องว่า "ใครผิดใครถูก" ระหว่างคุณปุระชัย และคุณหมอประกิต กับกรณีโครงการของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

กรณีดังกล่าวการทำความจริงโดยรอบด้านให้ปรากฏนั้นมีความสำคัญ โดยทุกฝ่ายรวมถึงสังคมโดยรวมด้วย จะต้องข้ามความคิดแบ่งฝักแบ่งฝ่ายออกไป ก้าวให้พ้นแนวคิดแบบ "You are either with us, or against us" (หากคุณไม่อยู่ข้างเรา ก็ต้องเป็นศัตรูของเรา) เพราะความคิดเช่นนี้บีบคั้น อยู่ในข้อจำกัดว่าหากมีผู้ชนะก็ต้องมีผู้แพ้ ลดทอนความจริงที่มีหลายมิติหลายด้านให้เหลือเพียงถูก-ผิด ขาว-ดำ หรือ ดี-เลว

ควรกลับมาพิจารณาว่า การตั้งคำถามเช่นว่านี้เหมาะสมหรือไม่? ช่วยให้อะไรดีขึ้นอย่างไร? การตั้งคำถามอย่างไรจึงจะเป็นการสร้างสรรค์ ทำให้ทุกฝ่ายได้หันหน้าเข้าหากัน และเอางาน เอาการทำความดีเพื่อสังคมเป็นตัวตั้ง? คำถามและคำตอบประเภทใดที่จะช่วยกันสร้าง "ระบบ" ที่เอื้อต่อการทำความดีของทุกฝ่ายได้?

แต่ประเด็นที่ผมเห็นว่ามีความสำคัญมาก ที่ผู้เกี่ยวข้องต้องพึงพิจารณาใคร่ครวญให้ดี คือ เรื่อง จุดมุ่งหมายของการทำความดี คำถามที่เวลานี้เราได้ยินมากที่สุดคำถามหนึ่งคือ "ทำดีได้ดีมีที่ไหน?" (บางทีมีสร้อยต่ออีกว่า "ทำชั่วได้ดีมีถมไป")

คำถามดังกล่าวนี้สำคัญ เพราะบอกถึงบรรยากาศการทำความดีของสังคม เป็นตัวชี้วัดวุฒิภาวะหรือพัฒนาการของสังคมต่อการทำความดี ซึ่งเป็นหัวใจของความเป็นมนุษย์และสังคมที่สงบร่มเย็น จึงควรที่จะมีการเปิดเป็นประเด็นสาธารณธ ให้มีการพินิจพิเคราะห์ให้ดี เชิญชวนผู้ทรงคุณวุฒิ ปราชญ์ของแผ่นดินออกมาแสดงความคิดเห็น เชื่อมโยงให้เกิดเป็น "ปัญญาใหญ่" ของสังคม ให้เกิดช่องทางปัญญาแก่สังคม เพราะสังคมไทย สังคมโลก ในมนุษยชาติจะอยู่รอดหรือไม่ มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำความดีของมนุษย์

ผมเองไม่ใช่ผู้ทรงคุณวุฒิและยิ่งไม่ใช่ปราชญ์ แต่เห็นว่าคำถามนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง จึงขอลองเริ่มเปิดประเด็นเพื่อชักชวนให้มีการพูดคุยกัน

หากเป็นผมก็จะตอบแบบกวนๆนิดๆ (แต่จริงจัง) โดยเริ่มจากนิทานเซ็นที่ผมชอบมาก เป็นบทสนทนาระหว่างตันซาน พระเซ็นชื่อดังของญี่ปุ่นและสีกาท่านหนึ่ง

"หลวงพ่อคะ คนตายแล้วไปไหน?" สีกาปุจฉา พระตันซานเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหยิบเทียนที่ติดอยู่มาเป่าให้ดับ แต่ไม่กล่าวตอบอะไร หลังจากเงียบไปอีกพักใหญ่ สีกาผู้นั้นรู้สึกอึดอัดกระสับกระส่าย ตันซานจึงเอ่ยถามว่า "เธอพอใจกับคำตอบของเราหรือไม่?" สีกาตอบ "ไม่ค่ะ" ตันซานยิ้มแล้วบอกว่า "เราก็ไม่พอใจกับคำถามของเธอเหมือนกัน"

การทำความดีนั้น "ดี" โดยตัวมันเอง ไม่ต้องการการลงทะเบียน เทียบค่า ยอมรับ หรือประทับตราจากใคร หรือแม้กระทั่งการได้ทำความดีแล้วมีผู้เข้าใจผิด เห็นเป็นอื่น ก็ใช่ว่าจะทำให้การทำความดีนั้นมัวหมองไปได้ เป็นเช่นนั้นเอง เป็นธรรมดาของการทำความดี

คนที่ทำดีแล้วมีความสุข สุขเพราะรู้แจ้งว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้องและดีงาม (ไม่ว่าสังคมจะเห็นว่าเป็นอย่างไร เข้าใจถูกหรือผิด) นี่เรียกว่า เป็นคนที่มีสุขภาวะทางปัญญา คือมีสุขภาวะที่เกิดจากการมีจิตใจสูง

องค์กรที่ทำความดีแล้วมีความสุข สุขเพราะรู้แจ้งว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้องและดีงาม (ไม่ว่าสังคมจะเห็นว่าเป็นอย่างไร เข้าใจถูกหรือผิด) นี่เรียกว่า เป็นองค์กรที่มีสุขภาวะทางปัญญา คือมีสุขภาวะที่เกิดจากการมีจิตใจสูง

หน้าที่ของสังคมโดยรวม และโดยเฉพาะ สสส. ในการส่งเสริมสุขภาวะทางปัญญา หากกล่าวอย่างง่ายก็คือ ส่งเสริมให้คนได้ทำความดี และให้คนได้มีความสุขจากการทำความดีนั้นด้วย

ถ้าให้ดียิ่งขึ้นก็แสดงให้เห็นด้วยว่า ทำได้อย่างไร?

หากส่งเสริมให้คนได้ทำความดีแล้ว คนนั้นยังไม่มีความสุข (ไม่ว่าจะเกิดจากไม่มีใครไปรับรู้ ไปยกย่อง หรือเกิดจากมีคนเข้าใจผิด หรือเหตุอื่นๆ)นี่แสดงว่ายังไม่ประสบความสำเร็จ อาจจะยัง "ติดดี" แสดงว่ายังขาดปัญญา ต้องช่วยกันทำให้เกิดปัญญา ให้เห็นว่าการทำดีนั้น ควรทำเพราะว่ามัน "ดี" โดยตัวมันเอง และเมื่อได้ทำดีแล้ว "ดี" เลย ไม่ว่าจะมีใครเห็น ไม่เห็น หรือเข้าใจเป็นอย่างอื่น

สสส. มีแผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ ที่ส่งเสริมให้สังคมมีสุขภาวะจากการมีจิตใจสูงทั้งประเทศ โดยการสร้างช่องทางที่ให้สมาชิกทุกคนได้มีประสบการณ์ตรง เข้าถึงความสุขอันประณีต ผ่านช่องทางที่มากมาย หลากหลาย และทั่วถึง

ความสุขอันประณีตนั้นอาจหมายถึง ความสุขที่ไม่ได้เกิดจากการเสพอย่างหยาบๆ จากการได้ จากการมีแบบโลกๆ แต่หมายถึง ความสุขจากการขัดเกลาตนเอง ทำให้เกิดปัญญา สงบเย็น เป็นประโยชน์ ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพส่งเสริมให้ผู้คนรู้จัก เข้าใจ มีประสบการณ์ตรงถึงการมีสุขภาวะทางปัญญา (เหมือนนิพพานชิมลองที่ท่านพุทธทาสว่า) อีกทั้งยังบอกเล่าได้ และสร้างโอกาสให้คนอื่นๆมีสุขภาวะจากการทำความดีกันให้มากๆได้ด้วย

การส่งเสริมสุขภาวะในมิตินี้ไม่เพียงแต่มีรูปธรรมชัดเจน ทำได้จริง ทั้งยังทำได้ง่ายด้วย เพราะทำได้ทุกคน ทุกเวลา ไม่จำกัดเพศ ชนชั้น อายุ สถานะทางสังคม เศรษฐกิจ และอื่นๆใดๆทั้งสิ้น ทำคนเดียวก็ได้ ทำเป็นกลุ่ม เป็นครอบครัว เป็นองค์กรก็ได้ เป็นสิ่งที่ทำได้และให้ผลได้ไม่จำกัดเวลา เป็นสุขภาวะประเภทที่ลงได้ทำแล้วก็ "ดี" ทุกครั้งไป แถมยังได้ผลทันทีด้วย จึงเป็นสิ่งที่ควรชวนผู้ที่ยังสงสัยให้มาพิสูจน์

ในวาระที่ "สุขภาวะทางปัญญา" กำลังถูกตั้งคำถามจากสังคม นี่เป็นโอกาสอันดีที่สุดโอกาสหนึ่งที่ สสส. จะได้สร้างความเข้าใจ และแสดงให้เห็นว่า ความสุขอันประณีต สุขภาวะจากการทำความดี สุขภาวะจากการมีจิตใจสูงนั้นเป็นอย่างไร และเข้าถึงได้อย่างไร


ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตวิวัฒน์
หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 10 กรกฎาคม 2547


"ทุกวันนี้ผมมีนามบัตรสองใบ ใบหนึ่งแสดงถึงธุรกิจของผม อีกใบหนึ่งแสดงถึงตัวตนของผม" คุณปรีดา เตียสุวรรณ์ กล่าวในงานอบรมเรื่อง "จิตสำนึกใหม่ของผู้นำ" โครงการวิทยาลัยเอสวีเอ็น (SVN College) ที่เครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Social Venture Network: SVN) จัดขึ้น และผมได้มีโอกาสเข้าไปร่วมเมื่อต้นสัปดาห์นี้

คุณปรีดาเล่าให้กลุ่มกัลยาณมิตรฟังว่า ตนเองจะมีนามบัตรใบหนึ่ง ในฐานะประธานกรรมการบริหารของบริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด เพื่อใช้สำหรับติดต่องานกับนักธุรกิจโดยทั่วไป ส่วนอีกใบหนึ่งคือ คุณปรีดา ในฐานะประธานกรรมการเครือข่าย SVN ซึ่งเป็นเครือข่ายที่มุ่งส่งเสริมจิตสำนึกทางธุรกิจที่นำไปสู่การเคารพสิ่งแวดล้อม คำนึงถึงสิทธิของชุมชนและสังคม ตลอดจนการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจที่ยุติธรรมสำหรับทุกฝ่าย

เวลาจะแนะนำตัว ก็ต้องนึกก่อนว่า "เอ! คนนี้เราจะให้ใบไหนดี?"

ปรากฏว่า คุณปรีดาไม่ได้เป็นคนเดียวที่มีนามบัตรสองใบ ยังมีเพื่อนๆ นักธุรกิจที่มาเรียนรู้ด้วยกันอีกหลายคน ที่ถือนามบัตรสองใบด้วยเช่นกัน

เมื่อก่อนโลกของนักธุรกิจเหล่านี้แยกออกเป็นสอง โลกหนึ่งเป็นโลกธุรกิจ การประกอบอาชีพ การทำมาหากินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว อีกโลกหนึ่งเป็นโลกนอกภาคธุรกิจที่คนเหล่านี้ก็อยากมีครอบครัวที่อบอุ่นอยากเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม อยากมีสุขภาวะที่ดีและมีส่วนสร้างสุขภาวะที่ดีแก่คนอื่นๆ ด้วย

แต่ทุกวันนี้ คุณปรีดา และเพื่อนๆ มีคุณประสาร มฤคพิทักษ์ คุณสมลักษณ์ หุตานุวัตร และคุณวัลลภา คุณติรานนท์ เป็นอาทิ มีเป้าหมายที่จะทำให้โลกทั้งสองผสานเป็นหนึ่ง ทำนามบัตรให้เป็นใบเดียว

ในการดังกล่าวต้องอาศัยความรู้ ทักษะ การฝึกฝนตนเอง และการปรับเปลี่ยนในหลายระดับ จึงเป็นที่มาของโครงการวิทยาลัยเอสวีเอ็น ที่กลุ่มจะได้เรียนรู้และฝึกปฏิบัติจริงร่วมกันจนเห็นผล อย่างน้อยในสามเรื่องหลัก คือ มณฑลแห่งพลัง สุนทรียสนทนา (Dialogue) และการบริหารจัดการองค์กรในวิทยาศาสตร์ใหม่ (หลักการทั้งสามนี้ สมาชิกกลุ่มจิตวิวัฒน์ได้นำเสนอจากมุมมองต่างๆ ผ่านสื่อ ทั้งในคอลัมน์นี้และอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง)

ความรู้ที่ใช้ในกระบวนการอบรมเป็นความรู้ใหม่ที่สุดในโลก อยู่ที่พรมแดนของความรู้ (frontier of knowledge) โดยการนำเอาทั้งความรู้ด้านศาสนธรรมและด้านวิทยาศาสตร์ใหม่มาใช้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรู้ใหม่ล่าสุดเกี่ยวกับการทำงานของสมอง ทฤษฎีระบบ (System Theory) ทฤษฎีไร้ระเบียบ (Chaos Theory) หรือแม้แต่ควอนตัมฟิสิกส์ (Quantum Physics)

เพราะวิทยาศาสตร์เก่าและกระบวนทัศน์เก่าที่แยกส่วนและเน้นสสารวัตถุ อธิบายความจริงได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เช่น การประยุกต์ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส ดาร์วิน ที่กล่าวถึงกระบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติ และการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมที่สุด มาใช้ในการอธิบายสังคมมนุษย์ หรือที่เรียกว่า โซเชียลดาร์วินนิสซึ่ม (Social Darwinism) การอธิบายโลกเช่นนี้เป็นการอธิบายที่คับแคบ มองโลกเป็นเรื่องของการแข่งขันเท่านั้น

สังคมที่ภาคธุรกิจมีความคิดเช่นนี้ ก็จะเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความเดือดร้อน เพราะมุ่งเน้นที่การหากำไรสูงสุด ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อใครเลย สิ่งแวดล้อมก็จะแย่เพราะมีกระบวนการผลิตที่ไม่เหมาะสม พนักงานไม่มีความสุขเพราะถูกกดขี่แรงงาน ตัวเจ้าของกิจการเองก็เครียดเพราะต้องคิดเรื่องเงินๆ ทองๆ ตลอดเวลา สุขภาพก็แย่ทั้งทางกาย ทางจิต ทางสังคม และจิตวิญญาณ

ในขณะที่วิทยาศาสตร์เก่าเชื่อว่า โลกคือการต่อสู้แข่งขัน แต่วิทยาศาสตร์ใหม่อธิบายว่า โลกที่แท้จริงคือ โยงใยแห่งความสัมพันธ์ ที่ทุกชีวิตล้วนเชื่อมโยง ถักทอ เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน

สิงโตที่ล่ากวาง ก็ล่าแค่เพียงพอต่อความอยู่รอด เราไม่เคยเห็นสิงโตล่าอาหารเพราะความละโมบโลภมาก เก็บสะสมเอาไว้เป็นทรัพย์สมบัติของตน ไม่ต้องตื่นขึ้นมาล่าสัตว์ตั้งแต่ไก่โห่ยันพระอาทิตย์ตกดิน แต่ล่าเพียงแค่พอกิน แล้วก็นอนพักผ่อน

ในธรรมชาติมีระบบที่สร้างความสมดุล ไม่มีสิ่งใดเป็น "ของเสีย" (waste) สิ่งขับถ่ายของสิ่งมีชีวิตหนึ่งเป็นอาหารหรือปัจจัยต่อการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตอื่น แม้แต่ความตายก็เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนหมุนเวียน ไหลเลื่อนเคลื่อนที่ไปตามเหตุตามปัจจัย

ในขณะที่วิทยาศาสตร์เก่าเชื่อว่า คนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่อสู้แก่งแย่งชิงดีกัน แต่วิทยาศาสตร์ใหม่อธิบายว่า แม้มนุษย์จะมีกิเลสอยู่ แต่ทุกคนนั้นมีเมล็ดพันธุ์แห่งโพธิ เมล็ดพันธุ์แห่งความดีอยู่ มนุษย์มีศักยภาพในการก้าวข้ามขอบเขตของการคิดถึงแต่ตัวเอง และหันกลับมาให้ความสำคัญต่อความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงสัมพันธ์กันของทุกองคาพยพของสังคม

หากภาคธุรกิจซึ่งมีพลังมาก ได้เห็นและเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ตนเองมีศักยภาพในการทำความดีได้มากเช่นนี้แล้ว โลกจะมีความงดงามขึ้นอีกมาก

หากเราทำเรื่องจิตวิวัฒน์ในภาคธุรกิจให้เป็นจริง เจ้าของกิจการก็จะมีสุขภาพดี เพราะไม่ต้องทำงานเกินกว่าที่ควร มีเวลาออกกำลังกาย มีเวลาให้กับครอบครัวและเพื่อนฝูง

เมื่อคิดเผื่อแผ่ไปถึงพนักงานของบริษัท ก็จะมีระบบและบรรยากาศการทำงานที่ดี สวัสดิการที่เหมาะสม

หากคิดได้กว้างไกลมากขึ้น ไปถึงลูกค้าของบริษัท เราก็จะได้สินค้าและบริการที่มีคุณภาพสูง และหากนักธุรกิจมีจิตที่ใหญ่ เราก็จะมีภาคธุรกิจที่มีกระบวนการผลิตและบริการที่เป็นมิตรต่อทั้งสังคมและสิ่งแวดล้อม

กระบวนการเรียนรู้แบบเครือข่ายเอสวีเอ็น เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ผ่านชุมชนปฏิบัติการ (community of practice) ที่มากมายและหลากหลายรูปแบบ เช่น วิทยาลัยอาศรมศิลป์ ที่เน้นการเรียนรู้และพัฒนาตนเองผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ศิลปะ กลุ่มวงล้อ เครือข่ายครู ชาวบ้าน นักวิชาการ โครงการวิทยาศาสตร์ท้องถิ่น ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กลุ่มจิตวิวัฒน์เชียงราย กลุ่มทันตบุคลากรเชียงราย กลุ่มเครือข่ายผู้ทำงานสังคมของมูลนิธิอโชก้า รวมไปถึงเครือข่ายเรียนรู้ทางอินเตอร์เน็ต เช่น กลุ่มการเรียนรู้ระหว่างเจ้าของโรงแรม แพทย์ นักการศึกษา นักพัฒนาสังคมในประเทศไทย-ฝรั่งเศสอีกด้วย

ชุมชนปฏิบัติการจิตวิวัฒน์ต่างๆ เช่นนี้ ควรส่งเสริมให้เกิดขึ้นมากๆ และเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่มีพลัง

เพราะอนาคตของมนุษยชาติอยู่ที่การมีจิตใหญ่หรือจิตใจสูง เป็นการพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ เพื่อให้สังคมมีสุขภาวะจากการมีจิตใจสูงทั้งโลก


ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตวิวัฒน์
หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 8 พฤษภาคม 2547


เวลาคุณได้ยินคำว่า "จิตวิวัฒน์" แล้วนึกถึงอะไร?

คุณนึกถึงอะไรที่ยากๆ หรือเป็นนามธรรมหรือเปล่า?

คุณคิดว่ามันคืออะไรที่ไม่น่าจะเกี่ยวกับคุณใช่ไหม?

หากคุณเคยมีความรัก กำลังตกหลุมรัก หรือหวังว่าจะพบรัก คุณก็น่าจะได้รู้จัก "จิตวิวัฒน์" เพื่อที่จะได้เข้าใจความรักของคุณมากขึ้น!

ในที่ประชุมจิตวิวัฒน์ครั้งหนึ่ง คุณเดวิด สปิลเลน ได้เล่าถึงการประชุมประจำปีของสถาบันโนเอติกไซนส์ (www.noetic.org) ที่ทำงานเรื่องการปฏิวัติจิตสำนึก (Consciousness Revolution) ว่ามีการพูดคุยกันอย่างกว้างขวางถึงความท้าทายทางสังคมและวัฒนธรรมที่มนุษยชาติกำลังเผชิญอยู่ คือ "การที่เราต้องเป็นที่พักสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้ายให้กับกระบวนทัศน์เก่าและเป็นหมอตำแยสำหรับกระบวนทัศน์ใหม่" (To become a hospice to the old and a midwife to the new paradigm)

กระบวนทัศน์เก่า (ที่คุณหมอประสาน ต่างใจ เรียกในคอลัมน์นี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า กระบวนทัศน์ "สมัยใหม่" แต่ "เก่าเดิม")

เกิดพร้อมการปฏิวัติวิทยาศาสตร์เมื่อสามร้อยกว่าปีที่แล้ว นำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่างๆ แต่เป็นความคิดความเข้าใจโลกที่มีลักษณะของโลกแบบแยกส่วน เน้นวัตถุ และเชื่อในความสามารถทำนายผลล่วงหน้าได้

ทำให้มนุษย์มีจิตเล็ก เข้าใจโลกอย่างแคบๆ

ส่วนกระบวนทัศน์ใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นนั้นมองโลกอย่างเป็นองค์รวม ทำให้มนุษย์มีจิตสำนึกใหม่ (New Consciousness) หรือจิตที่ใหญ่ ที่ไม่บีบคั้น ไม่ขัดแย้งกับธรรมชาติ ก่อให้เกิดความเป็นอิสระ ความรัก และความสุข

สิ่งที่พวกเราทุกคนสามารถทำได้ก็คือ สร้างความเข้าใจในธรรมชาติของคำอธิบายโลกแบบเก่า ที่ใช้การไม่ได้ ต้องถูกแทนด้วยกระบวนทัศน์ใหม่

เราไม่ควรไปซ้ำเติม แต่ควรให้ความรัก และช่วยให้กระบวนทัศน์เก่าจากไปด้วยความมีศักดิ์ศรี

ในขณะเดียวกันก็ต้องพยายามเรียนรู้ เตรียมพร้อม และช่วยเหลือให้กระบวนทัศน์ใหม่หรือจิตสำนึกใหม่เกิดขึ้น

เรื่องที่คุณเดวิดเล่าเกี่ยวกับการดูแลการเกิด-การตายของกระบวนทัศน์ ชวนให้ผู้เขียนรู้สึกว่าเราเองต้องให้ความรักแก่กระบวนทัศน์เหมือนให้ความรักแก่คน ทั้งที่กำลังเกิดและกำลังจะตาย ผู้เขียนนึกถึงความรักรูปแบบต่างๆ ทั้งความรักที่เรามีให้แก่ผู้หลักผู้ใหญ่ คุณพ่อคุณแม่ (ยิ่งเพิ่งจะผ่านวันครอบครัวและวันผู้สูงอายุมาไม่นาน) รักที่เราให้มีกับแฟน (รวมทั้งแฟนคลับ) รวมรักที่มีให้แก่เด็กๆ และรักอื่นๆ อีกมากมายหลายเฉดสี

แล้ว "ความรักคืออะไร"

พอล เมย์คิช เพื่อนสนิทของผู้เขียนที่เป็นคริสเตียน นักคิด และหนอนหนังสือ เล่าให้ฟังว่า ชาวกรีกโบราณนั้นมีคำที่ใช้เรียกความรักถึงอย่างน้อยห้าคำ คือ storge, hybris, eros, philia และ agape

คำว่า storge (สตอร์เก้) เป็นคำเบาๆ ที่มีความหมายไปทาง "ชอบ" มากกว่ารัก

ส่วนคำว่า hybris (ไฮบริส) หมายถึงความรักตนเอง ที่เป็นฐานของความเย่อหยิ่ง

คำว่า eros (อีโรส) นั้นเป็นชื่อลูกของเทพอะโฟรไดท์ หรือวีนัส หรือที่คนมักรู้จักกันในชื่อ คิวปิดนั่นเอง คำคำนี้เป็นที่มาของคำว่าอีโรติกด้วย โดยทั่วไปหมายถึงความรักแบบโรแมนติก

อีกคำคือ philia (ฟิเลีย) เป็นความรักที่พบในมิตรภาพ ในหมู่เพื่อน ในครอบครัว รักพ่อรักแม่ หรือในมนุษยชาติ อย่างที่เมืองฟิลาเดลเฟียนั้น หมายถึงเมืองแห่งความรักของพี่น้องหรือภราดรภาพ

คำสุดท้ายคือ agape (อะกาเป้) ใช้ในความหมายถึงการได้รับ การให้ความเคารพ โดยมีนัยะถึงพระเจ้า ความรักแบบนี้ไม่ให้ความรู้สึกน่าทึ่ง อัศจรรย์ วูบวาบเหมือนรักแบบโรแมนติก หรือความรู้สึกอบอุ่นแบบฟิเลีย แต่กลับให้ความรู้สึกกลางๆ มีลักษณะไปทางจิตวิญญาณหรือจิตปัญญา ไม่มีสีสันไม่ปรุงแต่ง ไม่ติดยึด ไม่เรียกร้อง

ความรักแบบที่สี่และโดยเฉพาะแบบที่ห้านี้หรือเปล่าหนอ ที่ก่อให้เกิดความรักที่เป็นอิสระ ข้ามพ้นการแบ่งเขาแบ่งเรา แบ่งพรรคแบ่งพวก เป็นความรักแบบจิตใหญ่ที่แท้จริง

เรื่องความรักในการดูแลระยะสุดท้ายและทำคลอดกระบวนทัศน์ บวกกับเรื่องความรักห้าแบบของกรีก ทำให้ได้คิด ได้สัมผัสความลึกซึ้งและงดงามของความรักในรูปแบบต่างๆ

และที่น่าทึ่งคือทั้งสองเรื่องไม่ได้มีความหมายโดดๆ หรือขัดแย้งกัน แต่สอดประสาน ซ้อนเหลื่อม เสริมพลัง เหมือนกับให้ภาพที่ซ้อนชัดขึ้นๆ

ดังที่อาจารย์วิศิษฐ์ วังวิญญู อธิบายว่า เหมือนกลับมาที่เดิม ที่ไม่ใช่ที่เดิม เป็น spiral dynamic หรือแบบเกลียวสปริง เป็นการเรียนรู้ของสมอง ที่เป็นข่ายใย ไม่ใช่เชิงเส้น ทำให้เราเชื่อมโยงความคิด ความเชื่อ ความเข้าใจต่างๆ ได้ดีขึ้น และในหลายบริบทมากขึ้น

ตัวอย่างเรื่องความรักนี้ยังทำให้ผู้เขียนได้สัมผัสชัดเจนขึ้นถึงถ้อยคำที่ว่ากระบวนทัศน์ใหม่นั้นไม่ได้ละทิ้งหรือปฏิเสธกระบวนทัศน์เก่า หากแต่ก้าวพ้นและครอบคลุม (transcend and include) คือ อธิบายของเดิมได้หมด

แถมยังอธิบายสิ่งอื่นได้เพิ่มอีกด้วย ดังเช่น การที่ความรักแบบอะกาเป้และฟิเลีย เข้าใจและโอบอุ้มความรักแบบอื่นๆ ไว้ได้หมด

ภายในประเทศของเราก็มีตัวอย่างรูปธรรมของกลุ่มคนที่พยายามเรียนรู้และประยุกต์ใช้ความรักและความรู้ในกระบวนทัศน์ใหม่เพื่อเข้าใจและแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อนอยู่พอสมควร

อาทิ กลุ่มจิตวิวัฒน์ ที่ประกอบด้วยคณะผู้ทรงคุณวุฒิด้านจิตวิวัฒน์ กระบวนทัศน์ใหม่ และการสร้างเสริมสุขภาวะทางจิตวิญญาณ มีการพบปะกันทุกเดือนเพื่อศึกษาและเผยแพร่จิตสำนึกใหม่

กลุ่มเชียงราย-แพร่ เป็นเพื่อนๆ จากหลากหลายวิชาชีพ ที่ได้ลองเอาเรื่องราวความรู้เกี่ยวกับจิตใหญ่มาทดลองปฏิบัติกับตนเองในด้านต่างๆ ทั้งระดับบุคคลและองค์กร

หรือ กลุ่มปัญญาวิวัฒน์ (A Circle of Friends) ที่เริ่มก่อตัวจากเยาวชนไทยที่มีประสบการณ์ต่างประเทศ มีมุมมองหลากหลายจากสาขาวิชาต่างๆ ที่มีความรัก ความปรารถนาดี อยากสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับประเทศและสังคมโลก

กลุ่มหลังนี้ตระหนักว่าปัญหาที่ท้าทายโลกยุคนี้แก้ด้วยจิตที่เล็กไม่ได้ จึงพยายามรวมตัวกันเรียนรู้ให้ข้ามพ้นความเป็นปัจเจก ความจำกัดของวิชาที่ตนเองเรียนมา และสร้างจิตใหญ่ร่วมกัน ล่าสุดกลุ่มนี้ก็ได้พยายามให้มีการใช้ "สุนทรียสนทนา" ในการเรียนรู้เข้าใจ และช่วยกันแก้ปัญหาในภาคใต้อีกด้วย

ตัวอย่างของกลุ่มที่มีความตั้งใจดี มีความรักเผื่อแผ่ถึงเพื่อนมนุษย์ พยายามเรียนรู้เพื่อขยายปริมณฑลของจิตให้กว้างขวาง เข้าถึงความเป็นทั้งหมด มีจิตสำนึกใหม่ เช่นนี้ สังคมควรยกย่อง และส่งเสริมให้มีให้แพร่หลาย ทั้งกลุ่มเล็ก กลุ่มใหญ่ เชื่อมโยงกัน ดังที่อาจารย์ประเวศ วะสี ได้เสนอแนะไว้ ทั้งในระดับปัจเจกบุคคล-กลุ่ม-เครือข่าย (ปกค. หรือ INN:Individual-Node-Network)

เพราะจิตใหญ่นั้นนำมาซึ่งความรักและมิตรภาพอันไพศาล เป็นรากฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ทั้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับธรรมชาติ