ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Home
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 14 มกราคม 2550
“พี่กำลังมีเรื่องใหญ่ในชีวิตที่ต้องตัดสินใจ”
บทความที่แล้วของผมเมื่อมิถุนายนปีก่อนก็ขึ้นต้นด้วยประโยคนี้ล่ะครับ ประโยคที่รุ่นพี่สาวซึ่งผมเคารพรักมากคนหนึ่งเอ่ยกับผม แล้วผมก็ถามกลับไปทำนองว่า “จะแจกการ์ดแล้วหรือครับพี่?” เลยได้คำตอบเป็นค้อนหนึ่งวงสวยๆ เธอเล่าว่าเป็นเรื่องความลังเลที่จะตัดสินใจ “เปลี่ยน” งานต่างหาก ยังไม่ถึงกับ “แต่ง” งาน ตอนนั้นเธอบอกว่าคิดไม่ตกว่าควรเลือกที่ไหนดี เพราะต่างมีข้อดี มีโอกาสทำประโยชน์แก่สังคมทั้งสองที่ ผมได้เสนอให้ลองหาเวลาว่างๆ ออกเดทกับตัวเอง ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยใจตามสบาย ไม่ต้องพยายามอะไร แม้แต่จะคิด ลองเชื่อการทำงานของจิตไร้สำนึก (และจิตใต้สำนึก) ของเรา การภาวนาแบบง่ายๆ เช่นนี้ แบบที่ไม่ต้องอาศัยความเชื่อทางศาสนาก็ช่วยให้เราเข้าถึงคำตอบสำคัญๆ ของชีวิตได้เช่นกัน
แต่ทราบอะไรไหมครับ โลกเรานี่ก็ตลกดี ผ่านไปครึ่งปี จากที่วันก่อนค้อนควับ วันนี้กลับยิ้มเขินอาย ... อืมม์ พี่เธอแจกการ์ดจริงๆ เข้าแล้วไหมล่ะ
ท่าทางเดือนมกราปีหมูจะชมพูหวานเป็นพิเศษ เพราะรุ่นพี่ รุ่นน้อง เพื่อนฝูงต่างเป็นฝั่งเป็นฝากันใหญ่ บรรยากาศอบร่ำไปด้วยความรักหวานชื่น ดั่งว่าวาเลนไทน์มาก่อนเดือนหนึ่ง แต่คงไม่เหมือนกับฤดูใบไม้ผลิโลกตะวันตกที่มาเร็วขึ้นเพราะภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลงกระมัง (ฮา)
พูดถึงเรื่องแต่งงานกับเรื่องความเปลี่ยนแปลง ชวนให้นึกถึงโจ๊กที่คนมักแซวกันที่ว่า
ส่วนผู้ชายแต่งกับผู้หญิงเพราะคิดว่าผู้หญิงจะไม่เปลี่ยน”
เคยได้ยินกันไหมครับ ผมว่าเป็นตลกร้ายทีเดียว ไม่ว่าจากมุมของหญิงหรือชาย เพราะดูเหมือนจะบอกว่าผู้หญิงนั้นแต่งงานด้วยความหวังที่ว่าแม้แฟนจะมีอะไรที่ไม่ใช่ Mr. Right แบบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ก็ยอมไปก่อน อยู่ๆ ไปความรักคงจะทำให้เขาดีขึ้น ส่วนผู้ชายนั้นแต่งด้วยความหวังที่ว่าแฟนจะเป็นสาวตลอดสองพันปีอะไรทำนองนั้น
แต่แท้จริงแล้วทุกคนเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลาครับ หากดูเฉพาะกายภาพแล้วร่างกายเราก็สร้างเซลใหม่ทุกนาที แค่สิบวันเรามีเซลเม็ดเลือดขาวใหม่ทั้งหมด แค่ไม่ถึงเดือนเซลผิวหนังเดิมก็ตายและสร้างใหม่หมด ยิ่งถ้าพิจารณาดูจากทางพุทธศาสนาแล้ว ที่เราเข้าใจว่าเป็นคนเดิม ไม่ว่าจะเป็นตัวเราเองหรือแฟนเรา ไม่เคยเปลี่ยนตั้งแต่เด็กจนโตนั้นไม่ใช่เลยครับ เราเกิดขึ้นตามเงื่อนไขปัจจัยต่างๆ เฉพาะขณะหนึ่งๆ แต่มีความต่อเนื่องกันเท่านั้นเอง ตัวเราตอนนี้กับตัวเราเมื่อนาทีที่แล้วก็คนละคนกัน
คนเรามักมีแนวโน้มอยากให้ตัวเองและคนอื่นมีคุณสมบัติบางอย่างที่เราชอบคงอยู่เอาไว้ตลอดไป ไม่อยากให้เปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนไป ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้วเราเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา เมื่อตัวเราไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ตัวตนเดิมๆ เราก็มีโอกาสที่จะเป็นคนใหม่อยู่เสมอครับ แน่ละที่เราคนใหม่นั้นมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงจากเราคนเก่า มีเหตุมีกรรมที่ทำมาก่อนหน้าจะมาถึงวันนี้นาทีนี้
แม้ว่าจะมีกรรมเก่าตามเรามา แต่เรายังสามารถเลือกจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้นะครับ เป็นคนใหม่ที่เราอยากจะเห็น (คานธีว่า “[B]e the change you wish to see in the world.”) ไม่จำเป็นต้องติดอยู่กับร่องเดิมๆ เช่น หากปกติทำตัวสวีทไม่ค่อยเป็น แต่ถ้าเราบอกตัวเองว่าฉันก็ทำได้บ่อยๆ จิตไร้สำนึกของเราจะไปทำงานกับส่วนจิตสำนึก หากเราเปิดโอกาสให้ตัวเองเสมอๆ การก่อประกอบโลกของเราก็จะเปลี่ยนใหม่ สักวันก็อาจสวีทจ๋าได้ เรื่องนี้มีตัวอย่างการค้นพบ วิจัย และบันทึกกันมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกฝนทักษะด้านศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นการวาดรูปหรือร้องเพลง
แต่หลายครั้งเราก็จะพบว่า แทนที่จะบอกตัวเองว่าจะเปลี่ยน ตัวเราเองนั่นแหละที่พูดว่า “ฉันก็เป็นของฉันยังงี้แหละ” รวมไปถึงการมองคนอื่น มองเพื่อน มองแฟนว่า “เธอมันก็เป็นอย่างนี้แหละ เปลี่ยนไม่ได้หรอก” เหล่านี้ล้วนเป็นอาการติดกับอยู่กับความคับแคบของตนเอง กักขังตัวเราอยู่ในความคิด หรือหมุนวนอยู่ในความอึดอัดคับข้องใจไร้ความหวัง
ผมเพิ่งได้ตัวอย่างเรื่องการมองคนอื่นแบบติดอยู่กับความคิดของเราเองมาไม่นานนี้ในช่วงปีใหม่ ด้วยผมและเพื่อนได้เรียนรู้จากอาจารย์สองท่านที่เคยรู้จักแต่ก็ไม่สนิทนัก ภาพของท่านทั้งสองในหัวผมเป็นสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาหรือคิดประกอบสร้างขึ้นเอาเองจากประสบการณ์ที่เคยพบคุยนิดๆ หน่อยๆ
ในความคิดของผม ท่านแรกได้ชื่อว่าดุมาก จนเพื่อนบางคนไม่แน่ใจว่าควรจะไปเรียนกับท่านไหม บางคนเคยได้ฟังเขาลือมา บางคนก็เคยมีประสบการณ์หวาดเสียวว่า เวลาใครทำอะไรไม่เหมาะท่านมักจะเอ็ดเอาตรงๆ แรงๆ เล่นเอาคนรอบข้างหนาวไปตามๆ กัน แต่พอพวกเราได้มีโอกาสเข้าฝึกอบรม ได้ใกล้ชิดท่าน กลับพบว่าท่านใจดีมาก เวลาเตือนก็เตือนแบบทีเล่นทีจริง แบบเอ็นดูพวกเรา
อีกท่านหนึ่งเคยร่วมประชุมด้วยกันหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้รู้จักท่านอย่างใกล้ชิดจริงๆ เคยมีภาพท่านไว้ในใจอย่างหนึ่ง แต่เมื่อได้พบกันครั้งล่าสุด ผมได้เรียนรู้จากท่านมากมาย ทั้งเนื้อหาความรู้และแรงบันดาลใจ ทำให้เกิดความประทับใจในความเป็นครูและความเป็นมนุษย์ของท่านอย่างยิ่ง ต่างจากภาพเก่าๆ ที่ผมเคยมี
ผมพบว่าคนที่ผมเจอตรงหน้าทั้งสองคนนี้ไม่ใช่คนอย่างที่เคยคิดเลย บทเรียนอันสำคัญสำหรับตัวผมเองคือ ถ้าเราตั้งป้อมกับคนที่อยู่ตรงหน้าเรา เราก็จะไม่ได้เรียนรู้อะไร เพราะมัวแต่ตั้งแง่กับตัวเขาในอดีต ถ้าเราด่วนตัดสินเราก็จะไม่ได้รู้จักเขาจริงๆ คนเป็นๆ ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเวลาเดียวที่เป็นไปได้ และเป็นเวลาที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเราจึงควรที่จะเปิดใจรับรู้ มีสัมผัสทางใจแบบไม่คาดหวัง ไม่ตัดสินเป็นหลัก
เราจะไม่มีทางได้สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลง โอกาส และความหวังได้ ถ้าหากเรากักขังตัวเองหรือแฟนของเราอยู่ในอดีต การคิดว่าเราเป็นคนแบบนี้ หรือเขาเป็นคนเดิมที่มีนิสัยไม่เคยเปลี่ยน ไม่ช่วยทำให้เราได้สังเกตเห็นและเรียนรู้จากความเป็นปัจจุบันในตัวเราและตัวคนรัก
ลองตื่นขึ้นมาด้วยความสดใส พร้อมหัวใจที่เบิกบาน แล้วเปิดโอกาสให้ตนเองได้เปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ คนที่เราอยากจะเป็น เชื่อในมนุษย์ทุกคนว่ามีเมล็ดพันธุ์แห่งการตื่นรู้อยู่
ตัวของเราที่ตื่นขึ้นมาในวันใหม่ไม่ใช่เราคนเดิม เราสามารถเป็นคนใหม่ได้ เราไม่ได้ถูกแช่แข็งเอาไว้กับอดีตที่เราไม่ต้องการ แฟนของเราก็เช่นกัน คนที่อยู่ข้างหน้าเราในปัจจุบันก็เป็นคนใหม่ในปัจจุบัน เป็นคนที่อุดมด้วยความหวังและโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นคนที่เขาหรือเราต้องการ
หากแฟนของเราจู้จี้ขี้บ่น เขาก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป หลายครั้งเขาก็ตกอยู่ในร่องอารมณ์เดิมๆ เพราะทั้งเราและเขาต่างก็ช่วยกันขุมร่องจนเป็นสนามเพลาะ ลึกและปรุจนไม่สามารถปีนขึ้นมาได้ แต่งานวิจัยทางสมองล่าสุดบอกชัดเจนว่าเราสามารถฝึกสมอง หรือเส้นทางการส่งข้อมูลกระแสประสาทในสมองเราได้ หากเราทำบ่อยๆ เช่นคนที่กระดิกนิ้วบ่อยๆ สมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของนิ้วก็เจริญเติบโตเป็นพิเศษ ดังนั้นหากเราต้องการเห็นแฟนเป็นคนน่ารัก ก็ต้องช่วยกันสร้างเส้นทางกลไกในสมองใหม่ๆ ที่เราปรารถนาให้เป็นเส้นทางหลัก
อยากให้ชีวิตคู่ยืนยาว ให้คู่ของเรา “ร่วมทุกข์เคียงข้าง ร่วมทางชีวิต” เราควรจะหัดมองแฟนของเราด้วยสายตาใหม่ เห็นแฟนคนใหม่ได้ทุกๆวัน :-)
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment