ไม่อายหมา



ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ

ฉบับวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๕

พุทธชยันตี วิสาขบูชาปี 2555 วันเฉลิมฉลอง 2,600 ปีแห่งการเข้าถึงความจริงของมนุษย์คนหนึ่ง ผู้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของชีวิตคนจำนวนหลายล้าน วันนั้นหลายคนหลายองค์กรได้ร่วมกันจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ในหลากสถานที่และหลายรูปแบบ ส่วนตัวผมนั้น ผมเลือกที่จะกลับไปหาครู ณ วัดป่าแห่งหนึ่ง

ครูผู้เป็นลูกศิษย์ของบรมครู เป็นบุคคลผู้ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นถึงสิ่งที่ถูกส่งทอดสืบต่อกันมานับเป็นพันปีตั้งแต่วันนั้น เป็นผู้ให้เรามากกว่าความรู้ ทั้งยังไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทนจากเรา

ในวันวิสาขบูชาปีนี้ ที่วัดไม่ได้จัดงานใหญ่หรือจัดอะไรเป็นพิเศษ ญาติโยมที่มางานก็มีจำนวนมากตามปรกติเหมือนวันพระใหญ่ทั่วไป ครูอยู่และเป็นอย่างเรียบง่าย และเหมือนเช่นทุกวัน เป็นสุดยอดตัวอย่างของความเสมอต้นเสมอปลาย อันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่เรียบง่าย แต่ใช่จะหาได้ง่ายๆ ในโลกทุกวันนี้

เรื่องที่ครูสอนก็เป็นเรื่องที่ท่านเน้นย้ำเสมอ เรื่องการมีสัจจะ พูดคำไหนคำนั้น “เอาแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็พอ” ท่านว่า

ระหว่างการเดินทางขากลับออกจากวัด ผมได้ฟังเรื่องเล่าจากรุ่นพี่ที่ผมนับถือ เขาเป็นศิษย์ใกล้ชิดของท่านมายาวนาน เขาเล่าว่า

“เมื่อไม่กี่ปีก่อน พี่มีโอกาสได้ตามไปอุปัฏฐากดูแลหลวงพ่อท่านเมื่อครั้งไปสังเวชนียสถานที่อินเดีย เมื่อไปถึงพุทธคยา สถานที่ต้นกำเนิดพุทธชยันตี คือใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ หลวงพ่อบอกว่าจะปฏิบัติภาวนาข้ามคืนจนถึงรุ่งเช้า พี่ก็เรียนท่านว่าจะอยู่ปฏิบัติด้วย แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็ทนไม่ไหว ถอดใจ และล่าถอยกลับไปพักที่โรงแรมตั้งแต่ตอนสองทุ่ม”

ครั้นเมื่อถึงเวลาเช้า หลวงพ่อท่านเปรยทักว่า

“อายหมามันบ่ เว้าแล่วเฮ็ดบ่ได้” (อายหมามันบ้างไหม พูดแล้วทำไม่ได้น่ะ)

พี่เขาไม่ได้บอกว่าตอนนั้นเขารู้สึกอย่างไรในใจ แต่เล่าว่าเขานั่งเงียบตลอดการเดินทางที่เหลือจนกระทั่งมาถึงเมืองไทย เมื่อส่งหลวงพ่อขึ้นรถไปแล้ว เขาก็จัดการซื้อตั๋วเครื่องบินกลับไปที่อินเดีย มุ่งหน้าไปยังพุทธคยาทันที

ในที่สุด การกลับมาคราวนี้พี่เขาก็ได้ปฏิบัติบูชา ด้วยการเดินภาวนารอบองค์พระเจดีย์ และต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นจำนวน 108 รอบจนสำเร็จ พี่เขายอมรับว่า แม้การเดินจากเย็นไปยันเช้าจะทำให้ปวดเมื่อยราวขาแทบหลุด แต่ในใจนั้นเป็นสุขอย่างยิ่ง

“ผมได้ทำหน้าที่เสร็จแล้วนะครับ” เขาโทรศัพท์ไปรายงานหลวงพ่อเมื่อกลับมา

แทนที่พี่เขาจะเล่าเรื่องต่อว่าท่านตอบหรือแนะนำอะไรกลับมา เขากลับพูดเน้นย้ำประโยคที่เป็นเหมือนสรุปบทเรียนล้ำค่าที่ได้จากครู เขาว่า “ท่านยิ่งตียิ่งว่าเรา เรายิ่งเข้าใกล้ท่าน ... ชีวิตผมที่รอดมาได้ และเป็นผู้เป็นคนอย่างทุกวันนี้ ก็เพราะท่านนี่แหละ”

ได้ยินแล้วก็ทำให้ปลาบปลื้มปิตินัก ผมชื่นชมยินดีที่พี่เขามีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้และต่อครูบาอาจารย์ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ช่างชัดเจนมากเหลือเกินว่าที่ท่านเรียกไปสอนก็เพราะว่าท่านมีเมตตา และท่านเห็นว่าเรา “สอนได้”

ชีวิตก็เช่นนี้ หลายครั้งหลายทีเราต้องการครูที่กล้าและทักเราตรงๆ ไม่เช่นนั้นเราอาจพลาดไม่พบบทเรียนสำคัญสำหรับตัวเราไป เพราะเรามัวแต่มีข้ออ้างให้กับกิเลสตนเอง อ้อ ไม่ใช่สิ เป็นเพราะกิเลสที่สิงในตัวเรา มันมีข้ออ้างเสมอน่ะ แล้วเราก็ไม่มีสติพอที่จะทันมัน ก็เลยตกเป็นทาสมันตลอด

เสียทีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ แต่ใช้ชีวิตอย่างน่าอายหมา แม้ว่าเราเองก็ไม่รู้ตัว

0 comments: