ตีพิมพ์ในคอลัมน์ จิตตปัญญา
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ ฉบับประจำวันที่ 14 มีนาคม 2553
“เราไม่สามารถแก้ไขปัญหาโดยใช้วิธีคิดแบบเดียวกับที่เราใช้สร้างมัน”
ไอน์สไตน์เคยพูดไว้ ซึ่งผมว่าจริงมากๆ เลย
แม้ช่วงนี้มีคนช่วยกันคิดว่าเราจะออกจากการเผชิญหน้าของบ้านเมืองนี้อย่างไร แต่ผู้คนจำนวนไม่น้อยก็ยังมักมองหาเทคนิควิธีง่ายๆ มันทำไม่ได้หรอกครับ เพราะทางออกง่ายๆ เหล่านั้นอยู่ในระดับวิธีคิดแบบเดียวกับปัญหาที่เขากำลังพยายามแก้
ดังนั้นเราอย่าเพิ่งเบื่อนะครับ ที่ปัญหาความขัดแย้งแดง-เหลืองนี้ยังไม่จบเสียที นั่นเพราะสังคมโดยรวมยังไม่ร่วมกันสร้างวิธีคิดที่ไปพ้นจากระดับความขัดแย้งเดิมๆ ได้
สังคมต้องยกระดับของการมองและเข้าใจปัญหา ต้องมีจิตสำนึกใหม่ (New consciousness) จึงจะสามารถสร้างทางออกที่สร้างสรรค์ มีผู้เปรียบสังคมไทยเปรียบเสมือนลูกเจี๊ยบอยู่ในเปลือกไข่ ที่โตเต็มที่แล้ว ต้องเจาะเปลือกไข่ออกมาถึงจะรอด
กิจกรรมดีๆ หลายอย่างที่จะมีส่วนช่วยให้สังคมเติบโตข้ามผ่านวิกฤตนี้ กลับไม่เกิดขึ้นเพราะผู้คนจำนวนมากรู้สึกว่าธุระไม่ใช่ ไม่สนใจ หรือรู้สึกว่าตนเองไม่มีอำนาจจะไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีได้
เราอาจจะไม่เห็นทางออกเพราะเราคิดถึงแต่โครงสร้างอำนาจแบบรวมศูนย์ คิดว่าความขัดแย้งนี้ขึ้นกับการต่อรองตกลงกันของผู้นำ ต้องเปิดโต๊ะเจรจาระดับชาติเท่านั้น นี่ก็คือความคิดแบบแยกส่วน ที่จะทำให้เราแก้ไขปัญหาไม่ได้นั่นเอง
หนึ่งในสิ่งที่จะช่วยได้คือ การคุยกันด้วยหัวใจ ซึ่งก็มีรูปธรรมหรือมิติที่หลากหลาย ในหลายชื่อ หลายจุดเน้น เช่น สุนทรียสนทนา ไดอะล็อก สานเสวนา การสื่อสารด้วยความกรุณา การสื่อสารอย่างสันติ เป็นต้น
การคุยกันด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง ต้องการที่จะรับฟัง เข้าใจ และดูแลกันและกัน เป็นการแก้ไขปัญหาโดยใช้กระบวนทัศน์องค์รวม ไม่แยกส่วน เป็นระดับที่เหนือกว่าวิธีคิดที่สร้างปัญหาที่เราเผชิญอยู่ร่วมกัน เป็นการปฏิวัติจิตสำนึกที่เกิดได้ในการคุยกันของคนตัวเล็กๆ ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นในแผนก ในบริษัท ในหมู่บ้าน หรือแม้แต่ในครอบครัว
การคุยกันที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี และนำไปสู่ทางออกของสังคมได้ ควรมีองค์ประกอบของคนที่หลากหลาย มาคุยกันโดยมีข้อตกลงร่วมกันชุดหนึ่ง (อาทิ ฟังกันอย่างลึกซึ้ง deep listening ห้อยแขวนการตัดสิน สด-เปลือย-เปราะบาง ชื่นชมวัฒนธรรมความเงียบ) ให้เวลาแต่ละครั้งอย่างเพียงพอ คุยกันอย่างสม่ำเสมอ โดยคนที่มาคุยกันนี้เป็นใครก็ได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นผู้นำแต่ละฝ่าย เพียงเป็นคนกลุ่มเดิมที่มาคุยกันอย่างต่อเนื่อง แต่ละกลุ่มอาจมีขนาด ๑๐-๓๐ กว่าคน และควรให้มีหลายๆ กลุ่ม
ถ้าได้คุยกันเช่นนี้สักระยะ ผู้คนไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน จะเห็นว่าทางออกของสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ไม่ได้ยากอย่างที่คิด กลุ่มจะมีลักษณะ transcend and include คือข้ามพ้นแต่ปนอยู่ คำตอบจะอยู่ในระดับที่มีความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่โจทย์และความต้องการของทุกฝ่ายจะได้รับการดูแล
กิจกรรมเช่นนี้ ไม่ต้องใช้เงินมากมาย เพียงอาศัยความมุ่งมั่นร่วมกันของทุกฝ่ายที่จะเรียนรู้กัน และร่วมแสวงหาทางออกอย่างสันติ
สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้กลุ่มดำเนินไปได้ และเกิดทางออกได้ ก็คือ ความไม่คาดหวัง
เรื่องนี้เป็นสิ่งท้าทาย และเป็นความจริงคู่ขัดแย้ง (paradox) เหมือนกับการเดินทางและการปฏิบัติทางจิตวิญญาณ
หากมีความคาดหวังเป็นที่ตั้ง บางคนอาจจะไม่มา เพราะคิดว่าคุยไปก็ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นมา ระหว่างคุยก็จะมุ่งหาแต่ผลลัพธ์ ไม่ได้อยู่กับปัจจุบันอย่างแท้จริง แต่ถ้าบอกให้ไม่มีความคาดหวัง บางคนก็อาจจะบอกว่าแล้วจะมาคุยทำไมให้เสียเวลา
แต่วิกฤตสังคมครั้งนี้ ก็เป็นวิกฤตทางจิตวิญญาณจริงๆ
ผู้คนอาจจะไม่ยอมเชื่อ ไม่ยอมทำในสิ่งที่จะนำพาเขาออกจากความทุกข์ จนกระทั่งเขาเจอความทุกข์จริงๆ จังๆ จนทนไม่ไหวนั่นแหละ ความทุกข์นั้นเองที่จะนำพาให้เขามาลงมือปฏิบัติในสิ่งที่จะทำให้ความทุกข์นั้นจางคลายหรือหายไปในที่สุด
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ จิตตปัญญา
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ ฉบับประจำวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2553
รู้สึกเขินจังที่ตนเองเพิ่งจะรู้จักเพลงตรุษจีน!
แม้ว่าได้ร่วมงานตรุษจีนทุกปี เชื่อว่าคงตั้งแต่ยังจำความไม่ได้เสียด้วยซ้ำ เพราะว่าที่บ้านถือเป็นตรุษใหญ่ ฉลองกันอย่างตั้งใจ แต่ผมเองรู้สึกไม่ “อิน” กับเทศกาลนี้สักเท่าใดนัก ไม่ค่อยได้ให้ความหมาย ก็เลยไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมาก ไม่ได้รอคอย ไม่ได้คิดถึง (ต่อให้มีแต๊ะเอียอั่งเปามาล่อก็ตาม) กระทั่งเพลงประจำตรุษจีนก็ยังไม่รู้จัก
ผิดกับเพลงประเภท Merry Xmas หรือ Silent Night ที่ร้องได้ตั้งแต่เด็ก ที่โรงเรียนก็มีเต้นรีวิวประกอบเพลงตั้งแต่ประถม ได้เรียนรู้วัฒนธรรมตะวันตกถึงการให้ความหมายของวันคริสต์มาสและวันปีใหม่ของฝรั่ง ชอบตรงที่รู้ว่าเขาตั้งใจให้ใกล้เคียงกับวัน winter solstice (วันที่กลางคืนยาวที่สุดในรอบปี หรือ วันเห-มายัน) ผ่านไปแต่ละวันตะวันก็จะฉายแสงให้ความอบอุ่นนานขึ้น ดั่งว่าเป็นหมุดหมายของการเดินทางของชีวิตและการเริ่มต้นใหม่ของหลายๆ คน หลายๆ ครอบครัว ผมชอบประเพณีการกลับมาเจอและร่วมฉลองกัน รู้สึกเห็นใจเวลาได้ข่าวคนเดินทางกลับไปหาครอบครัวลำบากเพราะเที่ยวบินเต็ม มิหนำซ้ำมักจะมีพายุหิมะช่วงนี้เสียด้วย ยิ่งตอนที่ตนเองอยู่ต่างประเทศก็ยิ่งอินเข้าไปใหญ่
แต่กับเทศกาลตรุษจีนที่ไม่ค่อยอินนัก ความรู้สึกมาเปลี่ยนตอนได้ยินเพลงตรุษจีน เพลงจังหวะเร็วๆ ที่มีท่อนฮุกว่า “กง...ซี กง...ซี กง...ซี นี่” ได้เข้าใจความหมายเรื่องราวที่ผู้คนบนท้องถนนต่างทักทายแสดงความยินดีแก่กัน ที่ฤดูหนาวอันยาวนานกำลังจะสิ้นสุด สายลมอันอบอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิกำลังปลุกโลกให้ตื่นจากความหลับใหล หิมะหนาละลายไป ต้นพลัมกำลังผลิดอกเบ่งบาน ค่ำคืนอันแสนนานจะผ่านเลย หลังจากผ่านความยากลำบาก อาศัยความอุตสาหะไม่น้อย ผู้คนต่างรอคอยข่าวดีแห่งฤดูใบไม้ผลิ มาร่วมเฉลิมฉลองยินดีกันเถอะ
อันที่จริงตรุษจีนกับคริสต์มาสก็ไม่แตกต่างกันในแง่วัฒนธรรม ผู้คนรอคอยการกลับมาของคนรักในช่วงท้ายของเหมันตฤดู ผมตกใจกับอคติของตนเองที่ให้ความหมายตรุษฝรั่งยิ่งกว่าตรุษจีนนัก จำได้ว่าตนเองก็เคยได้ข่าวคนจีนทั่วโลกติดอยู่ตามสถานีรถประจำทาง สถานีรถไฟ สนามบิน ไม่สามารถกลับบ้านได้เพราะตั๋วหมดหรือพายุหิมะ แต่ไม่เคยเชื่อมโยงเลยว่าเขากำลังกลับบ้านไปฉลองปีใหม่
รู้สึก “อิน” ตรุษจีนขึ้นมาโดยพลัน พร้อมตั้งคำถามกับตนเองว่าแล้วปรกติเราให้คุณค่ากับสิ่งใกล้ตัวแค่ไหน
ใจหายว่าคุณย่า คุณพ่อ คุณแม่ คุณอาจะเสียใจมากไหมหนอที่ลูกหลานแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้ความสำคัญและรอคอยตรุษจีนอย่างผู้ใหญ่
“ดูแลคนใกล้ชิดดั่งอาคันตุกะ” ผุดขึ้นแจ่มชัดอยู่ในห้วงคำนึง
จริงสินะ บางครั้งมนุษย์เราไม่ค่อยให้ความสำคัญกับคนใกล้ชิด เพราะรู้จักกัน เห็นกัน อยู่ด้วยกัน หรือเป็นครอบครัวเดียวกันมานาน ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้คอยดูแลเอาใจใส่ ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบเราทุกบ่อย หลายครั้งที่เรามองเห็นความห่วงใยเหล่านี้เป็นสิ่งน้อยค่า ด้อยค่า หรือกระทั่งไร้ค่า กระทั่งมีนิทานอีสปที่ทำให้เกิดสำนวนฝรั่งที่ว่า familiarity breeds contempt ด้วย หรือบางทีความใกล้ชิดทำให้เราละเลยคุณค่าของคนใกล้ตัว ทำให้เราไม่ใส่ใจดูแล ไม่ได้เป็นกัลยาณมิตร (อาทิ น่ารัก เป็นที่ปรึกษาที่ดี อดทนต่อถ้อยคำ) ทั้งที่เราก็รู้ว่ามันควร
เสียใจที่ความไม่รู้ของเราอาจทำให้ผู้ใหญ่ผิดหวัง
ซาบซึ้งในความรักยิ่งใหญ่ ดุจดังท้องทะเล ที่ท่านยังคงรักเราเสมอมาไม่เปลี่ยน
ไม่อยากจะโทษระบบการศึกษาที่ทำให้เราไม่รู้จัก ไม่รักรากของเรา ไม่รักครอบครัวของเรา ไม่รักวัฒนธรรมของเรา
แต่ตั้งใจไว้ว่าจะน้อมเอาวลี “ดูแลคนใกล้ชิดดุจดั่งอาคันตุกะ” มาสู่ใจและชีวิตให้มากขึ้น
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ จิตตปัญญา
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ ฉบับประจำวันที่ 10 มกราคม 2553
ในงานอบรมสิ่งแวดล้อมศึกษาแก่ครูชาวต่างชาติ เพื่อนสนิทของผมที่บุกเบิกงานด้านนิเวศแนวลึก (Deep Ecology) โคจรมาพบกับสาวนักนิเวศวิทยารุ่นพี่ ผู้มีชื่อเสียงและผลงานมายาวนานด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เธอสารภาพว่ารู้สึกจี๊ดและไม่ชอบหน้าเขาตั้งแต่ยังไม่พบ เพราะรู้สึกทำนองว่าอะไรกันเนี่ย Deep Ecology แปลว่าคนอื่นเขา Shallow Ecology เป็นนักนิเวศตื้นๆ กันหรืออย่างไร จนต้องได้พูดคุย เรียนรู้ อยู่ทำงานด้วยกันสักพัก จึงได้เข้าใจ รู้สึกเคารพนับถือ เห็นคุณค่าในความสามารถและในงานของกันและกัน
เป็นธรรมดาสามัญที่นักคิด นักปฏิบัติ นักเปลี่ยนแปลง และนักอื่นๆ อีกนักต่อนัก มักจะคิดและขับเคลื่อนอะไรดีๆ ใหม่ๆ ด้วยการตั้งชื่อเพราะๆ เก๋ๆ ให้งานนั้น เรามักมองเห็นว่าของเรามันดีอย่างไร แตกต่างจากที่มีอยู่ในปัจจุบันอย่างไร เราอยากชูประเด็นนี้ และชอบที่มันสื่อความหมายและความเป็นตัวเรา คิดว่าคนอื่นฟังแล้วจะได้เข้าใจ เกิดความสงสัย เกิดแรงบันดาลใจ จนอยากมาร่วมขบวนรถไฟทำงานนี้ด้วยกัน ไม่ว่าจะ
จิตวิวัฒน์
สุขภาวะทางจิตวิญญาณ
จิตตปัญญาศึกษา ฯลฯ
พวกเขา (และหลายครั้งหมายรวมถึงพวกเราด้วย) มักต้องใช้เวลาไม่น้อยตอบคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า อธิบายแล้วอธิบายอีกว่าจิตวิวัฒน์คืออะไร อะไรบ้างล่ะที่เป็นสุขภาวะทางจิตวิญญาณ แล้วอะไรบ้างที่ไม่ใช่ มีคนร้องขอให้ช่วยนิยามจิตตปัญญาศึกษาในเกือบทุกการอบรมสัมมนา
หลายเวทีมีคนตั้งเป้าในใจเพื่อเข้ามาบอกว่าตนรู้สึก “ไม่โดน” อย่างแรง กับการใช้คำนั้นๆ อย่างไร ร่ำๆ จะทะเลาะกันก็มี บ้างก็บอกว่าไม่ควรใช้คำบางคำเพราะมันไม่เคยมีอยู่ในหลักความเชื่อหรือคำสอนเดิม เช่น คำว่าจิตวิญญาณไม่เคยมีในพุทธศาสนา เป็นต้น
แม้กระทั่งเรื่อง การแพทย์ที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ (Humanized Health Care) ก็มีผู้ติติงว่า “งั้นงานที่ฉันทำอยู่นี้ไม่มีหัวใจ หรือมีหัวใจที่ไม่ใช่มนุษย์หรือ”
เป็นศาสตร์และศิลป์ของการขับเคลื่อนอย่างยิ่งว่าทำอย่างไรจึงจะนำพาผู้คนจากหลากหลายความเชื่อ ให้ได้ร่วมกันทำงานดีๆ ที่ไม่ว่าเราจะตั้งชื่อสวยงามแค่ไหน ก็คงมีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยอยู่ดี
เป็นไปได้ไหมที่ชื่องานใหม่ของเราอาจทำให้ผู้คนที่ทำงานมาก่อนหน้ารู้สึกด้อยค่าหรือแปลกแยก เช่น วิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่ (“ของฉันมันเก่าตรงไหนหรือ?”)
หรือว่าเราอาจไม่จำเป็นต้องตั้งชื่องานของเราให้กิ๊บเก๋ แม้อาจจะไม่สร้างแรงบันดาลใจนัก แต่ไม่ทำให้คนรู้สึกว่าไปต่อว่าต่อขานงานอะไรของใคร แค่เชิญชวนให้คนเข้าร่วม ค้นหา และสร้างความหมายร่วมกัน
โจแอนนา เมซี่ นักเขียนผู้บุกเบิกเรื่องนิเวศแนวลึก เธอใช้ชื่อการอบรมว่า The Work that Reconnects เธอว่ามันตรงดี เป็นพื้นที่ว่างๆ เปิดกว้างสำหรับทุกคน ว่าเป็นงานที่ทำให้หลายอย่างกลับมาเชื่อมโยงสัมพันธ์กันอีกครั้ง
พาร์คเกอร์ เจ พาล์มเมอร์ ผู้เขียนหนังสือ กล้าสอน (Courage to Teach) อันโด่งดัง จัดอบรมหลายร้อยครั้งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งให้กับนักบริหาร ผู้นำ ครู บุคลากรสาธารณสุข นักกฎหมาย จำนวนมาก ยังใช้ชื่อธรรมดาๆ ง่ายๆ ว่า ความกล้าหาญและความมีชีวิตชีวา (Courage and Renewal)
ท่ามกลางสังคมที่เร่งรีบ ความสนใจสั้น ผู้คนเลือกบริโภคจากรูปลักษณ์หีบห่อบรรจุภัณฑ์ การใช้คำกลางๆ พื้นๆ แต่เปิดพื้นที่ให้ผู้คนได้เข้ามาสร้างเรื่องราวและความหมายสำหรับชีวิตของเขาเอง อย่างช้าๆ และร่วมกับเครือข่ายของเพื่อนแท้บนเส้นทางสายจิตวิญญาณ ก็อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ควบคู่ไปกับการใช้คำใหญ่ที่ฟังดูเร้าใจ ฮิตติดตลาดเร็ว ก็เป็นได้
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ จิตตปัญญา
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ ฉบับประจำวันที่ 13 ธันวาคม 2552
งานประชุมวิชาการประจำปีจิตตปัญญาศึกษา ครั้งที่ ๒ “ทางเลือก หรือ ทางรอดของสังคม?” โดย ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เป็นงานที่ใช้กระบวนกร/วิทยากรมากที่สุดงานหนึ่ง นับรายชื่อศิลปิน นักปฏิบัติ นักคิด นักวิชาการที่ขึ้นเวทีสุนทรียสนทนา ปาฐกถา นำเสนอผลงาน จัดกระบวนการ ขับขานดนตรี อ่านบทกวี ในสองวัน ได้มากกว่า ๙๐ คน ต่างมาร่วมแบ่งปันเป้าหมาย ความหมาย รายละเอียด วิธีการ และรสชาติของกระบวนการเรียนรู้แบบจิตตปัญญาตามความเข้าใจ ตามการใช้ชีวิตของตนเอง
งานประติมากรรมทางสังคมที่เกิดจากการถักทอเชื่อมร้อยการเดินทางของคนเหล่านี้ มีลักษณะร่วมกันที่สำคัญ คือ การช้าลง เข้าไปสัมผัสปัจจุบันขณะตรงๆ ผ่านงานผ่านการใช้ชีวิต ด้วยใจที่เปิดรับ และแบ่งปันประสบการณ์นั้นๆ ร่วมกัน
หัวใจ คือ การไปพ้นจากความคิด
อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่ระยะหลัง นานๆ จะปรากฏตัวต่อสาธารณะสักที มองเรื่องจิตตปัญญาผ่านมุมมองของวิภาษวิธี (Dialectic) เทียบเคียงกับความเชื่อทางพุทธ ว่าไม่ใช่เอา anti -thesis ไปท้าสู้กับ thesis แต่ต้องใช้ synthesis ซึ่งในตัวมันมีลักษณะที่ทั้งใช่และไม่ใช่ thesis และ anti-thesis อยู่ด้วยแล้ว
ต้องข้ามพ้นเครื่องมือเก่า คือ ความคิด ไปเสีย ดังนั้น “วิธีจัดการความขัดแย้งภายใน ไม่ได้ทำโดยการเอาความคิดเรื่องการไม่มีตัวตนไปสู้กับความคิดเรื่องการมีตัวตน หากเอา ‘การไม่คิด’ เข้าไปแทนที่ ‘การคิด’ เสียมากกว่า”
งานนี้จึงอุดมไปด้วยผู้ที่มานำเวิร์คชอป จัดกระบวนการมากมาย แบ่งปันตัวอย่างช่องทางการเข้าถึงสภาวะดังกล่าว ผ่านงานอันหลากหลายของแต่ละคนแต่ละกลุ่ม อาทิ การตระหนักรู้สู่การเปลี่ยนแปลงตน (โดยกลุ่มจิตตปัญญาวิถี สถาบันขวัญแผ่นดิน) การภาวนา (เสถียรธรรมสถาน) การจัดดอกไม้และใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ (มูลนิธิเอ็มโอเอไทย) จิตอาสา (เครือข่ายพุทธิกา มูลนิธิพุทธฉือจี้) การรักษาและฟื้นฟูความสัมพันธ์ (สถาบันปลูกรัก) และอื่นๆ อีกมาก
เวทีสุนทรียสนทนา หัวข้อ “กล้าที่จะเลือก” มีตัวอย่างของคนที่อยู่ทั้งในและนอกระบบ แต่ก็กล้าที่จะ “ขบถ” เลือกวิธีการเดินทางของตนเอง โดยเฉพาะเมื่อมันแตกต่างแปลกแยกจากมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานองค์กร มาตรฐานสังคม หรือแม้กระทั่งมาตรฐาน “สากล” ที่สถาบันต่างๆ มักวิ่งตามกันอยู่
“ยิ่งมีรายละเอียดในความคิดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความขัดแย้งในใจมากขึ้นเท่านั้น เมื่อผมออกจากความคิด ... มาอยู่กับตัวเองง่ายๆ ไม่มีความขัดแย้งในตัวเอง ไม่ขัดแย้งกับคนอื่น จึงไม่มีความขัดแย้งกับธรรมชาติ” อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ผู้เขียนหนังสือ เดินสู่อิสรภาพ สะท้อนประสบการณ์กล้าที่จะเลือก และกล้าที่จะหยุดเอาไว้ในวงสุนทรียสนทนานี้
แล้วชาวจิตตปัญญา กล้าที่จะเลือกหรือยัง?
ใน “ปัญญาสู่ทางรอด” เวทีสุนทรียสนทนาปิดงาน อาจารย์วรภัทร์ ภู่เจริญ อธิบายว่าปัญญาเพื่ออยู่รอดอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องอยู่ร่วม และอยู่อย่างมีความหมายด้วย ต้องกลับมาให้ความสำคัญกับฐานกาย (มวยจีน โยคะ ชี่กง) ฐานใจ (ความสัมพันธ์ อารมณ์ความรู้สึก) นอกเหนือไปจากฐานคิด
“คนเรามีสมอง ใจ กาย แต่ทุกวันนี้เราหมดเวลาไปกับการคิด การเรียน” อาจารย์ฟันธงเอาไว้อย่างตรงไปตรงมา
อาจารย์เสกสรรค์ อาจารย์ประมวล และอาจารย์วรภัทร์ อาจารย์ทั้งสามได้มาดำรงอยู่ร่วมกันในเวทีแห่งนี้ ต่างคนก็ราวกับว่ามีวิถีของชีวิตที่แตกต่างกันมากเหลือเกิน ทว่าลึกลงไปแล้วทั้งสามล้วนมิได้ผิดแผกแตกต่างกัน มีการเดินทางด้านในร่วมกัน ขณะเดียวกันก็เป็นการเดินทางที่เฉพาะตนไม่เหมือนกัน
ทุกคนล้วนเดินทางบนเส้นทางจิตวิญญาณ และหนทางสายนี้ได้เป็นทั้งเป้าหมายและวิธีการ (The path is the goal) อันมีหัวใจร่วมกัน
วันหน้าหากมีใครถามนิยามว่าจิตตปัญญาศึกษาคืออะไร ผมอาจจะตอบว่า “จิตตปัญญาเป็นวิชาสิ้นคิด” ไง :-)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ จิตวิวัฒน์
หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 28 พฤศจิกายน 2552
ในโลกไซเบอร์ อินเทอร์เน็ตเชื่อมโยงกันด้วยอิเล็กตรอน มีฟังก์ชันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทวิตเตอร์ แชท เอ็ม บล็อก บอร์ด ดิ๊ก วิดีโอแชร์ริง และอื่นๆ ผู้คนกลายเป็นที่รู้จักโด่งดังกันในชั่วข้ามคืน
สาวใหญ่ หน้าตาธรรมดา ซูซาน บอยล์ (Susan Boyle) จากเมืองเล็กๆ ในสกอตแลนด์ กลายเป็นดาราดังจากการประกวดร้องเพลง คลิปในยูทูปของเธอมีคนดาวน์โหลดชมถึงร้อยกว่าล้านครั้งแล้ว เธอมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นนักร้อง และเป็นดั่งตัวแทนของตัวแทนผู้คนทั่วไปที่ตามค้นหาความฝัน
นิก วูจิซิซ (Nick Vujicic) เกิดออกมามีอาการผิดปรกติแบบเตตร้าอมีเลีย คือไม่มีแขนและขาทั้งสี่ เคยคิดจะฆ่าตัวตายตั้งแต่อายุสิบขวบ แต่เขาก็พบว่าเขาเองไม่ใช่คนเดียวที่ประสบกับความทุกข์ยากลำบากในชีวิต เขาค้นพบว่าศรัทธาเป็นดั่งบ่อน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้เขามีความสุขในการใช้ชีวิต มีพลังไม่เพียงแต่จะมีชีวิตต่อ แต่ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงในแง่บวกต่อผู้คนไม่ว่าจะเป็นผู้พิการหรือครบสามสิบสองอีกเป็นจำนวนมาก คลิปการบรรยายอันน่าประทับใจของเขาถูกคนโหลดดูเป็นล้านครั้งเช่นกัน
แต่บางครั้งอินเทอร์เน็ตก็ทำให้บางคนกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เรียกร้องอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือเต็มใจของเขาคนนั้นหรือไม่ก็ตาม
ปลายเดือนตุลาคม ๒๕๕๒ ชายคนหนึ่งเขียนขอความช่วยเหลือจากชุมชนเว็บบอร์ดพันทิป ห้องมาบุญครอง (ที่พูดคุยเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เสริม และผู้ให้บริการระบบ) โดยตั้งหัวข้อกระทู้ว่าเบอร์โทรศัพท์ของตนถูกขโมยซึ่งๆ หน้าจากผู้ให้บริการมือถือรายใหญ่ที่สุดบริษัทหนึ่ง
เรื่องมีอยู่ว่าเบอร์ของเขาเป็นเบอร์สวย หมายเลข 08X9000600 (มูลค่าตลาดน่าจะเกินครึ่งแสน) อยู่สองหมายเลข เติมเงินใช้ได้ถึงปี ๒๕๕๓ แต่จู่ๆ ก็พบว่าเบอร์ของเขาไม่สามารถใช้งานได้ ศูนย์บริการแจ้งว่าเบอร์นี้ไม่มีในระบบ วันถัดมาไปติดต่อที่ศูนย์ใหญ่ก็พบว่าเบอร์ของตนถูกเปิดใช้บริการโดยคนอื่นไปเรียบร้อยแล้ว เจ้าของกระทู้บอกว่า “อยากได้เบอร์นี้คืนมากๆ เพราะมันมีความหมายกับผมมากๆ (ดูจากชื่อล็อกอินของผมก็ได้)”
เท่านั้นแหละครับ ปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวเรียกร้องยุคดิจิตอลก็เกิดขึ้นเหมือนไฟลามทุ่ง ผู้คนทั้งทวิต บล็อก เอ็ม แชท ฟอร์เวิร์ดเมล และอื่นๆ มีคนเขียนลงหนังสือพิมพ์ เป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง กระทู้ถูกโหวตดันขึ้นให้เป็นกระทู้แนะนำของห้องอย่างรวดเร็ว บางช่วงกระทู้แนะนำของห้องเป็นกระทู้ที่เกี่ยวเนื่องกับกรณี 9000600 เกือบทั้งหมด หากนับรวมความคิดเห็นต่างๆ ก็คงเป็นจำนวนหลายพัน
ชายผู้มีล็อกอินว่า “#เก้าพันหกร้อย#” กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ของคนเล็กคนน้อยกับบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่คนเชื่อ (จากข้อมูลเท่าที่ได้รับมา) ว่าเอาเปรียบผู้บริโภค
มีการตั้งกระทู้โหวตว่าควรทำอย่างไร ผลออกมาว่าเกือบ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าควรฟ้องร้อง ในขณะกลุ่มที่คิดว่าควรรอจนได้เบอร์คืน หรือรับข้อเสนออื่น มีเพียงอย่างละสิบกว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น
กลางเดือน พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เหตุการณ์มาถึงข้อสรุปที่ว่า ทางคุณ #เก้าพันหกร้อย# ยอมรับข้อเสนอจากบริษัท เนื่องจากหมายเลขเดิมคงไม่สามารถใช้ได้อีก เพราะมีคนโทรเข้ามาเยอะมาก จึงเลือกรับเบอร์ใหม่ ซึ่งแม้จะไม่สวยเท่าเดิม แต่ก็พอใจ “ต้องยอมรับว่า ผมไม่มีความพร้อมที่จะดำเนินการฟ้องร้อง เนื่องด้วยภาระหน้าที่ในชีวิตประจำวัน เวลา และอื่นๆ” และลงท้ายว่า “สุดท้ายนี้ ผมขออภัยเพื่อนๆ ในบอร์ด ทุกๆ คนครับ หากการตัดสินใจของผมอาจจะไม่ถูกใจของใครหลายๆ คน ผมยอมรับคำตำหนิของทุกความเห็นครับ ผมจึงขออนุญาตจบเรื่องนี้แต่เพียงเท่านี้ครับ ขอขอบคุณทุกๆ ความคิดเห็น ทุกๆ กำลังใจ ทุกๆ คนที่ติดตาม และช่วยเป็นปากเป็นเสียงให้ผม ขอบคุณทุกๆ คนมากจริงๆ ครับ”
อนิจจา เหตุการณ์ยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ แม้กองเชียร์ส่วนหนึ่งจะรู้สึกยินดีด้วยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่คนอีกจำนวนไม่น้อยกลับรู้สึกว่าตนเองถูกหลอกใช้ให้เรียกร้องต่อรองกับบริษัทเท่านั้น เรียกง่ายๆ ว่า “เซ็งเป็ด” เกิดกระทู้วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์อีกมาก ด่าทอเจ้าของเบอร์อย่างรุนแรง โดยเฉพาะความเชื่อว่าเรื่องนี้อาจเป็นกรณีตัวอย่างสร้างบรรทัดฐานแย่ๆ สำหรับการเรียกร้องให้กับผู้บริโภค เพราะแทนที่บริษัทจะทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดว่าถูกต้อง คือคืนเบอร์ให้กับเจ้าของ แต่กลับไปตกลงต่อรองยอมความกันเอง
ที่น่าตกใจ คือ ปรากฏการณ์ที่หลายคนบอกว่าหากในอนาคตเกิดเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่ยอมไปร่วมเรียกร้องอะไรอีกแล้ว อยู่แบบตัวใครตัวมันดีกว่า หรือถ้าจะทำจริงก็ต้องคิดหลายตลบก่อน
กรณีนี้น่าสนใจ เพราะคงไม่ได้เป็นกรณีสุดท้ายแน่นอน
มีสิ่งดีงามมากมายเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ครั้งนี้
คุณ #เก้าพันหกร้อย# ได้รับน้ำใจจากผู้คนจำนวนมาก ช่วยผลักดันให้เกิดทางออกที่เขายอมรับได้
บริษัทมือถือได้รับบทเรียนว่าการขโมยเบอร์ของผู้ใช้กลับไปไม่สามารถทำได้ง่ายๆ ผลประโยชน์อันใดที่ได้รับไม่คุ้มกับต้นทุนทางสังคมจำนวนมหาศาลที่เสียไปแน่นอน
กองเชียร์ทั้งหลายก็ได้เห็นถึงพลังของคนเล็กคนน้อยที่ช่วยกันเรียกร้องจนผู้เสียหายได้รับการตอบแทน
เราควรเรียนรู้และหาข้อสรุปที่สร้างสรรค์ของกรณีเช่นนี้ให้ดี อนาคตของเราและสังคมเราจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับจิต (consciousness) ของเรา จิตของเราเป็นอย่างไรขึ้นกับเราใส่เหตุอะไรเข้าไป
การเรียกร้องความยุติธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ดี หากว่าเราทำควบคู่ไปกับการสะท้อนใคร่ครวญภายใน จนเราเข้าใจผู้อื่น เข้าใจตนเอง ลดละอัตตาและเท่าทันความคาดหวังของตนเอง ย่อมเป็นการเรียกร้องที่ยิ่งงดงามมากขึ้น
“ไม่มีใครทำให้คุณรู้สึกต่ำต้อย โดยปราศจากความยินยอมพร้อมใจของคุณ” (Eleanor Roosevelt) มิใช่หรือ
ความรู้สึกแย่ๆ ของเราเป็นสัดส่วนโดยตรงกับช่องว่างระหว่างคาดหวังกับความจริง ความคาดหวังของเราที่อยากจะให้ใครบางคน บริษัทบางแห่ง หรือเหตุการณ์บางอย่าง ได้เป็นไปตามที่เราต้องการ กับความเป็นจริงที่เราพบว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนั้น
เราอาจเชียร์ให้คุณ #เก้าพันหกร้อย# เป็นตัวแทนหรือผู้นำการเปลี่ยนแปลงได้ (เพราะเป็นการตัดสินใจของเรา) แต่เราคงไม่สามารถบังคับให้เขาเป็นหรือทำดังใจเราต้องการได้ (เพราะเป็นการตัดสินใจของเขา) ความทุกข์ในใจเราอาจเกิดจากใจยังไม่ยอมรับความแตกต่างในข้อนี้ใช่หรือไม่
การแบ่งปันและร่วมกันสร้างการเรียนรู้ให้สังคมเช่นนี้มีความสำคัญ หากเราอุปโลกน์ให้ใครเป็นผู้นำ (ไม่ว่าโดยความตั้งใจหรือยินยอมหรือไม่) แล้วเขากลับไม่ทำตามใจเรา เราก็ด่าทอเขา สาดเสีย เทเสีย อนาคตจะมีใครยอมเป็นผู้นำเล่า หากถูกรัฐหรือบริษัทเอารัดเอาเปรียบ เขาอาจจะก้มหน้ายอมรับแล้วเฉยๆ ไป เพียงเพราะเกรงว่าเขาไม่อาจทำตัวได้เทียบเท่ากับความคาดหวังของกองเชียร์
สังคมที่หล่อเลี้ยงดูแลกันสร้างได้ด้วยการที่เราทุกคนกลับมาเริ่มที่ตนเอง ไม่ยกภาระการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงทั้งจิตสำนึกและการกระทำไปให้ผู้อื่น ไม่ยอมให้ตนเองใช้การกระทำของผู้อื่นที่ไม่ตรงกับใจของเรามาเป็นเหตุผลในการที่เราจะไม่ทำในสิ่งที่เราควรทำ
เราสามารถประสบผลสำเร็จอันน่าทึ่งมากมาย หากว่าเราทำโดยไม่คาดหวังผล
เมื่อกลางปีที่แล้ว คุณรสนา โตสิตระกูล มาเล่าเรื่องแบ่งปันประสบการณ์การเดินทางของเธอให้กลุ่มจิตวิวัฒน์ฟัง (บันทึกการประชุมจิตวิวัฒน์ทั้งหมดสามารถหาอ่านได้ที่ sph.thaissf.org) เธอเล่าถึงประสบการณ์การทำงานร่วมสามสิบปีกับโครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง (“ต้องเน้นคำว่าเพื่อการพึ่งตนเองนะ” เธอว่า) รู้สึกพอจะมีความสำเร็จอยู่บ้าง แต่เมื่อระบบประกันสุขภาพเข้ามา ประชาชนกลับเลิกพึ่งตนเอง หันไปพึ่งหน่วยงานรัฐเหมือนเดิม ทำให้เธอท้อแท้มาก
ภายหลังเธอนึกถึงหนังสือ ตำนานของซิเซฟัส (The Myth of Sisyphus) ของ อัลแบร์ กามู (Albert Camus) ที่พูดถึงซิเซฟัส ตัวละครในตำนานเทพปกรณัมกรีก ผู้ถูกสาปให้ทำงานที่ดูเหมือนจะไม่มีความหมาย คือเข็นก้อนหินขึ้นไปยอดเขา เพียงเพื่อให้มันไหลกลับลงมาอีก “วันหนึ่ง ขณะซิเซฟัสเข็นหินขึ้นภูเขา เขาได้พบดอกไม้เล็กๆ ที่บานสะพรั่งอยู่ริมทางแล้วพลันก็มีความสุข มนุษย์อาจจะเป็นอย่างนั้น” หรืออย่างในหนังสือของกามูจบลงตรงที่ว่า การต่อสู้โดยตัวมันเองแล้วก็เพียงพอที่จะเติมเต็มหัวใจของมนุษย์
อีกเรื่องหนึ่งที่สังคมไทยควรได้ร่วมรับรู้อย่างยิ่ง ก็คือกรณีการยับยั้งไม่ให้นำการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) เข้าตลาดหุ้น หลายคนไม่เห็นด้วยกับเธอที่จะต่อสู้ เธอพูดเล่นๆ ว่า “เธอไม่เคยฟัง ภาษิตจีนเหรอว่า ‘ความพยายามอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า’ เรากำหนดไม่ได้หรอกว่าความสำเร็จจะมาได้อย่างไร แต่หน้าที่ของเราคือพยายามไปก่อน” หรือ “ประชาชนมีแต่กำไรกับเสมอตัวเท่านั้น ไม่มีอะไรขาดทุน”
ตอนศาลตัดสินยับยั้ง ผู้คนต่างตื่นเต้นยินดี นักข่าวมาสัมภาษณ์ว่าตอนที่ทำคาดหวังไหมว่าจะชนะ เธอว่าเปล่าเลย ไม่ได้คาดหวังว่าจะมันจะต้องชนะ
นักข่าวถามอีกว่า “ถ้าไม่คิดว่าจะชนะแล้วสู้ทำไม”
เธอตอบไปว่า “อ้าว ... มีแต่เรื่องที่ชนะเท่านั้นหรือที่คุณจะสู้?”
จริงสินะ หรือว่าชีวิตนี้มันดีตรงที่มันได้สู้ ได้ลงมือทำ ไม่ใช่แค่ตรงที่มันต้องได้ผลชนะเท่านั้น
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ จิตตปัญญา
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ ฉบับประจำวันที่ 8 พฤศจิกายน 2552
ในชีวิตของคนเราล้วนเต็มไปด้วยคำถาม นับตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในเวลาเช้า เรานึกขึ้นในใจทันทีว่า “นี่มันกี่โมงแล้วนะ?” แม้ในระหว่างอาบน้ำแต่งตัวก็ยังไม่วายได้เกิดคำถามขึ้นมาว่า “วันนี้จะใส่เสื้อตัวไหนสีอะไรดี?” จนช่วงเพลินๆ ระหว่างการเดินทางไปทำงาน ในใจพลอยคิดไปแล้วว่า “งานที่ยังทำค้างอยู่จะเร่งให้เสร็จทันวันนี้ไหม?” “เช้านี้จะส่งลูกไปทันเวลาไม๊นะ?” ยิ่งช่วงนี้ใกล้จะสิ้นปี มักมีคำถามทำนองว่า “จะได้ขึ้นเงินเดือนสักเท่าไหร่?” หรือ “อนาคตการงานของเราจะไปได้ในในบริษัทนี้หรือเปล่า?” จนเย็นทำงานเลิกค่ำเรายังมีคำถาม “ทำงานหนักขนาดนี้ไปทำไมกัน?” หรือบางครั้งก็เป็นคำถามที่มาตามสถานการณ์แต่ละช่วงของชีวิต เช่น ตกลงจะซื้อบ้านดีไหม? โรคที่เป็นควรจะผ่าตัดหรือรักษาด้วยวิธีอื่น? ไปเรียนต่อดีไหม?
คำถามเหล่านี้ล้วนมีระดับความยากง่ายและความซับซ้อนของเรื่องราวต่างกันไป บางคำถามก็อยู่ในภาวะที่เราต้องตัดสินใจลงมือกับสถานการณ์ตรงหน้า บางคำถามเป็นแค่เรื่องที่ต้องคิดอย่างเป็นประจำทุกวัน เป็นคำถามที่ตัดสินใจตอบหรือเลือกแล้วก็จบกันไปในแต่ละครั้ง แต่ว่าบางคำถามกลับยังซุกซ่อนและวนเวียนในใจ และคำถามเช่นนี้ก็มีพลังในการผลักดันการตัดสินใจ การเลือกใช้ชีวิตของเราเอง
ในการฝึกอบรมด้วยกระบวนการแบบจิตตปัญญาซึ่งเน้นการมีสติ การเรียนรู้ด้วยใจที่ใคร่ครวญ ผมและเพื่อนกระบวนกรมักจัดกิจกรรม “คำถามสำคัญ” ให้ผู้เข้าร่วมได้ลองทบทวนว่า อะไรคือคำถามสำคัญในการเดินทางของชีวิต อะไรคือคำถามที่ผลักดันหรือ drive ชีวิตเขา หรืออาจจะพูดได้ว่า ชีวิตของเขาที่ดำเนินอยู่นี้เป็นไปเพื่อตอบคำถามอะไร
เมื่อทุกคนได้แบ่งปัน อ่านคำถามของตนทีละคน เราได้ยินทั้งคำถามที่ดูเรียบง่าย เช่น “ทำงานไปเพื่ออะไร” มีคำถามที่เป็นเรื่องของครอบครัว เช่น “ฉันจะดูแลพ่อแม่ให้ดีที่สุดได้อย่างไร” “ลูกจะเป็นยังไงบ้างในตอนนี้” “ฉันจะหาสมดุลของชีวิตงานและชีวิตครอบครัวได้อย่างไร” ไปจนถึงคำถามที่พยายามสืบค้นหาความหมายของชีวิต เช่น “อะไรคือความสุขของชีวิต” “เราเกิดมาทำไม” “เป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตเราคืออะไร”
คำถามหลากหลายเหล่านี้ล้วนถูกเอ่ยออกมาจากปากของผู้คนทุกแบบทุกระดับนับแต่ลูกจ้างชั่วคราว ครูอาจารย์ ไปจนถึงผู้บริหารผู้นำองค์กร แม้ถ้อยคำจะดูแตกต่างกันมาก แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเราล้วนคล้ายคลึงกันเหลือเกิน สิ่งที่เราครุ่นคิดคำนึงถึงล้วนผูกพันกับชีวิตและการดำรงอยู่ของแต่ละคนอย่างยิ่ง
ช่วงเวลาการรับฟังคำถามสำคัญของเพื่อนร่วมองค์กร เพื่อนร่วมทางเดินชีวิตนี้ช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความงดงาม ทรงพลัง และน่าทึ่ง เราต่างร่วมเป็นประจักษ์พยานในการเผยถึงคำถามสำคัญในชีวิตของตน
แม้ว่าการอบรมหลายครั้งจะมีผู้เข้าร่วมมาจากองค์กรเดียวกัน มีความคุ้นเคยกันดี แต่กระบวนการนี้กลับทำให้เราทุกคนได้รู้จักกันอย่างลึกซึ้งในมิติแง่งามที่หลากหลายต่างกันและทำให้เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นไปทุกครั้ง ได้เข้าใจกันว่าทำไมแต่ละคนถึงเป็นเช่นนั้น และไม่เพียงรู้จักผู้อื่น เรายังได้รู้จักตัวของเรามากยิ่งขึ้น ลึกซึ้งยิ่งขึ้นจากคำถามสำคัญในชีวิตของเรานี้เอง
หลังจากนั้น ผมมักอ่านตัวอย่างคำถามสำคัญในชีวิตของนักศึกษาระดับปริญญาตรีจากชั้นเรียนที่ผมใช้กระบวนการจิตตปัญญาศึกษา ดังเช่น “จบแล้วทำอะไร ไปไหน?” “ทำไมถึงต้องมานั่งเรียนหนักขนาดนี้ ผลักดันตัวเองไปทำไม?” “สิ่งที่เราเลือกและทำจะเป็นที่พอใจของพ่อแม่รึป่าว?” “ทำอย่างไรชีวิตถึงจะมีความสุข?” เราเห็นร่วมกันอย่างชัดเจนไม่ว่าคำถามของคนในวัยทำงานหรือคำถามของนักศึกษาก็ไม่ต่างกัน ไม่มีคำถามไหนที่ผิด เล็กเกินไป ไม่มีความหมาย หรือไม่มีความสำคัญ ล้วนเป็นคำถามที่ “จริง” ทั้งสิ้น
การศึกษาจะเป็นการศึกษาที่มีความหมาย ผู้เรียนให้คุณค่า ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วอยากไปโรงเรียน อยากไปมหาวิทยาลัย นักเรียนนักศึกษารักและตั้งใจในการเรียน ก็ต่อเมื่อการศึกษานั้นเชื่อมโยงกับคำถามสำคัญในชีวิตของเขาได้ ไม่ใช่ทำให้เขาเพียงแค่เรียนเพื่อสอบ
งานจะเป็นงานที่มีความหมาย คนทำงานให้คุณค่า ตื่นเช้าขึ้นแล้วอยากไปที่ทำงาน ทำให้เขารักและตั้งใจในการทำงาน ก็ต่อเมื่องานนั้นเชื่อมโยงกับคำถามสำคัญในชีวิตของเขาเช่นกัน ไม่ใช่ทำให้เขาทำงานเพียงเพื่อหาเงินเท่านั้น
กระบวนการเรียนรู้และการทำงานแบบจิตตปัญญาที่มีความหมาย จึงต้องเป็นกระบวนการที่เข้าไปดูแล (address) มีความสัมพันธ์ (relate) เชื่อมโยง (connect) หรือทำความชัดเจน (clarify) ให้แก่คำถามสำคัญที่ผลักดันการดำเนินชีวิตของเรา ... แม้ว่าอาจจะยังไม่ได้ตอบคำถามสำคัญของเราในตอนนี้ก็ตาม
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ จิตตปัญญา
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ ฉบับประจำวันที่ 11 ตุลาคม 2552
เหมือนขึ้นรถไฟเหาะทางอารมณ์
จากใบประเมินที่ผมให้นักศึกษาปีหนึ่ง มหิดล หลายคณะ เขียนสะท้อน “อะไรก็ได้” โดยที่ไม่ต้องลงชื่อและไม่มีผลต่อคะแนน หลังจากจบชั่วโมงบรรยาย ๑๒ ชั่วโมงของวิชาชีววิทยาเบื้องต้น
“ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเขียนอะไรที่จะแทนความประทับใจ ความขอบคุณให้แก่อาจารย์ ... ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณครับที่มอบทางสว่าง ไม่สิ ขอบคุณที่ทำให้ผมเห็นจุดหมาย ก่อนมาที่นี่ ผู้คนมากมายถามผมว่ามาเรียนคณะวิทยาศาสตร์แล้วจะทำอาชีพอะไร ก็ตอบไปก่อนว่าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่ในใจน่ะหรอ ไม่เลย ไม่รู้เลยจริงๆ” (อรรถพล อ.)
“เริ่มรู้สึกว่าการเรียนมหาลัยไม่ใช่เพื่อเป็นที่ 1 คณะ หรือได้คะแนนเกินมีนมาเยอะๆ แต่มันประกอบด้วยการมีศีลธรรม รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักธรรมชาติ รู้จักการเอาใจใส่คนรอบข้าง เกรดก็สำคัญ แต่เกรดไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต มีอะไรให้ชีวิตเราค้นหามากกว่านั้น มันคือความสุขของชีวิต เมื่อเราได้ทำในสิ่งที่ชอบ ไม่ต้องสนใจว่าสาขานี้เป็นสาขาที่ต้องการ มีรายได้ดี ขอบคุณอาจารย์มากๆ ครับที่สอนแนวคิดดีๆ ที่หาไม่ได้จากที่อื่นให้ผมครับ” (จิรพงศ์ บ.)
เมื่อเราเปิดพื้นที่ให้กับอารมณ์ ความรู้สึก ความเชื่อ และความรัก พลันสิ่งที่ปรากฏขึ้นในห้องเรียนอย่างเรียบง่ายและงดงามก็คือ ความเป็นมนุษย์ อันเรียบง่ายและงดงามเช่นเดียวกัน
นักศึกษาแบ่งปันบางส่วนของชีวิตที่มีทั้งความสุข ตื่นเต้น ในการเรียนรู้และความทุกข์ในการสอบ
จำนวนไม่น้อยระบายความอัดอั้นตันใจจากระบบการศึกษาที่ทำให้คนครึ่งหนึ่งรู้สึกโล่งอก เพราะคะแนนสอบกลางภาคผ่านมีน (คะแนนเฉลี่ย) ส่วนอีกร้อยกว่าคนรู้สึกเซ็งเป็ด พยายามเอาตัวรอดในระบบที่ต้องดิ้นรนเกือบตลอดเวลา เพียงเพื่อจะให้ไม่ “ตกมีนหัวแตกตาย”
บ้างโหยหาอ้อมกอดและความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ผู้อยู่แดนไกล เพราะต้องอยู่ห่างบ้านเป็นครั้งแรก
บ้างมีความรักให้ผู้อื่น แม้ตนเองจะเรียนในคณะที่คะแนนไม่สูงและไม่มั่นใจกับคุณค่าภายในของตนเอง “ผมขอให้อาจารย์ดูแลน้องของผมในปีหน้าดีๆ นะคร้าบ ผมเชื่อว่าอาจารย์ทำได้ เท่าที่ผมเรียนมาอาจารย์บางท่านท่านพูดออกมาเลยว่า ‘ไม่มีอาจารย์คนไหนอยากสอน [คณะของผม]’ แต่ผมว่าอาจารย์ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น จิงป่าวคราาบ” (สุทธิศักดิ์ ป.)
ความทุกข์ ความกังวลใจถูกระบายออกมาให้คนที่เขาเชื่อว่าฟังเขา โดยไม่ได้ตัดสินเขา แม้ว่าเพิ่งจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันแค่สิบกว่าชั่วโมงในห้องบรรยาย อ่านไปร่วมสี่ร้อยแผ่นเล่นเอาผมน้ำตาซึม กับความสดใส ตรงไปตรงมาของพวกเขา กับความทุกข์-ความสุขของคนที่อยู่ในวัยแสวงหาและเติบโต กับความไว้วางใจที่เขามอบให้
อันที่จริงผมได้ลองพยายามผสานเอาแนวคิดจิตตปัญญา (Contemplative Learning /Education) เข้าไปในมิติต่างๆ ของชีวิต ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน การเรียนการสอน ทั้งวิชากึ่งปฏิบัติการชั้นปีสูงๆ และวิชาบรรยายชั้นปีหนึ่งห้องละ ๒๐๐ กว่าคน แล้วก็วิชาบรรยายเช่นนี้แหละที่ดูเหมือนจะท้าทายทั้ง ความหวังและจินตนาการอย่างยิ่ง
บางครั้งก็ต้องหยุดตั้งคำถามกับตนเอง เมื่อผู้หวังดีซึ่งมีประสบการณ์กับระบบการศึกษาไทยมายาวนาน ได้ช่วยประเมินเรื่องการเรียนรู้ด้วยใจที่ใคร่ครวญ เพื่อสร้างสมดุลของการรับรู้และเรียนรู้ทั้งตนเองและโลกภายนอกนี้ ให้อย่างสั้นๆ กระชับได้ใจความว่า “เพ้อผัน” ไม่มีหวังหรอกกับระบบและสถานการณ์โลกความเป็นจริงอย่างเช่นในปัจจุบัน
ผมพลันนึกถึงคำที่ สาทิศ กุมาร (หนังสือ มีเธอจึงมีฉัน: คำประกาศแห่งการพึ่งพา) ให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ The Guardian (๑๖ มกราคม ๒๐๐๘) ไว้ว่า “ดูผลงานที่พวกอยู่ในโลกความเป็นจริงทำกับพวกเราสิ เขานำเราไปสู่สงคราม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ความยากไร้เกินจะคาดคิด และระบบนิเวศอันย่อยยับ มนุษยชาติครึ่งหนึ่งหลับไปพร้อมกับความหิวโหย เป็นเพราะบรรดาผู้นำที่ติดอยู่ในโลกความเป็นจริงเหล่านี้นี่แหละ ฉันบอกกับคนที่เรียกฉัน ‘เพ้อฝัน’ ให้ช่วยแสดงให้ดูด้วยว่าความเชื่อในโลกความเป็นจริงของเขานั้นมีผลอะไรบ้าง มันเป็นความเชื่อที่ล้าหลัง ถูกใช้จนเกินเลย และโอ้อวดจนเกินจริง”
บางทีคำว่าเพ้อฝันอาจเป็นคำชมว่าเราเป็นผู้มีความหวังและจินตนาการก็เป็นได้
“อาจารย์ ... อาจารย์ สิ่งที่อาจารย์ให้มันมากกว่าคำว่าความรู้ มากกว่าสิ่งที่เคยได้จากห้องเรียน ต่างจากที่เคยรู้สึกในทุกๆ วัน อาจารย์เชื่อไหมว่าเด็กคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดชอบชีวะเลย ... คิดว่ามันน่าเบื่อ แต่ตอนนี้กลับอยากเข้าห้องเรียน อยากมานั่งฟัง รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ... มันสนุกนะ ถามว่าอะไรโดนเหรอคะ โดนตรงที่มันเปลี่ยนความคิดของคนได้ เนี่ยหล่ะโดนสุด” (ไม่ลงชื่อ)
ใช่หรือไม่ต้องเอาไปลองฝันดู :-)
ยินดีต้อนรับสู่การเดินทางบทใหม่
Posted by knoom at 7:00 PM Labels: จิตตปัญญา, จิตตปัญญาศึกษา, ณ พรมแดนแห่งความรู้, มหิดลตีพิมพ์ในคอลัมน์ ณ พรมแดนแห่งความรู้
หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
ฉบับประจำวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๒
“ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเขียนอะไรที่จะแทนความประทับใจ ความขอบคุณให้แก่อาจารย์ ทึ่งในตัวอาจารย์มาก ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณครับที่มอบทางสว่าง ไม่สิ ขอบคุณที่ทำให้ผมเห็นจุดหมาย ก่อนมาที่นี่ ผู้คนมากมายถามผมว่ามาเรียนคณะวิทยาศาสตร์แล้วจะทำอาชีพอะไร ก็ตอบไปก่อนว่าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่ในใจน่ะหรอ ไม่เลย ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าตนเองต้องการเป็นแบบไหน” (อรรถพล อ.)
“ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา” ผมนึกถึงสำนวนนิยายจีนของโกวเล้ง
ภาคการศึกษานี้ อาจจะเป็นภาคการศึกษาสุดท้ายของผมในการเลกเชอร์ให้กับนักศึกษาปีหนึ่งของมหิดล การสอนบรรยายให้นักศึกษาห้องละสองร้อยกว่าคน หลายคนมองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ เบื่อกันทั้งคนสอนและคนเรียน ก็น่าเห็นใจอยู่หรอกนะ กับระบบการศึกษาที่ท่องไปเพื่อคะแนน เรียนไปเพื่อสอบ
แต่สำหรับผมแล้ว การไปสอนเลกเชอร์เป็นการเติมเต็มความหมายของชีวิต การได้เปลี่ยนบทบาทจากเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เคยนั่งหันหน้าหากระดานดำ เรียนบ้าง จดบ้าง คุยบ้าง หลับบ้าง แอบกินขนมบ้าง กลับมายืนหน้าห้องบรรยายห้องเดิม แต่ครั้งนี้หันหน้าไปทางหลังห้อง เหมือนมองย้อนกลับไปจนเห็นตนเองในอดีต มันเปรียบดั่งการจาริกไปสู่ต้นกำเนิดแห่งตัวตนของผมเอง
ไม่มีวันไหนแม้แต่วันเดียวที่ไม่อยากไปสอน ฝนตก แดดออก รถติด ถนนว่าง วันเดินทางไปศาลายาเป็นวันที่ตื่นเต้น อุดมไปด้วยโอกาสและความเป็นไปได้ ไม่มีสองวันไหนที่เหมือนกันเลย
ยิ่งปีสุดท้ายปีนี้ด้วยแล้ว เลกเชอร์แต่ละครั้งยิ่งมีความหมายกับผมอย่างมาก
ผมรู้ว่าจะทำให้ดีที่สุด แต่ไม่เคยรู้เลยว่าผลจะออกมาอย่างไร และการที่ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรนี่ด้วยกระมังที่ทำให้มันน่าตื่นเต้นเข้าไปใหญ่

คืนก่อนหน้า ผมมักจะนั่งทำ PowerPoint อย่างบรรจง เตรียมเล่าข่าวสดๆ ทันเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกับเนื้อหา เลือกรูป เลือกสไลด์ เลือกคลิปด้วยความพิถีพิถัน จนบางทีสงสัยว่าย้ำคิดย้ำทำเกินไปหรือเปล่า แต่เมื่อคิดว่ากับช่วงเวลาสั้นๆ ๖ สัปดาห์ สัปดาห์ละ ๒ ชั่วโมง แต่ละนาทีนับว่ามีความหมายไม่น้อย
อันที่จริง ๑๒ ชั่วโมง กับเนื้อหา ๑๑ บท ๑๙๘ หน้าแล้ว มันง่ายมากเลย ที่คนสอนอย่างเราๆ จะเดินทางเข้าสู่ร่องของการเรียนรู้ที่เราคุ้นเคยตั้งแต่สมัยเราเป็นนิสิตนักศึกษาเอง เพราะลำพังแค่สรุปเนื้อหาในหนังสือมาสอนก็แทบจะไม่ทันแล้ว “ไม่ใช่แต่ พูดๆ ไปตามหนังสือ พอเสร็จ เด็กก็ไปคายๆๆ ในห้องสอบ ใครจำได้มากได้คะแนนมาก หนูรู้สึกว่ามันไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่” (รหัส 520517X)
หรือว่าเราต้องเชื่อว่านักศึกษาเขาเรียนรู้เองได้ รับผิดชอบตนเองได้ หากว่าเขาต้องการ ถ้าเช่นนั้น ความท้าทายของเราอาจจะไม่ได้อยู่ที่การพยายามอัดหรือยัดเนื้อหาให้ได้มากที่สุด แต่อยู่ที่การทำให้เขาเห็นคุณค่า ความหมาย ความสำคัญ ความน่าทึ่ง ในโอกาสและวิชาที่อยู่เบื้องหน้าเขา
หากเราเชื่อในเจตจำนงอิสระของมนุษย์แต่ละคน และสามารถโยงสิ่งที่เขาเรียนเข้ากับชีวิตของเขาได้ ก็คงไม่ต้องขู่เข็ญใครให้มาเข้าเรียน รวมไปถึงบังคับข่มขู่ด้วยระบบคะแนน
ผมสนุกกับการสร้างความหมายใหม่ให้กับวิชาชีววิทยา วิทยาศาสตร์ การเรียนรู้ และการมีชีวิต ร่วมกันไปกับรุ่นน้องคณะ เชื้อเชิญอารมณ์ ความรู้สึก ความมีชีวิตชีวา ความเป็นมนุษย์กลับเข้ามาสู่การเรียนรู้อีกครั้ง (โดยไม่ได้พูดถึงคำว่า จิตตปัญญาศึกษา, Contemplative Education หรือ Humanized Educare เลย) เชิญชวนให้เขาตั้งคำถามกับสิ่งที่เขาเรียน วิธีการที่เขาเรียน และเป้าหมายของการเรียนของเขา (สไลด์แรกสุดคือคำถามว่า “จะเรียนไป ... ทำไม?”)
แน่นอน นักศึกษาจะรู้สึกงงๆ ในตอนต้น
“แรกๆ ผมก็โดด คิดว่าไปอ่านเองแล้วจะได้อะไรมากกว่า แต่หลังๆ ก็เริ่มเข้า [เรียน] ทำให้รู้สึกว่าไม่น่าโดดเลย อาจารย์สอนอะไรมากกว่าในหนังสืออีก ทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่าการเรียนมหาลัยไม่ใช่เพื่อเป็นที่ 1 คณะ หรือได้คะแนนเกินมีนมาเยอะๆ แต่มันประกอบด้วยการมีศีลธรรม รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักธรรมชาติ รู้จักการเอาใจใส่คนรอบข้าง เกรดก็สำคัญ แต่เกรดไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต มีอะไรให้ชีวิตเราค้นหามากกว่านั้น มันคือความสุขของชีวิต เมื่อเราได้ทำในสิ่งที่ชอบ ไม่ต้องสนใจว่าสาขานี้เป็นสาขาที่ต้องการ มีรายได้ดี ขอบคุณอาจารย์มากๆ ครับที่สอนแนวคิดดีๆ ที่หาไม่ได้จากที่อื่นให้ผมครับ” (จิรพงศ์ บ.)
ทุกครั้ง ก่อนหมดคาบ ๑๐ นาที ผมให้ทุกคนเขียนสะท้อนว่า ๑) สิ่งสำคัญที่สุดที่เขาได้เรียนรู้ หรือสิ่งที่เขารู้สึก “โดน” ที่สุดในวันนั้นคืออะไร และ ๒) เขามีอะไรที่อยากจะถาม/รู้/บอก/แนะนำ แต่ละสัปดาห์ผมจึงมีกระดาษสองร้อยกว่าแผ่นกลับบ้าน ผมอ่านทุกใบด้วยความสนใจใคร่รู้ อยากรู้จักแต่ละคน อยากเข้าใจในที่มาของแต่ละคน ผมคัดไว้จำนวนหนึ่งเพื่อมาอ่านตอนต้นชั่วโมงถัดไป ทั้งข้อคิดเห็น คำบ่น คำแซว คำชม โดยเฉพาะคำถาม ซึ่งผมมักตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง “อย่าฆ่าคำถามดีๆ ของเขา ด้วยคำตอบห่วยๆ ของเรา” ผมเตือนตนเอง
วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ผมชวนนักศึกษาทำ Intuitive Writing ให้เขาได้แบ่งปัน “อะไรก็ได้” เพื่อสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นจากชั้นเรียนที่ผ่านมา การเขียนนี้ไม่มีผลต่อคะแนน และไม่จำเป็นต้องลงชื่อ
คำแนะนำสั้นๆ ของผม คือ เขียนโดยไม่หยุด ไม่ยกปากกาขึ้น เขียนไปเรื่อยๆ หากนึกไม่ออก ก็เขียน “นึกไม่ออก นึกไม่ออก” สบายๆ ผ่อนคลาย ไปเรื่อยๆ เป็นเวลา ๑๐ นาที
สิบนาทีสั้นๆ ที่ยิ่งใหญ่ และมีความหมายสำหรับผม สัมผัสรับรู้ได้ว่าทำไมมีนักศึกษาหลายคนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“At first, I thought that there was nothing interesting in sitting and studying in the room. Though it was freaking hard waking up in the morning, walking to the [Lecture Hall], but I did it with cheering ’cause it was Monday, the day I get to study Biology with you. ... There are lots of things out there waiting to be explored, but I just ... waste my time fooling around on the internet. Your words are like wake up calls to me. ... Thank you for everything. You’re such a heaven-sent. I’m honored.” (ภัทราวรรณ พ.)
“อาจารย์เชื่อไหมว่าเด็กคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดชอบชีวะเลย ... คิดว่ามันน่าเบื่อ แต่ตอนนี้กลับอยากเข้าห้องเรียน อยากมานั่งฟัง รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ... ถามว่าอะไรโดนเหรอคะ โดนตรงที่มันเปลี่ยนความคิดของคนได้ เนี่ยหล่ะโดนสุด” (ไม่ลงชื่อ)
“การได้เรียนรู้แนวการเรียนที่มันแตกต่างออกไป มันทำให้เราได้คิดย้อนกลับมามองตัวเองมากขึ้นว่าสิ่งที่เราเรียนเราเรียนไปเพื่ออะไร เพื่อเอาไปทำอะไร แล้วมันมีความสัมพันธ์กับชีวิตรอบตัวของเราอย่างไร ทั้งคน-สัตว์และพืช (สิ่งแวดล้อม) มีความสัมพันธ์กันทั้งนั้น แต่เรากลับมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไป ทำให้เราไม่รู้จักพอ” (โฆษิต ฐ.)
“เป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาจากที่อื่นมาทดแทนได้ การเรียนชีววิทยาที่น่าตื่นเต้นในมุมมองของคนที่จะศึกษาวิทยาศาสตร์กายภาพอย่างผมนี้” (พิษณุ บ.)
“แท้จริงแล้วมนุษย์ก็เป็นส่วนเล็กๆ ของธรรมชาติ แม้ว่าจะได้เจออาจารย์เพียงช่วงสั้นๆ แต่หนูก็ดีใจและภูมิใจมากๆ ค่ะ ที่ได้เป็นศิษย์คนหนึ่งของอาจารย์ หนูจะใช้เวลาอีก 3 ปี+1 เทอมในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ให้มีคุณค่ามากที่สุดเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในห้องเรียน ก่อนออกไปเผชิญกับโลกภายนอกอย่างเต็มภาคภูมิ หนูสัญญาว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดีเหมือนอย่างที่อาจารย์เป็น จะไม่เอาความรู้ที่เรามีไปเอาเปรียบใคร ... ขอบคุณมากๆ ค่ะ สำหรับการเรียนใน 6 ครั้งที่ผ่านมา แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่หนูก็ดีใจ และขอบคุณจากใจค่ะ” (520517X)
“ก็ไม่รู้สิ มีอะไรอยากบอกมากกว่านี้ตั้งมากมาย แต่ก็นะ บอกไม่หมดหรอก ขอบคุณล่ะกันครับ ความรู้สึกที่มากที่สุดตอนนี้คงเป็นคำว่า ขอบคุณ” (อรรถพล อ.)
ใช่เลย ความรู้สึกเด่นชัดที่สุดของผมขณะนี้ คือ ขอบคุณ ขอบคุณเหล่านักเดินทางรุ่นเยาว์เหล่านี้ พวกเขาเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้การเดินทางท่องไปในโลกใบกว้าง พร้อมๆ กับเดินทางเข้าไปในใจในกาย ที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบ น่าอัศจรรย์ไม่แพ้กัน ดังเช่นที่ สาทิศ กุมารเคยกล่าวไว้ “มีเธอ จึงมีฉัน”
ชวนให้ผมนึกถึงการเดินทางด้วยเท้าอันยิ่งใหญ่ในโลก โดยเฉพาะการเดินทางของคานธี ไปทำเกลือทะเลที่นำไปสู่การประกาศอิสรภาพของอินเดีย การเดินทางโดยปราศจากเงินแม้เพียงรูปีเดียว ของสาทิศ กุมารจากอินเดียไปยุโรปและอเมริกา เพื่อส่งมอบ “ชาสันติภาพ” แก่ผู้นำประเทศมหาอำนาจทางนิวเคลียร์ รวมถึงการเดินทางของประมวล เพ็งจันทร์ อันเป็นที่มาของหนังสือ “เดินสู่อิสรภาพ”
การเดินทางเล็กๆ ในชั้นเรียน แม้จะไม่โด่งดังและยิ่งใหญ่เท่ากับการเดินทางเหล่านั้น แต่ก็ “จริง” อย่างยิ่งสำหรับบรรดาเหล่านักเดินทางรุ่นใหม่ เป็นดั่งคำเชื้อเชิญให้เปิดใจ เรียนรู้ และออกเดินทางสู่การตื่นรู้ ในวิถีที่ไม่แยกเป้าหมายทางวิชาชีพ (professional quest) ออกจาก เป้าหมายทางจิตวิญญาณ (spiritual quest)
ชั้นเรียนของเราอาจจะจบแล้ว แต่การเดินทางของเราอาจจะเพิ่งเริ่มต้นขึ้นก็ได้
ยินดีต้อนรับสู่การเดินทางบทใหม่ครับ :-)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ จิตตปัญญา
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ ฉบับประจำวันที่ 13 กันยายน 2552
เช้าวันแดดออกรำไรๆ สลับฝนพรำ หลังทานข้าวสุดอร่อยฝีมือคุณแม่ร่วมกันพร้อมพี่สาวและน้องชาย รู้สึกหนังท้องชักตึงหนังตาชักหย่อน ผมเลือกออกไปเดินเล่น ช่วยร่างกายย่อยอาหารและฝึกฝนจิตใจ เดินไปอย่างไร้จุดหมาย ผ่านโรงเรียนสมัยอนุบาลและประถมของผมเอง นึกตั้งคำถามว่าตอนเด็กๆ เราเรียนอะไรและอย่างไร
น่าช็อกว่าแต่ก่อนนั้นความรู้ที่ว่าการเรียนรู้ เหมาะสมกับการพัฒนามนุษย์ให้สมบูรณ์รอบด้านนั้นก็มีอยู่ แต่ผมกลับได้รับการศึกษาเหมือนผลิตปลากระป๋องในโรงงาน ทั้งๆ ที่โรงเรียนนี้ก็มีชื่อไม่น้อย พวกเราล้วนต้องแข่งขันกันเป็นปลาซาร์ดีนที่คุณภาพสูงสุด กระป๋องมันวาว ไม่บุบ และมีโอเมกา-3 โดยเฉพาะ DHA ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจและลดความเครียดได้ดีที่สุด ... แต่ลงเอยก็ยังคงเป็นแค่ปลากระป๋อง
แต่เช้ามาเราก็ได้เล่นนิดเดียว ครูมักมาเตือนให้รู้จักเล่นน้อยๆ หน่อย จากนั้นเข้าแถวเคารพธงชาติ ยืนเมื่อย ฟังครูเทศน์ เรื่องอะไรคิดว่าไม่มีใครจำได้เลย จำได้แต่ว่าพวกเราเบื่อและไม่เชื่อ (หรอก) แล้วเข้าห้องเรียน เรียนอะไรที่ตาดีได้ ตาร้ายเสีย บางครั้งก็สนุกดี บางทีก็น่าเซ็ง เที่ยงทานอาหารรสชาติไม่อร่อย บ่ายเข้าไปนั่งเรียนๆ หลับๆ ในห้องจนเย็น
แต่ที่น่าช็อกกว่าก็คือ ตารางการใช้ชีวิต (หรือฆ่าเวลา?) ของนักเรียนไทยส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นแบบนี้
หรืออาจเพราะเราเชื่อฝรั่งมากเกินไป เห็นเขาใช้กรวยประสบการณ์ (Cone of Experience) ของเอดการ์ เดล ในการออกแบบการศึกษา เราก็ใช้บ้าง ที่สำคัญคือเอามาไม่หมด เขาว่าให้จัดจากฐาน (ว่าด้วยการให้มีประสบการณ์ตรง) ให้ถึงยอด (ว่าด้วยเรื่องสัญลักษณ์ในภาษา) แต่เราก็มักน้อย เอาแค่แถวๆ ยอดกรวยก็พอ
น่าดีใจที่เดี๋ยวนี้องค์ความรู้เรื่องการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ดี เรื่องกระบวนการเรียนรู้แบบจิตตปัญญา (Contemplative Education) นั้นเริ่มมีผู้สนใจและแพร่หลายมากขึ้น ไม่ถูกจำกัดอยู่แต่ในเฉพาะโรงเรียนทางเลือกหรูๆ แพงๆ ผู้คนเริ่มสร้างทางเลือกในการเรียนรู้ให้กับตนเอง (และลูกๆ หลานๆ) มากขึ้น บ้างก็เรียกชื่ออื่นๆ อีกมาก อาทิ การเรียนรู้เพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ (Humanized Educare) การเรียนรู้เพื่อจิตสำนึกใหม่ (Education for a New Consciousness) การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน (Transformative Learning)
กรวยประสบการณ์แบบเดิมนั้น Out แล้วครับ ที่ In หรือ Hot ในปัจจุบัน คือ กรวยจตุปัญญา ที่เน้นการพัฒนาปัญญาทั้งสี่ด้าน อันได้แก่ ฐานคือ PQ (Physical Quotient) ความฉลาดทางด้านร่างกาย เช่น สร้างความเข้มแข็งและรักษาสุขภาพ IQ (Intelligence Quotient) ความฉลาดทางด้านความคิด หรือเชาว์ปัญญา เช่น ความสามารถในการคิด การคำนวณ EQ (Emotional Quotient) ความฉลาดทางด้านอารมณ์ เช่น ความสามารถในการจัดการกับอารมณ์ของตนเอง เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และมียอดคือ SQ (Spiritual Quotient) ความฉลาดทางด้านจิตวิญญาณ คือการแสวงหาเป้าหมายของชีวิต เข้าใจความหมายของการมีชีวิต
การจัดตารางเรียนก็แสนง่าย ไม่ยากแต่ประการใด ผมจะยกตัวอย่างของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จังหวัดบุรีรัมย์ ให้ดูนะครับ
เช้า เน้น EQ, SQ ตัวอย่าง: เล่นกับเพื่อนใต้ร่มไม้ พูดคุยกันกับครูที่เป็นกัลยาณมิตรอย่างเป็นกันเอง กิจกรรมจิตศึกษา
สาย เน้น IQ ตัวอย่าง: ลงมือปฏิบัติ ใช้จินตนาการและความคิด
บ่าย เน้น PQ ตัวอย่าง: ฝึกทักษะทางกีฬา ศิลปะ ดนตรี ละคร
ลองคิดดูเองว่ามันเข้าท่าไหมครับ ตรงตามสามัญสำนึกใช่ไหมครับ หากเป็นเรา เราอยากเรียนแบบนี้ไหม ดูๆ ไปมันก็ไม่ยากเกินไปที่จะจัดการเรียนรู้แบบนี้นี่นา
กรวยนี้ไม่ใช่แค่สำหรับสอนเด็กในโรงเรียนนะครับ ใช้ได้กับการศึกษานอกโรงเรียน การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย โรงเรียนพ่อแม่ การศึกษาผู้ใหญ่ และการเรียนรู้ดีๆ ที่ไม่ต้องมีชื่อเรียกอื่นๆ ด้วย
หากมีโอกาสคงได้แบ่งปันเรื่องการบูรณาการองค์ความรู้ใหม่ล่าสุดด้านสมอง จิตวิวัฒน์ ศาสนา วิทยาศาสตร์ใหม่ องค์กร กับการพัฒนาความฉลาดทั้งสี่ด้านกันครับ :-)