ตีพิมพ์ในคอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้
หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
ฉบับประจำวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๒

“ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเขียนอะไรที่จะแทนความประทับใจ ความขอบคุณให้แก่อาจารย์ ทึ่งในตัวอาจารย์มาก ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณครับที่มอบทางสว่าง ไม่สิ ขอบคุณที่ทำให้ผมเห็นจุดหมาย ก่อนมาที่นี่ ผู้คนมากมายถามผมว่ามาเรียนคณะวิทยาศาสตร์แล้วจะทำอาชีพอะไร ก็ตอบไปก่อนว่าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่ในใจน่ะหรอ ไม่เลย ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าตนเองต้องการเป็นแบบไหน” (อรรถพล อ.)




“ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา” ผมนึกถึงสำนวนนิยายจีนของโกวเล้ง

ภาคการศึกษานี้ อาจจะเป็นภาคการศึกษาสุดท้ายของผมในการเลกเชอร์ให้กับนักศึกษาปีหนึ่งของมหิดล การสอนบรรยายให้นักศึกษาห้องละสองร้อยกว่าคน หลายคนมองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ เบื่อกันทั้งคนสอนและคนเรียน ก็น่าเห็นใจอยู่หรอกนะ กับระบบการศึกษาที่ท่องไปเพื่อคะแนน เรียนไปเพื่อสอบ

แต่สำหรับผมแล้ว การไปสอนเลกเชอร์เป็นการเติมเต็มความหมายของชีวิต การได้เปลี่ยนบทบาทจากเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เคยนั่งหันหน้าหากระดานดำ เรียนบ้าง จดบ้าง คุยบ้าง หลับบ้าง แอบกินขนมบ้าง กลับมายืนหน้าห้องบรรยายห้องเดิม แต่ครั้งนี้หันหน้าไปทางหลังห้อง เหมือนมองย้อนกลับไปจนเห็นตนเองในอดีต มันเปรียบดั่งการจาริกไปสู่ต้นกำเนิดแห่งตัวตนของผมเอง

ไม่มีวันไหนแม้แต่วันเดียวที่ไม่อยากไปสอน ฝนตก แดดออก รถติด ถนนว่าง วันเดินทางไปศาลายาเป็นวันที่ตื่นเต้น อุดมไปด้วยโอกาสและความเป็นไปได้ ไม่มีสองวันไหนที่เหมือนกันเลย

ยิ่งปีสุดท้ายปีนี้ด้วยแล้ว เลกเชอร์แต่ละครั้งยิ่งมีความหมายกับผมอย่างมาก

ผมรู้ว่าจะทำให้ดีที่สุด แต่ไม่เคยรู้เลยว่าผลจะออกมาอย่างไร และการที่ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรนี่ด้วยกระมังที่ทำให้มันน่าตื่นเต้นเข้าไปใหญ่





คืนก่อนหน้า ผมมักจะนั่งทำ PowerPoint อย่างบรรจง เตรียมเล่าข่าวสดๆ ทันเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกับเนื้อหา เลือกรูป เลือกสไลด์ เลือกคลิปด้วยความพิถีพิถัน จนบางทีสงสัยว่าย้ำคิดย้ำทำเกินไปหรือเปล่า แต่เมื่อคิดว่ากับช่วงเวลาสั้นๆ ๖ สัปดาห์ สัปดาห์ละ ๒ ชั่วโมง แต่ละนาทีนับว่ามีความหมายไม่น้อย

อันที่จริง ๑๒ ชั่วโมง กับเนื้อหา ๑๑ บท ๑๙๘ หน้าแล้ว มันง่ายมากเลย ที่คนสอนอย่างเราๆ จะเดินทางเข้าสู่ร่องของการเรียนรู้ที่เราคุ้นเคยตั้งแต่สมัยเราเป็นนิสิตนักศึกษาเอง เพราะลำพังแค่สรุปเนื้อหาในหนังสือมาสอนก็แทบจะไม่ทันแล้ว “ไม่ใช่แต่ พูดๆ ไปตามหนังสือ พอเสร็จ เด็กก็ไปคายๆๆ ในห้องสอบ ใครจำได้มากได้คะแนนมาก หนูรู้สึกว่ามันไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่” (รหัส 520517X)

หรือว่าเราต้องเชื่อว่านักศึกษาเขาเรียนรู้เองได้ รับผิดชอบตนเองได้ หากว่าเขาต้องการ ถ้าเช่นนั้น ความท้าทายของเราอาจจะไม่ได้อยู่ที่การพยายามอัดหรือยัดเนื้อหาให้ได้มากที่สุด แต่อยู่ที่การทำให้เขาเห็นคุณค่า ความหมาย ความสำคัญ ความน่าทึ่ง ในโอกาสและวิชาที่อยู่เบื้องหน้าเขา

หากเราเชื่อในเจตจำนงอิสระของมนุษย์แต่ละคน และสามารถโยงสิ่งที่เขาเรียนเข้ากับชีวิตของเขาได้ ก็คงไม่ต้องขู่เข็ญใครให้มาเข้าเรียน รวมไปถึงบังคับข่มขู่ด้วยระบบคะแนน

ผมสนุกกับการสร้างความหมายใหม่ให้กับวิชาชีววิทยา วิทยาศาสตร์ การเรียนรู้ และการมีชีวิต ร่วมกันไปกับรุ่นน้องคณะ เชื้อเชิญอารมณ์ ความรู้สึก ความมีชีวิตชีวา ความเป็นมนุษย์กลับเข้ามาสู่การเรียนรู้อีกครั้ง (โดยไม่ได้พูดถึงคำว่า จิตตปัญญาศึกษา, Contemplative Education หรือ Humanized Educare เลย) เชิญชวนให้เขาตั้งคำถามกับสิ่งที่เขาเรียน วิธีการที่เขาเรียน และเป้าหมายของการเรียนของเขา (สไลด์แรกสุดคือคำถามว่า “จะเรียนไป ... ทำไม?”)

แน่นอน นักศึกษาจะรู้สึกงงๆ ในตอนต้น

“แรกๆ ผมก็โดด คิดว่าไปอ่านเองแล้วจะได้อะไรมากกว่า แต่หลังๆ ก็เริ่มเข้า [เรียน] ทำให้รู้สึกว่าไม่น่าโดดเลย อาจารย์สอนอะไรมากกว่าในหนังสืออีก ทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่าการเรียนมหาลัยไม่ใช่เพื่อเป็นที่ 1 คณะ หรือได้คะแนนเกินมีนมาเยอะๆ แต่มันประกอบด้วยการมีศีลธรรม รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักธรรมชาติ รู้จักการเอาใจใส่คนรอบข้าง เกรดก็สำคัญ แต่เกรดไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต มีอะไรให้ชีวิตเราค้นหามากกว่านั้น มันคือความสุขของชีวิต เมื่อเราได้ทำในสิ่งที่ชอบ ไม่ต้องสนใจว่าสาขานี้เป็นสาขาที่ต้องการ มีรายได้ดี ขอบคุณอาจารย์มากๆ ครับที่สอนแนวคิดดีๆ ที่หาไม่ได้จากที่อื่นให้ผมครับ” (จิรพงศ์ บ.)

ทุกครั้ง ก่อนหมดคาบ ๑๐ นาที ผมให้ทุกคนเขียนสะท้อนว่า ๑) สิ่งสำคัญที่สุดที่เขาได้เรียนรู้ หรือสิ่งที่เขารู้สึก “โดน” ที่สุดในวันนั้นคืออะไร และ ๒) เขามีอะไรที่อยากจะถาม/รู้/บอก/แนะนำ แต่ละสัปดาห์ผมจึงมีกระดาษสองร้อยกว่าแผ่นกลับบ้าน ผมอ่านทุกใบด้วยความสนใจใคร่รู้ อยากรู้จักแต่ละคน อยากเข้าใจในที่มาของแต่ละคน ผมคัดไว้จำนวนหนึ่งเพื่อมาอ่านตอนต้นชั่วโมงถัดไป ทั้งข้อคิดเห็น คำบ่น คำแซว คำชม โดยเฉพาะคำถาม ซึ่งผมมักตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง “อย่าฆ่าคำถามดีๆ ของเขา ด้วยคำตอบห่วยๆ ของเรา” ผมเตือนตนเอง

วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ผมชวนนักศึกษาทำ Intuitive Writing ให้เขาได้แบ่งปัน “อะไรก็ได้” เพื่อสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นจากชั้นเรียนที่ผ่านมา การเขียนนี้ไม่มีผลต่อคะแนน และไม่จำเป็นต้องลงชื่อ

คำแนะนำสั้นๆ ของผม คือ เขียนโดยไม่หยุด ไม่ยกปากกาขึ้น เขียนไปเรื่อยๆ หากนึกไม่ออก ก็เขียน “นึกไม่ออก นึกไม่ออก” สบายๆ ผ่อนคลาย ไปเรื่อยๆ เป็นเวลา ๑๐ นาที

สิบนาทีสั้นๆ ที่ยิ่งใหญ่ และมีความหมายสำหรับผม สัมผัสรับรู้ได้ว่าทำไมมีนักศึกษาหลายคนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

“At first, I thought that there was nothing interesting in sitting and studying in the room. Though it was freaking hard waking up in the morning, walking to the [Lecture Hall], but I did it with cheering ’cause it was Monday, the day I get to study Biology with you. ... There are lots of things out there waiting to be explored, but I just ... waste my time fooling around on the internet. Your words are like wake up calls to me. ... Thank you for everything. You’re such a heaven-sent. I’m honored.” (ภัทราวรรณ พ.)

“อาจารย์เชื่อไหมว่าเด็กคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดชอบชีวะเลย ... คิดว่ามันน่าเบื่อ แต่ตอนนี้กลับอยากเข้าห้องเรียน อยากมานั่งฟัง รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ... ถามว่าอะไรโดนเหรอคะ โดนตรงที่มันเปลี่ยนความคิดของคนได้ เนี่ยหล่ะโดนสุด” (ไม่ลงชื่อ)

“การได้เรียนรู้แนวการเรียนที่มันแตกต่างออกไป มันทำให้เราได้คิดย้อนกลับมามองตัวเองมากขึ้นว่าสิ่งที่เราเรียนเราเรียนไปเพื่ออะไร เพื่อเอาไปทำอะไร แล้วมันมีความสัมพันธ์กับชีวิตรอบตัวของเราอย่างไร ทั้งคน-สัตว์และพืช (สิ่งแวดล้อม) มีความสัมพันธ์กันทั้งนั้น แต่เรากลับมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไป ทำให้เราไม่รู้จักพอ” (โฆษิต ฐ.)

“เป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาจากที่อื่นมาทดแทนได้ การเรียนชีววิทยาที่น่าตื่นเต้นในมุมมองของคนที่จะศึกษาวิทยาศาสตร์กายภาพอย่างผมนี้” (พิษณุ บ.)

“แท้จริงแล้วมนุษย์ก็เป็นส่วนเล็กๆ ของธรรมชาติ แม้ว่าจะได้เจออาจารย์เพียงช่วงสั้นๆ แต่หนูก็ดีใจและภูมิใจมากๆ ค่ะ ที่ได้เป็นศิษย์คนหนึ่งของอาจารย์ หนูจะใช้เวลาอีก 3 ปี+1 เทอมในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ให้มีคุณค่ามากที่สุดเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในห้องเรียน ก่อนออกไปเผชิญกับโลกภายนอกอย่างเต็มภาคภูมิ หนูสัญญาว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดีเหมือนอย่างที่อาจารย์เป็น จะไม่เอาความรู้ที่เรามีไปเอาเปรียบใคร ... ขอบคุณมากๆ ค่ะ สำหรับการเรียนใน 6 ครั้งที่ผ่านมา แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่หนูก็ดีใจ และขอบคุณจากใจค่ะ” (520517X)

“ก็ไม่รู้สิ มีอะไรอยากบอกมากกว่านี้ตั้งมากมาย แต่ก็นะ บอกไม่หมดหรอก ขอบคุณล่ะกันครับ ความรู้สึกที่มากที่สุดตอนนี้คงเป็นคำว่า ขอบคุณ” (อรรถพล อ.)




ใช่เลย ความรู้สึกเด่นชัดที่สุดของผมขณะนี้ คือ ขอบคุณ ขอบคุณเหล่านักเดินทางรุ่นเยาว์เหล่านี้ พวกเขาเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้การเดินทางท่องไปในโลกใบกว้าง พร้อมๆ กับเดินทางเข้าไปในใจในกาย ที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบ น่าอัศจรรย์ไม่แพ้กัน ดังเช่นที่ สาทิศ กุมารเคยกล่าวไว้ “มีเธอ จึงมีฉัน”

ชวนให้ผมนึกถึงการเดินทางด้วยเท้าอันยิ่งใหญ่ในโลก โดยเฉพาะการเดินทางของคานธี ไปทำเกลือทะเลที่นำไปสู่การประกาศอิสรภาพของอินเดีย การเดินทางโดยปราศจากเงินแม้เพียงรูปีเดียว ของสาทิศ กุมารจากอินเดียไปยุโรปและอเมริกา เพื่อส่งมอบ “ชาสันติภาพ” แก่ผู้นำประเทศมหาอำนาจทางนิวเคลียร์ รวมถึงการเดินทางของประมวล เพ็งจันทร์ อันเป็นที่มาของหนังสือ “เดินสู่อิสรภาพ”

การเดินทางเล็กๆ ในชั้นเรียน แม้จะไม่โด่งดังและยิ่งใหญ่เท่ากับการเดินทางเหล่านั้น แต่ก็ “จริง” อย่างยิ่งสำหรับบรรดาเหล่านักเดินทางรุ่นใหม่ เป็นดั่งคำเชื้อเชิญให้เปิดใจ เรียนรู้ และออกเดินทางสู่การตื่นรู้ ในวิถีที่ไม่แยกเป้าหมายทางวิชาชีพ (professional quest) ออกจาก เป้าหมายทางจิตวิญญาณ (spiritual quest)

ชั้นเรียนของเราอาจจะจบแล้ว แต่การเดินทางของเราอาจจะเพิ่งเริ่มต้นขึ้นก็ได้

ยินดีต้อนรับสู่การเดินทางบทใหม่ครับ :-)

15 comments:

Asia said...

“สิ่งที่โดนที่สุดที่ได้เริ่มเรียนวิชานี้กับอาจารย์ ก็เป็นเรื่องแปลกใหม่ในด้านการเรียนของผม การได้เรียนรู้แนวการเรียนที่มันแตกต่างออกไป มันทำให้เราได้คิดย้อนกลับมามองตัวเองมากขึ้นว่าสิ่งที่เราเรียนเราเรียนไปเพื่ออะไร เพื่อเอาไปทำอะไร แล้วมันมีความสัมพันธ์กับชีวิตรอบตัวของเราอย่างไร ทั้งคน-สัตว์และพืช (สิ่งแวดล้อม) มีความสัมพันธ์กันทั้งนั้น แต่เรากลับมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไป ทำให้เราไม่รู้จักพอที่จะอยู่กับสิ่งเหล่านั้น เราได้แต่เบียดเบียนพวกเขาเหล่านั้น ผมอยากที่จะเรียนรู้ธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตให้มันมากกว่านี้ ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรให้เราได้เรียนรู้อีกเยอะ อยากที่จะทำหลายๆ อย่างที่ยังไม่เคยได้ทำมัน” (โฆษิต ฐ.)

Asia said...

“At first, I thought that there was nothing interesting in sitting and studying in the room. Thought it was freaking hard waking up in the morning, walking to the ‘L,’ but I did it with cheering ’cause it was Monday, the day I get to study Biology with you. ... There are lots of things out there waiting to be exposed. but I just ... waste my time fooling around on the internet. Your words are like wake up calls to me. Lost-Lost-Lost นึกไม่ออก... นึกไม่ออก... ตอนนี้เริ่มตื่นแล้ว... เริ่มตื่นจากความไม่รู้สึกตัวแล้ว... เริ่มตื่นจากความไม่มีสติแล้ว ... Thank you for everything. You’re such a heaven-sent. I’m honored.” (ภัทราวรรณ พ.)

Asia said...

“ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเขียนอะไรที่จะแทนความประทับใจ ความขอบคุณให้แก่อาจารย์ ทึ่งในตัวอาจารย์มาก ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณครับที่มอบทางสว่าง ไม่สิ ขอบคุณที่ทำให้ผมเห็นจุดหมาย ก่อนมาที่นี่ ผู้คนมากมายถามผมว่ามาเรียนคณะวิทยาศาสตร์แล้วจะทำอาชีพอะไร ก็ตอบไปก่อนว่าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่ในใจน่ะหรอ ไม่เลย ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าตนเองต้องการเป็นแบบไหน ที่แน่ๆ ไม่ใช่การเป็นคนรวยแน่ แต่รู้เพียงว่า ข้อแรกต้องการค้นหาหลายๆ สิ่งที่สงสัยมานานและไม่เคยมีใครตอบคำถามนี้ได้ สองต้องการใช้ความสามารถและศักยภาพของตนเพื่อเป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำอย่างไร หลายคนแนะนำให้หา idol ซะก็จะง่ายเอง แต่นั่นแหละที่ยาก ใครล่ะที่เราจะเชื่อมั่นในตัวเขา แล้วยึดแนวทางการดำเนินชีวิต ... ก็ไม่รู้สิ มีอะไรอยากบอกมากกว่านี้ตั้งมากมาย แต่ก็นะ บอกไม่หมดหรอก ขอบคุณล่ะกันครับ ความรู้สึกที่มากที่สุดตอนนี้คงเป็นคำว่า ขอบคุณ” (อรรถพล อ.)

Asia said...

“อาจารย์สอนให้รู้ว่าโลกภายนอกยังกว้างใหญ่ มีอะไรอีกมากมายที่เราไม่เคยเจอ ช่วยเปิดโลกกว้างให้กับนักศึกษาที่จะเติบโตเป็นนักวิทยาศาสตร์ต่อไป สอนให้เรารู้ว่ามนุษย์ไม่ได้ยิ่งใหญ่ หรือแตกต่างไปจากสิ่งอื่นๆ เลย แท้จริงแล้วมนุษย์ก็เป็นส่วนเล็กๆ ของธรรมชาติ แม้ว่าจะได้เจออาจารย์เพียงช่วงสั้นๆ แต่หนูก็ดีใจและภูมิใจมากๆ ค่ะ ที่ได้เป็นศิษย์คนหนึ่งของอาจารย์ หนูจะใช้เวลาอีก 3 ปี + 1 เทอมในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ให้มีคุณค่ามากที่สุดเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในห้องเรียน ก่อนออกไปเผชิญกับโลกภายนอกอย่างเต็มภาคภูมิ หนูสัญญาว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดีเหมือนอย่างที่อาจารย์เป็น จะไม่เอาความรู้ที่เรามีไปเอาเปรียบใคร แต่จะนำความรู้นั้นไปช่วยเหลือคน ช่วยเหลือองค์กร ช่วยเหลือประเทศชาติให้พัฒนามากขึ้นกว่านี้ ... แท้จริงแล้ววิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวเลย ... แต่เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรามาก และเป็นพื้นฐานของทุกๆ อย่าง เป็นพื้นฐานของชีวิต ขอบคุณมากๆ ค่ะ สำหรับการเรียนใน 6 ครั้งที่ผ่านมา แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่หนูก็ดีใจ และขอบคุณจากใจค่ะ” (520517X)

Halley said...

ขออนุญาตเอาไปแปะที่เว็บบอร์ดภาคนะครับ :)

Ann Supatchaya said...

ขอบคุณเช่นกันค่ะ แรกๆเรียนกับอาจารย์ก็ไม่ค่อยชอบเหมือนกัน แต่พอกลับมาคิดว่าหนังสือเราอ่านเองก็ได้ มันก็ทำให้การเรียนสนุกขึ้น ได้เห็นอะไรเยอะขึ้น ดีใจแทนน้องๆหลายคนที่ได้อะไรไปมากมายมากกว่าแค่การเรียน มันรวมไปถึงความคิดและอนาคตของเราเลยทีเดียว ขอบคุณที่อาจารย์ตั้งใจสอนทุกคาบ ถึงอาจารย์จะได้สอนเป็นเทอมสุดท้าย แต่ความเป็นครูก็ยังคงอยู่เสมอค่ะ

Pisanu said...

ขออนุญาตเอาไปแปะที่เวบบอร์ดชั้นปีเช่นกันนะครับ

ถึงเวลาแล้ว..

ที่นักศึกษาวิทยาศาสตร์ จะต้องออกเดินทางสู่การเป็น

"นักวิทยาศาสตร์"...

และที่มากกว่านั้น

เป็น "มนุษย์" ที่ควรจะนิยามตัวเองมากกว่าคำว่า

Homo sapiens sapiens

อย่างเต็มภาคภูมิเสียที

อย่างที่เพื่อนๆว่านะครับ

คงไม่มีอะไรจะพูดมากไปกว่าคำว่า "ขอบคุณ"

bossa said...

ความจริงที่บอกว่าขอบคุณ มากๆ
จริงๆคือ ผมได้มองหลายสิ่ง แบบที่อาจารย์สอนอยู่แล้ว
อ.ทำให้ผมมองได้ลึก และต่างมากขึ้น
แต่สิ่งที่จะขอบคุณจริงๆ
คือที่อ.ได้สอนให้เพื่อนๆ ให้เข้าใจในวิทยาศาสตร์ และความเป็นนักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะเข้าใจในวิชาชีววิทยา ซึ่งเคยเป็นวิชาที่น่าอ้วกก อ.ถ่ายทอดได้ดีจริงๆครับ คารวะ

XyrhO said...

ดีใจจริงๆครับ ที่ได้เรียนกับอ.
การเดินทางของผมมันมีความหมาย
มากขึ้นมากขึ้น จริงๆครับ

ขอบคุณมากๆๆครับ

Waritta S. said...

อาจารย์จะรู้มั้ยค่ะ ว่าระหว่างที่หนูกำลังอ่านบลอกนี้ ความรู้สึกตื้นตัน มันผลักดันให้น้ำตาของหนูไหลออกมาคลอเต็มหน่วยตา

ความรู้สึกที่มากมายบางทีมันกำจัดความไว้ในคำๆเดียว

"ขอบคุณค่ะอาจารย์"

ขอบคุณอาจารย์ที่ทำให้หนูได้กลับไปคิดถึงความฝันของหนูเมื่อสมัยเด็กอีกครั้ง ขอบคุณอาจารย์ที่ทำให้หนูนึกถึงสิ่งที่เคยลืมไปแล้วในอดีต
เมื่อตอนเด็กหนูคิดเสมอว่าโตขึ้นหนูจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งๆ จะได้ทำสิ่งต่างๆให้กับโลกที่รักของหนู แต่พอโตขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันบังคับให้ความฝันของเด็กคนหนึ่งถูกกักเก็บไว้ในซอกแห่ความทรงจำ กระแสของสังคมทำให้เด็กคนนึงต้องพยายามเรียนอย่างหนัก เพื่ออะไร เกรด หรือความฝันของเธอ หนูไม่รู้เลยว่าความคิดของหนูเปลี่ยนไปเมื่อไหร่ จากที่หนูเคยสนใจสิ่งต่างๆ สิ่งใหม่ๆรอบตัว มารู้ตัวอีกทีสิ่งที่หนูสนใจในตอนนี้ก็คือการอ่านตำราเพื่อเอาไปสอบ ความรู้รอบตัวหนูลดลงเรี่อยๆจนน่าใจหาย ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆเริ่มหายไปจากสมองของหนู แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนก็คือ หนูไม่เคยลืมว่าหนูอยากเป็นนักวิทาศาสตร์ แม้ว่าหนูจะลืมไปแล้วว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์เพื่ออะไร
จนหนูได้มาเรียนกับอาจารย์ ทำให้หนูได้คิดอีกครั้งว่า การเรียนรู้ไม่ใช่แค่เรียนอยู่ในตำรา ไม่ใช่แค่การแข่งขันให้ได้เกียรตินิยม แต่มันคือการเดินทาง เพื่อรับเอาสิ่งใหม่ๆเข้ามาในชีวิต และนำมันไปใช้กับสิ่งรอบตัว และทำให้หนูได้รู้ว่าหนูจะเป็นวิทศาสตร์ไปเพื่ออะไร

หนูสงสัยมาตลอดว่าทำไมอาจารย์อ่านคำถามของหนู แต่ไม่ยอมตอบ ตอนนี้หนูรู้แล้วค่ะ

ขอบคุณมากๆนะคะอาจารย์

เบญจ said...

เชียร์ว่าขอให้น้องๆ ปี 1 ที่สนใจ เข้าเรียนกันนะครับ

สำหรับคนที่เรียนผ่านแล้วขอคอนเฟิร์มว่าดีจริง และมีอะไรใหม่ๆ(ทั้งในเนื้อหา/ผู้สอน/ผู้เรียน/การเดินทางของกลุ่ม)ในทุกๆเทอม

คลื่นลูกเก่ามาส่งไม้ต่อให้คลื่นลูกใหม่ เดินทางตามไฟฝัน

Noock said...

คลาสที่พี่เบญจพูดถึง ที่จะเปิดในเทอม 2/2552 นั้นมีชื่อว่า "การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (NREM - Natural Resource and Environmental Management)"

สามารถติดตามได้ที่นี่ครับ...
http://www.sc.mahidol.ac.th/scbi/MUBIO_Webboard.php?TopicID=1456&Action=ViewTopic&Lang=Eng

Halley said...

PR กันเข้าไป... - -"

Aj. Jongdee said...

อ่านบทความนี้แล้ว ... ปิ๊งแว๊บ ถึง นักศึกษาที่ลาดกระบังมาเลย คำพูด และ โอกาส ที่ครูคนหนึ่งหยิบยื่นให้ เป็นการเปิดโลกทัศน์ เปลี่ยนมุมมอง เป็นไอเท็ม ในการเดินทางบทใหม่ของบางคน และอาจทำใ้ห้เกิดการปลุกยักษ์หลับในใจของใครบางคนก็ได้คะ ...
หากมีโอกาสเทอมที่ 2/2552 จะเข้าร่วม NREM ด้วยคะ

pannasia said...

ชอบบทความนี้ที่สุด เต็มไปด้วยชีวิตชีวา เป็นธรรมชาติ ได้มาจากการปฏิบัติพื้นๆง่ายๆ และมีความรักอัดแน่นอยู่โดยไม่ต้องมีคำว่า "รัก"