ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Home
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 5 มิถุนายน 2548
อดไม่ได้ที่จะต้องเขียนอะไรเกี่ยวกับ สตาร์วอร์ส เอพิโซด 3: รีเวนจ์ ออฟ เดอะ ซิธ / ซิธชำระแค้น ซะหน่อย
หลังจากรอคอยมา ๒๘ ปี เหล่าสาวกของสตาร์วอร์สก็ได้คำอธิบายว่าทำไมอัศวินเจไดอย่างอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ถึงได้ปล่อยตัวปล่อยใจยอมพ่ายแพ้ เข้าสู่ด้านมืดของพลัง (dark side of the Force)!
เล่าให้ฟังสั้นๆ ละกันนะครับ (แน่ใจว่าไม่ได้เป็น spoiler เพราะป่านนี้คงรู้กันทั้งเมืองแล้ว) ว่าภาคนี้ คุณตาจอร์จ ลูคัส เฉลยว่าอนาคินเปลี่ยนข้างมาเป็นวายร้ายเพราะคู่รักของเขา วุฒิสมาชิกหญิงแพดเม่ อดีตราชินีอมิดาลา (Amidala) นั่นเอง พอมานึกว่าชื่ออมิดาลานี่พ้องกับชื่อส่วนของสมองที่เรียกว่า อมิกดาลา (amygdala) ก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลดีครับ ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าทึ่ง ขอชมว่าคุณตาลูคัสผูกเอาไว้ดีเหลือเกิน
คืออย่างนี้ครับ อมิกดาลา เป็นส่วนเล็กๆ ของสมอง มีรูปร่างคล้ายเม็ดอัลมอนด์ อยู่ในสมองส่วนกลาง มีหน้าที่ควบคุมอารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์ในแง่ลบ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเกลียด ความเศร้า ความกลัว ความกังวลกระวนกระวายใจ กลุ่มที่เป็นพลังในด้านลบน่ะครับ (อาฮ่า! ถึงบางอ้อแล้วใช่ไหม?)
ความรู้เรื่องสมองส่วนอมิกดาลานี่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะไขความลับออกครับ โดยอาศัยคุณูปการของเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างหนึ่ง คือ เครื่องฟังก์ชันนอลเอ็มอาร์ไอ fMRI (Functional Magnetic Resonance Imaging) ซึ่งเป็นวิธีศึกษาว่าสมองส่วนใดถูกกระตุ้นเมื่อได้รับความรู้สึก เช่น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ต่างๆ
เจ้าเครื่องนี้ทำให้เราเห็นเลยว่าสมองส่วนอมิกดาลานั้นทำงานอย่างมาก เวลาเรามีความโกรธ กลัว หรืออารมณ์บ่จอย โดยมันจะไปกดการคิดไตร่ตรอง การรับรู้ของเรา ทำให้เรารับข้อมูลแต่เพียงบางส่วน อมิกดาลานี่ฤทธิ์เดชใช่เล่นครับ พวกเราคงเคยได้ยินสำนวนที่ว่า "เห็นช้างตัวเท่าหมู" ใช่ไหม? ที่เราเห็นช้างมันตัวเท่าหมูไม่ได้เป็นแค่สำนวนพูดกันเล่นๆ เท่านั้น แต่มีที่มาจากความจริง เวลาเราโกรธนั้นสมองจะลดระดับการรับรู้ลง ทำให้เราได้ภาพความเป็นจริงที่บิดเบี้ยวไปจากปกติมาก ที่ตัวโตก็เห็นเป็นตัวเล็ก เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัวไปได้
ที่วัยรุ่นตีกัน ที่อนาคินยอมสวามิภักดิ์กับด้านมืด ก็มักเกิดจากอารมณ์ในแง่ลบ เพราะอมิกดาลาตัวดีนี่แหละครับ
แต่อย่างไรก็ตามเจ้าเครื่องฟังก์ชันนอลเอ็มอาร์ไอก็ยังทำให้เราเรียนรู้ถึงพลังอีกด้านหนึ่งด้วยครับ นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าตอนที่เราอารมณ์ในแง่บวกนั้นสมองส่วนที่ทำงานมากคือ สมองชั้นนอกซีกซ้ายด้านหน้า (left pre-frontal lobe) ครับ สมองส่วนนี้เป็นส่วนควบคุมการรู้คิดเหตุผล ส่วนพุทธิปัญญา (intellect) ของเรา เวลาเรารู้สึกสบาย มีความรัก รู้สึกปลอดภัย พร้อมจะเรียนรู้สมองส่วนนี้จะเริงร่าทำงานมาก
การที่เราเข้าใจกระบวนการของพลังทั้งในแง่ลบและแง่บวกนี้เป็นประโยชน์มาก เรารู้ว่าสมองทั้งสองส่วนนั้นเป็นขั้วตรงข้าม ทำงานคุมกันและกัน เวลาเราโกรธ หรือกลัวนั้น สมองชั้นนอกซีกซ้ายด้านหน้าจะทำงานน้อย ในขณะเดียวกันอมิกดาลาจะทำงานมาก สั่งว่าฉันไม่ขอรับรู้อะไรมากนักหรอก เพราะฉันกำลังรู้สึกว่ากำลังอันตรายต้องใช้พื้นที่เมมโมรี่สมองเยอะๆ เอาไว้ต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือถึงระดับเจไดอย่างอนาคินใครจะห้ามก็ไม่อยากจะฟัง อาจารย์อย่างโอบีวันก็ไม่เว้น เรียกว่าช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ ว่าอย่างนั้นเถอะ เวลาเราเข้าไปอยู่ในความทุกข์ ไปเปิดวงจรลบของพลัง (dark side) นี่แล้วจะปิดยากครับ
แต่ก็ใช่ว่าพลังในแง่ลบจะชนะเสมอไปนะครับ เพราะหากว่าสมองชั้นนอกซีกซ้ายด้านหน้ามาทำงานมากขึ้น สมองส่วนอมิกดาลาจะลดการทำงานลง ดังนั้นเราจึงต้องฝึกฝนตัวเองให้ดีครับ ต้องฝึกส่วนที่บังคับตนเองนี่ให้คล่องแคล่วครับ (เหมือนกับที่โยดา ปรมาจารย์เจไดคอยพร่ำสอนเหล่าลูกศิษย์) ต้องรู้จักฝึกใช้สติ ใช้ปัญญาบ่อยๆ ครับ แบบว่าเรียกปุ๊บมาช่วยปั๊บทันทีอย่างนั้นเลย ตัวอย่างคนที่ฝึกได้เช่นนี้จริงๆ ก็มีนะครับ ลูกศิษย์ท่านดาไลลามะนี่ชัดเลยครับ เข้าเครื่องวัดนี่กราฟพุ่งเลย เรียกว่าพอจะโกรธท่านเรียกพลังบวกออกมาจัดการได้ทันทีทันควัน ท่านพิสูจน์ได้ว่าส่วนจิตวิญญาณแท้ที่จริงก็คือการฝึกจิต และการฝึกจิตนั้นสามารถเปลี่ยนสมอง นั่นคือเปลี่ยนพฤติกรรมได้ด้วย
เป็นอย่างไรบ้างครับ อ่านแล้วเกิดแรงบันดาลใจอยากไปฝึกเป็นอัศวินเจได ฝึกสร้างเสริมพลังในแง่บวก (ฝึกเจริญสติ ฝึกสมาธิวิปัสสนา) กับเขาบ้างหรือยัง?
ขอให้พลังจงอยู่กับคุณครับ! May the Force be with you! :-)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Home
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 22 พฤษภาคม 2548
"เปิดเทอมวันแรกกรุงเทพฯ สุดโกลาหล สะพานต่างระดับรัชวิภา ห้าแยกลาดพร้าว และสะพานตากสินการจราจรติดขัดหนัก" พาดหัวข่าวออนไลน์ตัวใหญ่ของสำนักข่าวแห่งหนึ่งเมื่อวันจันทร์
สถานการณ์รถติดหนึบบนท้องถนน กับข่าวพาดหัวหลายฉบับชวนให้ตั้งคำถามกับคอลัมน์นี้ ซึ่งมีสองเวอร์ชั่น คือ Happiness@Home และ Happiness@Work มีคอลัมนิสต์หมุนเวียนแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเชื้อเชิญความสุขเข้ามาในพื้นที่ชีวิตของเราทั้งที่บ้านและที่ทำงาน แต่ เอ ... แล้วสิ่งที่อยู่ระหว่าง home กับ work ล่ะ? เช่น ทำอย่างไรดีถ้าต้องติดอยู่ในรถระหว่างเดินทาง เราจะมี Happiness@Somewhere-between-Home-and-Work ได้อย่างไร?
สัปดาห์ที่ผ่านมาถือเป็นแบบฝึกหัดซ้อมมือสำหรับชาวกรุงเทพฯ ที่ต้องเตรียมตัวรับสถานการณ์ที่จะยากขึ้นไปอีกเมื่อเดือนมิถุนายนมาถึงและมหาวิทยาลัยเปิดเรียน คนกรุงเทพฯ และชาวเมืองใหญ่อีกหลายแห่ง มีเหตุอันจำเป็นต้องพัฒนาคุณลักษณะพิเศษในการจัดการตัวเองขณะติดอยู่ในสภาพจราจรจลาจล
เมื่อเราเผชิญกับสถานการณ์รถติด เราควรทำอย่างไร? ...เคยมีผู้เสนอเทคนิคพื้นฐานต่างๆ เอาไว้มากมาย ทั้งเขียนและพูดบรรยายไว้ในหลายที่ โดยเฉพาะ อาจารย์หมอประเวศ วะสี และหลวงพี่ไพศาล วิสาโล ตัวอย่างเช่น
นอกจากสามวิธีนี้แล้ว ผมยังได้เจออีกทางเลือกหนึ่งจากการไปร่วมงานรีทรีท "ภาวนา ... สามัญวิถีแห่งความเบิกบาน : สร้างความรักฉันพี่น้อง ร่วมกันเดินทางดั่งสายน้ำเดียวกัน" จัดโดย หมู่บ้านพลัม กลุ่มสังฆะแห่งสติ กลุ่มวงล้อ เสมสิกขาลัย เครือข่ายพุทธิกา และกลุ่มจิตวิวัฒน์ ในงานเป็นการปฏิบัติภาวนาที่งดงามและเรียบง่ายตามสไตล์เซนของท่านติช นัท ฮันห์ แห่งหมู่บ้านพลัม ฝรั่งเศส ซึ่งมีภิกษุณีนิรามิสา (เป็นภิกษุณีคนไทยคนแรกและคนเดียวที่นั่น) และภิกษุณีติดตาม 2 รูป เป็นวิทยากร
งานรีทรีทครั้งนี้มีบรรยากาศสดใส เบาสบาย ด้วยกิจกรรมหลากหลาย ทั้งการเดินวิถีแห่งสติ ชมธรรมชาติ ผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ (Total Relaxation) และกิจกรรมเด่นของหมู่บ้านพลัม คือ การร้องเพลง!
และการร้องเพลงนี่เองคือ ทางเลือกที่ว่า ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้เผชิญชะตากรรมรถติดร่วมกันได้ดีนักแลครับ โดยเฉพาะเพลงที่ชื่อว่า 'เป็นสุขในปัจจุบัน' (Happiness Is Here and Now) เพลงร้องง่าย ติดหู ร้องสองสามรอบก็จำทำนองได้ เป็นสุขในปัจจุบัน Happiness Is Here and Now
เราเป็นสุขในปัจจุบัน Happiness is here and now
เราได้ปล่อยวางความกังวล I have dropped my worries
ไม่ไปที่ไหน Nowhere to go
ไม่มีงานใด Nothing to do
เราจึงไม่ต้องรีบเร่ง No longer in a hurry
เราเป็นสุขในปัจจุบัน Happiness is here and now
เราได้ปล่อยวางความกังวล I have dropped my worries
ต้องไปที่ไหน Somewhere to go
จะมีงานใด Something to do
เราก็ไม่ต้องรีบเร่ง But not in a hurry
เนื้อเพลงว่า ความสุขอยู่ที่นี่และตรงนี้เลย ไม่ต้องแบกอะไรไว้ ถ้าไม่ไปไหน ไม่ทำอะไรก็ไม่ต้องรีบ หรือถ้าต้องไปที่ไหน ต้องทำอะไร ก็ไม่ต้องรีบเหมียนกัลล์ เป็นการฝึกสติที่ผสมผสานเทคนิควิธีทางศิลปะดนตรี สุนทรียภาพมาเป็นอุบาย ทำให้ทั้งง่ายและสนุกได้มากทีเดียว
เดี๋ยวนี้ผมเลยมีของเล่นไว้ส่งเสริมความสุขของตนเองและคนรอบข้างเพิ่มขึ้นอีกอย่าง ตอนไหนที่รู้สึกว่าสติสตังไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ก็ได้อาศัยเพลงช่วยกล่อมให้ช้าลง และรู้ตัวมากขึ้น
หากเจอกับสถานการณ์รถติด ลองเลือกสักวิธีที่เหมาะกับตัวคุณดูบ้างสิครับ ได้ผล-ไม่ได้ผลเขียนมาเล่าให้ฟังกันบ้างครับ :-)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตวิวัฒน์
หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 14 พฤษภาคม 2548
"ได้ฝึกการลดละความเป็นตัวตนของตนเองค่อนข้างมาก ได้ฝึกวิธีที่จะทำตามคำพูดของคุณหมอประเวศ คือทำตัวตนให้เล็กลง ทำจิตใจให้ใหญ่ขึ้น"
สุมน อมรวิวัฒน์
กลุ่มจิตวิวัฒน์ เป็นการรวมตัวกันของคนที่สนใจ นักคิด นักปฏิบัติ เรื่องจิตวิวัฒน์ การเกิดจิตสำนึกใหม่ (New Consciousness) หรือการปฏิวัติทางจิตวิญญาณ (Spiritual Revolution) โดยการศึกษาค้นคว้าจากแหล่งต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการปฏิบัติจริงของตนเองด้วย บนฐานความเชื่อที่ว่าร่างกายของมนุษย์นั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ในขณะที่จิตมนุษย์สามารถพัฒนาไปได้อีกมาก ทางออกของปัญหาที่รุนแรง ยุ่งยากและซับซ้อนต่างๆ ในโลกล้วนไม่สามารถแก้ได้ด้วยวิธีทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการมีจิตใหญ่เป็นพื้นฐาน
จิตเล็ก คือความรู้สึกอันคับแคบ อึดอัดอยู่กับการเห็นโลกอย่างเป็นส่วนเสี้ยวและความเป็นตัวกูของกู ซึ่งขัดแย้งกับความเป็นธรรมชาติ ในขณะที่จิตใหญ่ หรือจิตสำนึกใหม่ เป็นความรู้สึกนึกคิดที่มีอิสระ มีความสุข มีความรักในเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติ เนื่องจากก้าวข้ามความจำกัดของตัวเองด้วยเพราะเห็นความเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวของธรรมชาติ
มีหลักฐานเชิงประจักษ์จำนวนมากทั้งทางวิทยาศาสตร์และศาสนา ว่ามนุษย์นั้นมีศักยภาพในการก้าวข้ามจากจิตเล็กไปสู่จิตใหญ่ โลกเริ่มสะสมความรู้และประสบการณ์ในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมากขึ้น เพียงแต่ว่ามนุษยชาติจะเปลี่ยนผ่านได้ทันท่วงทีหรือไม่? นี้เป็นโจทย์สำคัญของจิตวิวัฒน์
----------------------------------------------
อีกสองเดือนกลุ่มจิตวิวัฒน์จะมีอายุครบสองขวบปีแล้ว ในการประชุมเดือนนี้จึงถือโอกาสระลึกย้อนกลับไป ประมวลประสบการณ์ ถอดบทเรียน และมองไปข้างหน้า ผู้เขียนขอยกตัวอย่างข้อคิดเห็นของสมาชิกบางท่านมาเล่าสู่กันฟัง
สิ่งที่สมาชิกทั้งหมดรู้สึกร่วมกันคือ จิตวิวัฒน์เน้นเรื่อง การเรียนรู้ภายใน (Contemplative Learning) สิ่งที่แลกเปลี่ยนในที่ประชุมทำให้เห็นความกว้างใหญ่ไพศาลของความรู้ในโลก และความรู้อันจำกัดของตน สมาชิกหลายท่านเป็นผู้ใหญ่ที่สังคมให้ความเคารพนับถือในวิชาความรู้ (และการปฏิบัติตน) มีทั้งที่เป็นพระ ปราชญ์ราชบัณฑิต และอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่สิ่งที่ท่านเหล่านี้พูดเป็นเสียงเดียวกันคือ การได้มาเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ ทั้งวิทยาศาสตร์ การแพทย์ มนุษย์ศาสตร์ สังคมศาสตร์ ศิลปะความงามอย่างมากมายนั้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตนเองโดยพื้นฐานและอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะความอ่อนน้อมถ่อมตน ลดละอัตตา และความมีเมตตาต่อผู้อื่น
ท่านอาจารย์สุมน อมรวิวัฒน์ เล่าว่าท่านได้เรียนรู้ที่จะ "ละเว้นซึ่งความยึดมั่นถือมั่นในหลักการ จากที่ตลอดชีวิตเป็นคนยึดมั่นอย่างมากในหลักของความถูก-ผิด มีบางอย่างที่ผิดไม่ได้ แต่ ๑ ปีกว่ามานี้มีความผ่อนคลาย คือเห็นว่าไม่ควรยึดติดในหลักทฤษฎี หลักการของโลกและชีวิตมากเกินไป" อีกทั้งยังได้ "ฝึกการลดละความเป็นตัวตนของตนเองค่อนข้างมาก ได้ฝึกวิธีที่จะทำตามคำพูดของคุณหมอประเวศ คือทำตัวตนให้เล็กลง ทำจิตใจให้ใหญ่ขึ้น ได้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตบั้นปลาย"
ท่านมีประโยคเด็ด คือ "เดี๋ยวนี้ดีจัง เวลามีคนมาขัดใจ ก็ได้มีโอกาสขัดใจตัวเอง" แล้วอรรถาธิบายเพิ่มเติมว่าเวลามีคนมาขัดใจ ก็ได้เจริญสติรู้ตัวว่ากำลังจะเกิดความคับข้องใจ เลยได้โอกาส "ขัด"ความขุ่นข้องหมองใจออกไป
ท่านอาจารย์เอกวิทย์ ณ ถลาง เสริมว่า "มาที่นี่แล้วรู้อะไรมากขึ้นเยอะ ยิ่งรู้ก็ยิ่งรู้สึกว่ารู้น้อยขึ้นทุกที เพราะสิ่งที่ไม่รู้มันมาก ทำให้ตัวตนเล็กลงๆ ว่าที่เราไม่รู้มันมหาศาลเหลือเกิน ทำให้ตัวเองไม่สำคัญเท่าไหร่ เป็นผงธุลีเล็กๆ ในจักรวาล ตรงนี้เองทำให้มีเมตตาจิตขึ้น เตือนสติให้ดีกว่าเดิม"
ท่านอาจารย์จุมพล พูลภัทรชีวิน ประเมินว่าสิ่งที่ได้คือ ปัญญาและความสุข "เป็นความสุขที่เกิดขึ้นภายใน ถ้าจะขยายความให้มากขึ้นคือ เราได้ความรู้ ได้ความจริง ได้ซึมซับความงาม ความคิดแต่ละคน ได้ความดีมากขึ้น"
ส่วนท่านอาจารย์ประสาน ต่างใจ เน้นย้ำถึงทั้งความสำคัญและความเร่งด่วนของการทำให้ทุกคนสนใจเรื่องจิตสำนึกใหม่ เพราะเป็นเรื่องความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด "ผมพยายามจะแข่งกับจักรวาล เท่าที่ทราบมาเผ่าพันธุ์มนุษย์กำลังจะสิ้นสุดเร็วๆนี้ เพราะว่าเราทำลายตัวเอง ... ยังติดบ่วงอยู่ บ่วงวิทยาศาสตร์ บ่วงเทคโนโลยี บ่วงกายภาพ ทำให้เราไปไหนไม่ได้ ... อย่างน้อยเราก็ฝากจิตใจ ฝากความปรารถนาที่จะสร้างชุมชน เพื่อจะเอาชุมชนให้รอด ผมว่าจักรวาลเขาหมดหวังกับเราแล้ว ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลง ... ต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์กันไปเลย เราต้องเอาจริงเอาจังกับมัน ให้คนตื่นและเปลี่ยนแปลงให้ได้ ไม่ใช่แค่ change แต่เป็น transformation ... ถ้าตัวเองเปลี่ยนแปลง ใกล้ๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงด้วย"
หลวงพี่ไพศาล วิสาโล แห่งวัดป่าสุคะโต เห็นว่า จิตวิวัฒน์ "เป็นประโยชน์ในการนำความคิดใหม่ๆ มาให้ และมีการนำเสนอภาษาหรืออุปมาอุปไมยใหม่ๆ ซึ่งบางทีมันมีพลัง เรื่องความคิดใหม่ๆ ถึงแม้ว่ายาก แต่ถ้าใช้ภาษาที่ดีก็สามารถสื่อได้ตรง"
ส่วนเรื่องที่ควรปรับปรุงหลวงพี่แนะนำว่า วิธีการเข้าสู่จิตวิวัฒน์ของกลุ่ม จะเน้นอยู่ที่วิทยาศาสตร์กับศาสนา ขาดทางด้านสังคมวิทยา มานุษยวิทยา ซึ่งมีความรู้หลายอย่างให้ศึกษา ความรู้สังคมวิทยา มานุษยวิทยาชุดปัจจุบันที่แยกส่วนนั้นบั่นทอนศรัทธาในมนุษย์ ที่ผ่านมาด้านวิทยาศาสตร์ก็มี "วิทยาศาสตร์ใหม่" เข้ามาเสริม แต่ด้านอื่นยังไม่ค่อยเห็น ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก ควรได้ส่งเสริมกัน อีกทั้งกลุ่มนักคิด นักปฏิบัติที่เชิญมามักเป็นกลุ่มที่มีความคิดเห็นเหมือนกัน เป็นการมายืนยันความเชื่อเดิม น่าจะมีส่วนที่มาท้าทายความคิดของกลุ่มบ้าง ทำให้พลังในการไปเผชิญความท้าทายน้อยลง อาจทำให้ความคิดไม่แตกแขนง
คุณเดวิด สปิลเลน ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มจิตวิวัฒน์มีลักษณะเป็นองค์กรจัดการตนเอง (Self-organizing) แต่ละคนรู้จักบทบาทของตน ไม่มีใครสั่งว่าใครต้องทำอะไร ทุกคนเรียนรู้ที่จะต่อยอดการฝึกจิตของกันและกัน มีความมั่นใจ ไว้วางใจให้กับชีวิตอย่างไม่มีเงื่อนไข แม้ว่าบางทีไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรนำเสนอบ้าง ก็ไม่เป็นไร (คุณเดวิดได้บริจาคหนังสือภาษาอังกฤษเกี่ยวกับจิตสำนึกใหม่จำนวนหลายร้อยเล่มเพื่อประโยชน์แก่สาธารณะ หลายเล่มเป็นหนังสือหายาก ทางกลุ่มจิตวิวัฒน์จะได้นำไปทำสรุปย่อความเป็นภาษาไทย จัดระบบ และให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปที่ห้องสมุดแสงอรุณ ถ.สาธร โดยจะแจ้งรายละเอียดในโอกาสต่อไป)
คุณศุภชัย พงศ์ภคเธียร เห็นว่าจิตวิวัฒน์ "เป็นคลังสมองจริงๆ ขณะเดียวกันที่ประชุมนี้ก็ได้ผู้เชี่ยวชาญจากศาสตร์ต่างๆ เห็นบูรณาการต่างๆ เห็นธรรมะที่อยู่ในวิถีชีวิตของอาจารย์ทั้งหลาย ออกมาในรูปของการปฏิบัติ ที่ทำให้เราแน่ใจว่าปฏิบัติได้ไม่ใช่อยู่แต่ในตำราหรือคัมภีร์ ผมคิดว่าการประชุมแบบนี้ถ้ามีการขยายขึ้นในอนาคตก็จะเป็นแสงสว่างในชุมชนนั้นๆ "
ภาพรวมของกลุ่มจิตวิวัฒน์ อาจสรุปได้ดังคำของท่านอาจารย์อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ที่สะท้อนว่า การประชุมจิตวิวัฒน์แตกต่างไปจากการประชุมอื่นซึ่งท่านได้เคยเข้าร่วม และล้วนเป็นการประชุมทำงานที่มีความเครียดและแรงกดดัน ขณะที่จิตวิวัฒน์เป็นการประชุมที่มีบรรยากาศผ่อนคลาย ปราศจากความเครียด ผู้เข้าร่วมประชุมล้วนมีความอ่อนน้อมถ่อมตน พร้อมที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน อันเป็นการเรียนรู้เพื่อสุขภาวะอย่างแท้จริง
----------------------------------------------
กลุ่มจิตวิวัฒน์ ทำงานด้านความรู้ การใช้สติและปัญญา ยินดีที่จะส่งเสริมและร่วมมือกับผู้สนใจเรื่องจิตสำนึกใหม่กลุ่มอื่นๆ เพื่อช่วยกันสร้างเครือข่ายการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อการพัฒนาจิต นำไปสู่สุขภาวะทางจิตวิญญาณ (Spiritual Health) ของสังคมและโลก
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Home
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 8 พฤษภาคม 2548
คราวที่แล้วผมเขียนเล่าเรื่องปัญญาจากท่านผู้ใหญ่ที่ผมเคารพรักอย่างยิ่ง คือ ท่านอาจารย์ระพี สาคริก กับการเข้าถึงความสุขง่ายๆ ด้วยการเห็นความจริงว่าเรื่องราวต่างๆ นานารอบตัวเราที่ดูเหมือนยุ่งเป็นยุงตีกัน แท้จริงทำให้ง่ายได้ด้วยการมองเห็นว่ามันอาจแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือ เรื่องของเรา และ เรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของเรา
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อดูลงไปให้ดีก็จะเห็นว่าเรื่องส่วนใหญ่ที่เราเที่ยวไปแบกกันเอาไว้เป็นเรื่องประเภท "เรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของเรา"
บ่ายวันนี้ผมก็ได้ทั้งชื่นชมกับปัญญาชุดเดียวกันนี้ แต่จากอาจารย์ผู้ใหญ่อีกท่านที่ผมเคารพรักเหมือนแม่ คือ ท่านอาจารย์สุมน อมรวิวัฒน์
ในที่ประชุมกลุ่มจิตวิวัฒน์* วันนี้มีการทบทวนตนเองของกลุ่มหลังจากได้พบกันมาปีเศษ อาจารย์สุมนกล่าวได้อย่างน่าสนใจว่าการที่ได้มาร่วมประชุมทำให้รู้สึกว่าตนเองนั้นตัวเล็กลง รู้สึกว่าสิ่งที่ยังไม่รู้นั้นมีอีกมากนัก ได้เรียนรู้ที่จะลดละอัตตาลง บรรดาทฤษฎีต่างๆ ประดามีที่เคยยึดถือว่ามีถูก-มีผิดชัดเจนก็เห็นความไม่เที่ยง (ของความจริงเชิงสมมติ/สมมติบัญญัติ) มากขึ้น
ประโยคเด็ดของอาจารย์คือ "เดี๋ยวนี้ดีจัง เวลามีคนมาขัดใจ ก็ได้มีโอกาสขัดใจตัวเอง" คนฟังออกจะงงๆ กับการเล่นคำของอาจารย์ ท่านอธิบายเพิ่มเติมว่า ก็เวลามีคนมาขัดใจเรา เราก็ได้ฝึกการมีสติรู้ตัว เมื่อรู้ตัวก็มีโอกาสขัดใจตัวเอง คือ ขัดความขุ่นข้องหมองมัวออกไปจากจิตใจ (ว๊าว! เสียงจากที่ประชุมอุทานเบาๆ)
ผมทั้งทึ่ง ทั้งซึ้งกับความงามของราชบัณฑิตท่านนี้ งามทั้งภายนอก งามทั้งภายใน เป็นความงามที่แผ่ความอบอุ่น ความร่มเย็นสบายๆ ออกมา
ขณะที่นั่งฟังด้วยความอิ่มเอิบอยู่นั้น เทียบเคียงความรู้สึกเหมือนกับอยู่ใกล้ๆใครไม่มีผิด รู้สึกเหมือนกับได้อยู่ใกล้ๆ ท่านอาจารย์ระพีนั่นเอง ทั้งคู่เหมือนกับข้าวที่ออกรวงเต็มแล้วน้อมลง ถ่อมตัว ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ภายใน (contemplative learning) อย่างชัดเจน ทำให้นึกถึงว่าสิ่งที่สองท่านนี้เชื่อและปฏิบัติก็เหมือนกัน พิสูจน์ได้ว่าปราชญ์ของแผ่นดินนั้นเจริญปัญญาไปในทิศทางเดียวกัน เรื่อง"เวลามีใครโกรธขัดใจยิ่งดีเลย ได้โอกาส 'ขัด' ใจของเรา คือขัดเอาความขุ่นข้องหมองใจออกไป" ก็คือเรื่องเดียวกันกับการที่คนอื่นมาทำให้ (หรือพยายามทำให้) เราเซ็ง แล้วเรามีสติรู้ตัว และมีปัญญารู้ทันว่ามีส่วนที่เป็นเรื่องของเราและไม่ใช่เรื่องของเรา
การที่เขาทำไม่ดีกับเรานั้นเป็นเรื่องของเขา เป็นปัญหาของเขา เรื่องของเราที่แท้จริงแล้ว คือการดูแลจิตใจตนเอง! หน้าที่ของเราแท้จริงคือการดูแลตนเองให้ดี! [ผมถึงบางอ้อทางสติและปัญญาอีกครั้ง!]
น่าเสียดายที่คนในสังคมส่วนใหญ่มักโทษ หรือโบ้ยปัญหาให้คนอื่นทั้งสิ้น วันไหนตื่นสายก็โทษคนที่บ้านว่าไม่ยอมปลุก คือถ้ามันลงตื่นสายไปแล้ว เซ็งหรือเกือบเซ็งไปแล้ว ก็น่าจะได้หยุดสักหน่อย พอให้มีสติแล้วคิดได้ว่า เขาลืมปลุกเราก็เรื่องของเขา เราอาจพยายามหาวิธีช่วยให้เขาไม่ลืมอีก แต่เรื่องสำคัญอยู่ที่เราจะจัดการกับความเซ็งหรือเกือบเซ็งตอนนั้นอย่างไรต่างหาก
ฝากใครทำงานอะไร แล้วเขาลืมทำให้เหมือนกันไม่มีผิด ใช่ล่ะ ... ถึงแม้เราจะมีอำนาจ "สั่ง" (หรือวาน) ให้ใครทำอะไรแล้วเขาลืมทำ เช่น วานแม่ให้ช่วยโทรศัพท์ สั่งแฟนให้ซื้อของ สั่งลูกให้ทำการบ้าน สั่งคนใช้รดน้ำต้นไม้ ถึงเวลาคนเหล่านั้นลืมทำ (ไม่ว่าจะลืมจริงหรือตั้งใจลืมก็ตาม!) ไม่มีประโยชน์ที่เราจะเสีย"ใจ" ใสๆของเราให้กับความโกรธหรือความเซ็ง อย่างไรซะมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว สู้เอาสมองที่เคลียร์ๆคิดหาวิธีป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกดีกว่า
เวลาใครทำอะไรที่เขาไม่ควรทำ หรือไม่ได้ทำอะไรที่เขาควรทำนั้น พอเรากำลังจะก้าวเข้าสู่บรรยากาศมาคุ ที่สมองส่วนควบคุมความโกรธและเศร้า ที่เรียกว่า อะมิกดาลา (Amygdala) จะทำงานแล้ว ถ้ารู้จักเตือนตนเอง มีสติและมองให้เห็นว่าใครทำหรือไม่ทำอะไรนั้นเป็นเรื่องของเขา เรื่องของเราเรื่องหลักคือ การดูแลจิตใจ (หรือ "ขัด" ความขุ่นข้องหมองมัวออกจากจิตใจ) รับรองว่าโลกนี้จะสดใสขึ้นอีกเยอะ
วันๆ ไม่ต้องคอยกลุ้มนั่นกลุ้มนี่ เที่ยวปะ-ฉะ-ดะ กับเขาไปเรื่อย :-)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 24 เมษายน 2548
บทความนี้ไม่เกี่ยวกับทรงผม แฟชั่นหรือความสวยความงามจากภายนอกครับ แต่เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกันคือเป็นเรื่องของสมองและวิธีการมองโลกและความสวยความงามจากภายในครับ
คนเราแต่ละคนมีวิธีการเผชิญกับโลก เข้าใจโลก และแก้ปัญหาโลกต่างๆกันออกไป ในสถานการณ์แบบเดียวกันแต่ละคนย่อมมีการแสดงออก มีพฤติกรรมต่างกันไป
นักวิชาการและนักปฏิบัติ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเปลี่ยนแปลง (ทั้งในระดับบุคคล องค์กร และโลก) อธิบายว่าพฤติกรรมที่แสดงออกมาที่เราเห็นนั้น มีรากฐานสำคัญมาจากปัจจัยพื้นฐานที่สุดคือ รูปแบบทางความคิด (mental model) การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเฉพาะเป็นกรณีๆ ไปนั้นไม่ได้ผลหรือมีประสิทธิภาพมากนัก ต่างกันกับการเปลี่ยนรูปแบบทางความคิด
รูปแบบทางความคิด เรียกง่ายๆ ก็คือ ความเข้าใจต่อโลกนั่นเอง เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ของเรา หมายรวมถึงความเชื่อ ทัศนคติของเราด้วย
ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางความคิดที่ชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตผมคือ การได้มีโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนกับท่านอาจารย์ระพี สาคริก ผู้เป็นที่เคารพนับถืออย่างยิ่งของผมท่านหนึ่ง เมื่อแปดปีที่แล้วคณะนักวิจัยได้ขอให้ผมพาไปเยี่ยมเยียนท่านเป็นของขวัญสำหรับการปิดโครงการวิจัยชิ้นใหญ่ของเรา บ้านท่านอาจารย์ที่บางเขนนั้นร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และกล้วยไม้นานาพันธุ์ พร้อมอบอุ่นไปด้วยความเมตตากรุณาของครอบครัวเจ้าบ้าน
ระหว่างที่กำลังทานของว่างกันอยู่ นักวิจัยรุ่นน้องผมถามว่า "อาจารย์คะ ทำไมชีวิตอาจารย์ดูมีความสุขจังละคะ? อาจารย์มีหลักในการดำเนินชีวิต (หรือ "รูปแบบทางความคิด" นั่นเอง--ผู้เขียน) อย่างไรคะ?"
อาจารย์หัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วเล่าสุดยอดวิชาให้เราฟังว่า "อ๋อ ... ผมแบ่งเรื่องราวในโลกนี้ออกเป็นสองจำพวก พวกแรกเป็นเรื่องของผม และอีกพวกเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของผม พวกแรกนั้นผมก็จัดการกับมันตามที่ผมควรจะทำ ส่วนเรื่องหลังนั้นผมก็วางใจ ไม่ไปเดือดร้อนกับมัน" อาจารย์ยกสองสามตัวอย่างประกอบการอรรถาธิบายด้วย
ไม่ทราบว่าใครในคณะที่ไปจะได้ยิน เข้าใจ หรือประทับใจอย่างไร แต่สำหรับผมแล้วสองสามประโยคนั้น "โดนใจ" สุดๆ นับเป็นการตกผลึกประสบการณ์อันงดงามหลายสิบปีของปราชญ์ของแผ่นดินไทย
หลังจากวันนั้นชีวิตผมสบายขึ้นมาก มีความสุขขึ้นมาก ไม่ค่อยได้ไปคอยเที่ยวแบกเรื่องชาวบ้านเป็นประจำเช่นเคย (ฮา)
หรือหนึ่งในท็อปทรีเรื่องปวดหัวยอดฮิตที่ทำงาน คือ โดนหัวหน้าต่อว่าหรือตำหนิ สัดส่วนความทุกข์ในที่ทำงานทั่วโลกจำนวนไม่น้อยคงเกิดจากสาเหตุนี้ ... เคยมีบ้างไหมที่เราทำผลงานเต็มความสามารถแล้ว หัวหน้ายังไม่พอใจ แล้วอารมณ์เสียใส่เรา?
ก่อนอื่นเลย ถ้าพิจารณาให้ดีจริงๆจะเห็นว่าใครก็ตามที่อารมณ์เสีย ปัญหาอยู่ที่คนนั้นแน่ๆ (หลักฐานที่ชัดเจนต่อหน้าต่อตา คือเขากำลังทุกข์ เพราะกำลังอารมณ์เสีย)
ต่อมา ... เป็นไปได้ไหมว่าอารมณ์ไม่จอยของหัวหน้านั้นเป็นเรื่องของเขา รวมถึงความผิดหวังของหัวหน้าด้วยก็เป็นเรื่องของเขา (ที่คาดหวังผิดๆ คาดว่าเราควรจะทำงานได้ดีกว่านั้น เพราะถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว ไม่ว่าใครจะคาดหวังให้เราทำดีกว่านั้นก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเรื่องหรือปัญหาจึงอยู่ที่คนที่คาดหวังต่างหาก)
แต่เนื่องจากเราอยู่ในโลกของความสัมพันธ์ (แถมเขายังเป็นหัวหน้าเราอีกด้วย) มันก็ย่อมมีส่วนที่เป็นเรื่องของเรา เป็นไปได้ไหมว่าเรื่องของเราจริงๆ แล้วอาจเป็นว่าเราควรลองหาวิธีดูว่าเราจะทำงานให้ดีขึ้นได้อย่างไร (ถ้าดีที่สุดแล้วก็ไม่ต้องคิด) หรือลองดูว่าเราสามารถอธิบายให้หัวหน้าเข้าใจได้ไหม (โดยที่ไม่มีผลลบต่อเรา) ว่างานที่ได้นั้นดีที่สุดแล้ว ... ซึ่งทั้งหมดนี้เราควรจะสามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ หรือต้องมีอารมณ์แย่ๆ ตามเจ้านาย (ผู้น่าสงสาร) ของเราไปด้วย
(แน่นอนว่ามีหัวหน้างานบางคนที่อาจรับไม่ได้ถ้าเราไม่ "แสดงท่าที" ว่าเป็นเดือดเป็นร้อนกับการว่ากล่าวของเขา กรณีนี้ก็ควรหาวิธีการที่เหมาะสมเฉพาะกรณีไปครับ)
หากเราแยกแยะเรื่องของเรา และเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของเรา ออกจากกันได้ เราก็จะลดภาระที่ต้องไปเป็นทุกข์แบกเรื่องคนอื่น และมีเวลา มีสมอง มีปัญญามาคิดจัดการเรื่องที่เป็นเรื่องของเราจริงๆ มากขึ้นครับ :-)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 10 เมษายน 2548
เมื่อไม่กี่วันมานี้รุ่นพี่ที่ผมเคารพรัก ชื่นชม และสนิทสนมอย่างยิ่งท่านหนึ่งได้สร้างวีรกรรมเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ให้กับองค์กรของเธอ
วันนั้นเป็นวันที่มีการประชุมระดับกรรมการสูงสุด และเนื่องจากมีประธานกรรมการเป็นคนใหม่ ทางองค์กรจึงได้เตรียมการนำเสนอข้อมูลเบื้องต้น รุ่นพี่ของผมคนนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนทำหน้าที่ดังกล่าว ตอนเริ่มต้นบรรยากาศประชุมเคร่งเครียด อึมครึม มีความไม่เข้าใจกันอยู่สูง รวมถึงช่วงแรกของการนำเสนอ แต่หลังจากนั้นไม่นานสภาพการประชุมก็ดีขึ้น เธอสามารถอธิบายงานขององค์กรได้อย่างดี ตอบข้อสงสัยต่างๆ ได้อย่างเป็นมิตร สามารถสลายความรู้สึกในแง่ลบจากห้องได้ นำมาซึ่งความสามารถตกลงในประเด็นพิจารณาได้อย่างประสานประโยชน์ทุกฝ่าย หลังการประชุมสมาชิกได้ร่วมยินดีกับเธอที่ทำหน้าที่ได้อย่างดี
ผมเองไม่แปลกใจหรือสงสัยในความสามารถของเธอ แต่ความสนใจอยากเรียนรู้จึงได้ถามถึงเบื้องหลังของความสำเร็จ เธอเล่าให้ฟังว่า "อ๋อ พี่รู้เลยว่างานนี้ไม่ง่าย ต้องใช้สติเป็นอย่างมาก พี่ใช้เวลา ๑๐ กว่านาทีก่อนเข้าห้องประชุมเจริญสติ นั่งสมาธิ ทำใจของพี่ให้นิ่ง พี่นึกถึงแต่เจ้าแม่กวนอิม นึกถึงพระโพธิสัตว์ ขอให้พี่มีปัญญา มีความรัก ที่จะไม่โกรธใคร ตอนเดินเข้าห้องประชุมเนี่ยะ รู้สึกว่าไม่มีตัวตนเลย คิดว่าเรามีแต่ความเมตตาให้ทุกคน"
เธอยังเล่าอีกว่า "ในขณะที่หลายๆ คนเครียดมากก่อนเข้าห้องประชุม แปลกนะพี่กลับรู้สึกผ่อนคลาย สบายดี"
"คือก่อนหน้านั้นพี่ใช้เวลาหลายชั่วโมงศึกษาเอกสารทั้งหมด และงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประชุม ที่ทางทีม ทางน้องๆ เขาได้ช่วยเตรียมให้"
"นี่ดีนะที่เพิ่งจะทราบว่าต้องเป็นคน present เมื่อตอนเช้า เมื่อคืนเลยไม่เครียดมาก ได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่"
เห็นได้ชัดเลยว่าความสำเร็จของเธอไม่ใช่เรื่องไม่มีที่มาที่ไป แต่เป็นเพราะทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ผมมาสรุปเอาเองว่าเกิดจากความมีสุขภาวะทั้งสี่มิติของเธอ คือ ๑. สุขภาวะทางจิตวิญญาณ ๒. สุขภาวะทางจิต ๓. สุขภาวะทางสังคม และ ๔. สุขภาวะทางกาย
ตอนที่เริ่มฟังเธอเล่านั้นผมจดบันทึกไว้ในใจว่า "อืมม์ สุขภาวะทางจิตวิญญาณ! ... ใช่เลยเจริญสติอีกแล้ว!" เรื่องของเธอตอกย้ำความสำคัญของการเจริญสติให้กับผม ชัดเจนเลยว่าสตินั้นเป็นฐานของความสำเร็จทั้งปวง เชื่อขนมทานได้เลยว่าแม้ว่าเธอจะเตรียมตัวมาดีเพียงใด หากตกใจ ประหม่า สิ่งที่เตรียมมาก็คงสับสนไปหมด ไม่สามารถจะเล่าด้วยความสุขุมนุ่มนวลอย่างที่ใจปรารถนา
ยิ่งเรื่องการข้ามพ้นความเป็นพวกเรา พวกเขาไปได้ ตรงกับหัวใจของความเป็น "วิทยาศาสตร์ใหม่" ที่พูดถึงการลดละอัตตาตัวตน สามารถก้าวข้ามและหลอมรวม (transcend and include) ความคิดเห็นที่แตกต่างได้ การโน้มนำบารมีพระโพธิสัตว์มาใช้ก็นับเป็นอุบายที่ถูกทั้งกาละและเทศะอย่างยิ่ง
ไม่น่าแปลกใจที่เธอจะมีสุขภาวะทางจิตที่ดี ผ่อนคลายไม่เครียด ยิ่งได้มีทีมงานที่ดีคอยเป็นกำลังใจ ทำงานสนับสนุนซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี ช่วยเตรียมข้อมูล เตรียมเอกสารทุกอย่างอย่างเต็มที่ จะเห็นว่างานสำคัญหลายอย่างไม่สามารถที่จะทำได้คนเดียว คนที่จะเดินไปข้างหน้าย่อมมั่นใจหากรู้ว่ามีทีมที่พร้อมจะไปด้วยกัน พร้อมสนับสนุนส่งเสริมกันตลอด นี่ถือเป็นตัวอย่างการมีสุขภาวะทางสังคม
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ สุขภาวะทางกาย โดยวิธีง่ายๆ ที่พวกเรามักหลงลืมหรือไม่ก็ละเลยกันไป เช่น การรับประทานอาหารที่เหมาะสมและพอดี หรือการได้นอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ เป็นหัวใจของการเข้าถึงสุขภาวะทางกายได้โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองแต่อย่างใด
เป็นเรื่องที่ต้องภูมิใจและชมเชยเธอเป็นอย่างมาก เพราะสุขภาวะทั้งสี่นี้แม้จะมีวิธีเข้าถึงที่ง่ายๆ ไม่แพง และเข้าถึงได้ทุกคน แต่พวกเราส่วนใหญ่ก็มักจะละเลย ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับมัน
การที่เธอมีความพร้อมของสุขภาวะทั้งสี่สำหรับงานสำคัญที่ผ่านมานั้นแน่นอนว่าไม่เพียงแต่ไม่ได้เกิดโดยบังเอิญ ที่สำคัญยังต้องให้เวลาหรือใช้เวลากับมันพอสมควรและทั้งสี่มิติเลยทีเดียว ดังกรุงโรมที่ไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว
แต่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล หรือคิดว่า "โอย! ไม่เอาหละเรื่องพวกนี้ยากเกินไปสำหรับฉัน แถมฉันยังไม่ค่อยมีเวลาอีกด้วย" เพราะเรื่องการสุขภาพในวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่นั้นแปลก คือ ดูเหมือนยาก แต่ยิ่งทำยิ่งง่าย หรือดูเหมือนเสียเวลา แต่ยิ่งทำยิ่งได้เวลาเพิ่มขึ้น ... เรื่องนี้เป็นอย่างไรไว้มีโอกาสผมจะเล่าให้ฟังครับ
ความหวัง - กำลังใจ - การฟื้นฟู: งานอาสาสมัครเพื่อการปฏิวัติทางจิตสำนึก
Posted by knoom at 8:46 AM Labels: จิตวิวัฒน์, จิตอาสา
ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตวิวัฒน์
หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 2 เมษายน 2548
ดูเหมือนกับว่ามันจะยิ่งนำมาซึ่งความเข้มแข็งภายในของเราเอง"
ทาไล ลามะ
ในที่ประชุมจิตวิวัฒน์มีประเด็นเกิดขึ้นว่า ทั้งที่ความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ที่เจอกันอยู่ทุกวันนี้มีมากมายนัก แต่ผู้คนในสังคมกลับหมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาความสุขที่ฉาบฉวยให้กับตัวเอง ยังคงมุ่งหาความสุขด้วยการ "สร้างสุข" แทนที่จะเป็นการ "ขจัดทุกข์" ทำให้ละเลยความเป็นจริงของสังคมรอบข้างไป
ทำอย่างไรจึงจะทำให้สังคมได้รู้ถึงความทุกข์ของผู้อื่น แล้วทำให้เกิดคลื่นพลังน้ำใจเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น ให้เปลี่ยนจากจิตเล็ก คิดถึงแต่ตนเอง ไปสู่จิตใหญ่ที่คิดที่ทำเพื่อผู้อื่น
ทางออกที่เป็นไปได้มาก คือ การสร้างโอกาสให้ผู้คนได้รับรู้ ได้ลองทำงานอาสาสมัครเพื่อผู้อื่น ปฏิบัติจริงด้วยตนเองจนได้รับผลเป็นความชุ่มเย็นในจิตใจ เกิดการปฏิวัติทางจิตสำนึก แล้วได้สื่อสารออกไปให้สังคมวงกว้างเห็นถึงประสบการณ์ยิ่งใหญ่ที่ตนได้รับ
----------------------------
สึนามิจะครบรอบหนึ่งร้อยวันในวันจันทร์นี้ เหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างที่ดีระดับโลก เพราะมนุษยชาติได้เห็นปรากฏการณ์การวิวัฒน์ทางจิตของคนเป็นล้านๆ คนพร้อมๆ กัน
เฉพาะในไทย ช่วงหลังจากเกิดเหตุ มีการระดมความช่วยเหลือต่างๆ เราได้เห็นอาสาสมัครที่เกิดขึ้นพร้อมคลื่นพลังน้ำใจเต็มแผ่นดิน มีอาสาสมัครจากทุกจังหวัดของประเทศอยู่ในหกจังหวัดภาคใต้เรือนแสน ไม่นับอาสาอีกเป็นล้านที่แม้ไม่สามารถเดินทางลงไปได้ก็พยายามทำทุกอย่างที่ช่วยได้ ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคโลหิต บริจาคสิ่งของ ส่ง SMS ให้กำลังใจ และบริจาคเงินผ่านรายการต่างๆ โทรศัพท์ให้กำลังใจ บางรายไปไม่ได้ถึงขนาดส่งลูก ส่งญาติพี่น้องลงไป
ในช่วงปิดเทอมหนึ่งเดือนที่ผ่านมามีค่ายอาสาสมัครของน้องๆ เยาวชนจำนวนมากหลายสิบค่าย ไม่ว่าจะเป็นค่าย U Volunteer (นักศึกษาสายสาธารณสุข จากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ โดยการสนับสนุนหลักของสำนักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สปสช.) ค่ายเยาวชนอาสาสมัคร We Volunteer (เยาวชนระดับมัธยมศึกษา โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.) ค่ายอาสาสมัครนิสิตนักศึกษาฟื้นฟูอันดามัน (นักศึกษาจากเครือข่ายเก้ามหาวิทยาลัย โดยใช้เงินที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับบริจาคช่วงเกิดเหตุการณ์) รวมกันกว่าห้าพันคน เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง เพราะประเทศของเราไม่เคยเห็นการเสียสละของคนรุ่นหนุ่มสาวผ่านงานกิจกรรมค่ายอาสาในระดับขนาดนี้มาหลายสิบปีแล้ว
หลังจากเสร็จงานในพื้นที่แล้ว หลายกลุ่มยังคงมีการรวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อพยายามสร้างกิจกรรมดีๆให้แก่สังคม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเยาวชนอาสาที่วัดย่านยาว หรือกลุ่มอาสาศูนย์อาสาสมัครสึนามิเขาหลัก เป็นต้น
อาสาสมัครสึนามิแต่ละคนมักจะมีเรื่องเล่าถึงประสบการณ์เสี้ยวเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ที่ได้ไปพบเห็น เรียนรู้ ได้อุทิศตนเพื่อ "ขจัดทุกข์" ให้ผู้อื่น พร้อมกับการเรียนรู้เติบโตภายใน เพราะลักษณะพิเศษตามธรรมชาติของงานอาสาสมัครเอง กล่าวคือ คนทำงานอาสาจะได้ยกระดับจิตใจตนจากการทำงาน ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ไม่ว่าจะมีพื้นฐานอย่างไร
อาสาสมัครเหล่านี้เป็นประจักษ์พยานต่อศักยภาพของงานอาสาสมัครในการปฏิวัติทางจิตสำนึก (Consciousness revolution) จากจิตเล็ก ไปสู่จิตใหญ่ที่ไม่จำกัดคับแคบอยู่แต่ตนเอง
ท่ามกลางปัญหาสังคมที่ผู้หลักผู้ใหญ่กำลังปวดเศียรเวียนเกล้ากับปัญหาเยาวชน มีการออกมาตรการต่างๆ เพื่อบังคับควบคุม ที่มีฐานคิดอยู่บนกระบวนทัศน์เดิม เชื่อความรู้ที่ว่ามนุษย์มีจิตที่เห็นแก่ตัว มีกิเลส เด็กเยาวชนไม่สามารถจัดการตนเองได้ เราน่าจะได้มีการสร้างทางเลือกที่สร้างสรรค์ให้กับอนาคตของชาติ สร้างมาตรการส่งเสริมที่มีฐานคิดที่ว่าจิตเดิมแท้ของมนุษย์นั้นเป็นจิตใจที่ดีงาม เด็กเยาวชนทุกคนและทุกระดับสามารถเป็นองค์กรจัดการตนเองได้เช่นกัน
โดยเฉพาะเรื่องความรักในวัยเด็กเยาวชน ผู้ใหญ่ไม่ควรมองแต่หาวิธีห้ามปราม แต่ควรสร้างโอกาสการเรียนรู้ให้เห็นว่าความรักนั้นมิใช่มีแต่รักแบบหนุ่มสาว เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แต่ยังมีความรักความเมตตา รักที่ละวางอัตตารักสาธารณะ เพื่อผู้อื่น เพื่อสังคมอีกด้วย
เด็กเยาวชนที่อยู่ในช่วงเติบโตที่เต็มไปด้วยพลังชีวิต เกิดการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนต่างๆ อยากเรียนอยากรู้โลกกว้างภายนอก ควรส่งเสริมให้ได้รวมตัวกันเอง ทำกิจกรรมที่ท้าทายความคิดความสามารถในรูปแบบของงานอาสาสมัครเพื่อสังคม อาทิ โครงการตลาดประกอบฝัน ของกลุ่ม YIY ที่สนับสนุนเยาวชนได้คิดและทำโครงการเพื่อสังคม
ไม่เพียงแต่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงทางจิตสำนึกระดับบุคคลเท่านั้น เหตุการณ์สึนามิยังส่งผลถึงการเกิดจิตวิวัฒน์ระดับองค์กร กล่าวคือ การเห็นแก่สังคมส่วนรวมมากขึ้น หลายบริษัทมีนโยบายชัดเจนให้พนักงานสามารถทำงานอาสาสมัครโดยไม่นับเป็นวันลา เช่น ปตท. น้ำมันพืชไทย (น้ำมันพืชองุ่น) เอ็มเค ไทยพัฒน์ แพรนด้าจิวเวลรี่ เอสแอนด์พี บริษัทต่างประเทศ ก็เช่น เอเม็กซ์ จีอีแคปปิตอล เมิร์กซ์ ยูโนแคล รวมถึงหน่วยงานสาธารณประโยชน์ เช่น มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ เป็นต้น
----------------------------
บุคลากรและหน่วยงานด้านสื่อต่างมีบทบาทช่วยกันชี้ให้เห็นถึงความทุกข์ที่มีอยู่ในสังคมรอบตัวเช่นกัน ไม่เพียงแต่จากเหตุสึนามิ (หมายเหตุ: งานฟื้นฟูต่างๆ หลากหลายรูปแบบยังต้องการอาสาสมัครอีกจำนวนมาก แบบที่เรียกว่ารับได้ไม่จำกัด อาสาสมัครในพื้นที่ปัจจุบันจำนวนมากเป็นชาวต่างชาติ) เชื่อมโยงให้ถึงพลังน้ำใจของสังคมไทย ให้เห็นโอกาสมากมายที่ทุกคนสามารถอาสาช่วยงานสังคมได้ เมื่ออาสาสมัครได้มีประสบการณ์ตรงจากงานแล้ว ควรได้นำเสนอให้เป็นที่รับรู้ของสังคมวงกว้าง
แทนที่เช้ามาเปิดหนังสือพิมพ์ จะมีแต่ข่าวอาชญากรรม ข่าวไสยศาสตร์ ในหน้าหนังสือพิมพ์ เราน่าจะมีพื้นที่ข่าวของอาสาสมัครทั่วแผ่นดิน
แทนที่ทีวีจะมีแต่เกมโชว์ในแผงรายการ มีโฆษณากระตุ้นการบริโภค เราน่าจะมีพื้นที่สำหรับรายการส่งเสริมการทำความดีของคนเล็กคนน้อยจากทุกจังหวัด
แทนที่จะมีหนังสือพิมพ์ที่มีแต่ข่าวร้าย เริ่มวันใหม่แบบเศร้าๆ เราน่าจะมีหนังสือพิมพ์ข่าวดีกันบ้าง จะได้เริ่มวันใหม่แบบสดชื่น
ตัวอย่างของข่าวดีนั้นมีอยู่จริงและทำได้ หากอยากเห็น ลองแวะไปดูเว็บไซต์ www.budpage.com ที่นั่นมีคอลัมน์ "ข่าวคนดีมีทุกวัน"
ในวาระโอกาสครบรอบร้อยวันสึนามิ ผมขออนุญาตนำเอาชื่องานที่ศูนย์อาสาสมัครสึนามิเขาหลัก มูลนิธิกระจกเงา และจังหวัดพังงาร่วมกันเป็นเจ้าภาพ มาใช้เป็นชื่อบทความด้วยครับ
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Home
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 27 มีนาคม 2548
เรากำลังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวของความคิดและเหตุผลมากเกินไปหรือปล่าว?
คุณหมอประสาน ต่างใจ บอกว่ามนุษยชาติกำลังเดินทางข้ามยุคข้ามสมัย จากยุคของการอยู่อย่างสัตว์ป่า ผ่านยุคไสยศาสตร์ จากนั้นเป็นยุคศาสนา ที่มีการเบ่งบานของศาสนาสำคัญของโลก เป็นช่วงที่เน้นเรื่องความดี แล้วเข้าสู่ยุควิทยาศาสตร์ที่มีความก้าวหน้าในวิทยาการ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เป็นยุคที่เน้นเรื่องความจริง เรื่องเหตุผล โดยปัจจุบันเรากำลังจะเข้าสู่ยุคที่เน้นเรื่องความงาม
ยุคความงามนี้น่าสนใจ เพราะเป็นความงามชนิดที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่จำเป็นต้องมีอัฐิสำหรับซื้อบัตรเข้าอโรมาเธอราปี เข้าสปา หรือต้องพึ่งพาโรงพยาบาล คลินิกติดสโลแกน "สวยด้วยแพทย์ฯ" เพราะเป็นความงามที่ไม่จำกัดเฉพาะคนมีเงิน ไม่ได้งามเฉพาะบางส่วนแบบใช้ครีมทาให้ขาวเป็นสโนว์ไวท์ แต่เป็นงามแบบหมดจด เป็นความงามที่ใจครับ
ความงามประเภทนี้สอดคล้องกับวิถีตะวันออกของเราโดยพื้นฐานอยู่แล้วด้วย ท่านดาไลลามะเคยกล่าวไว้ว่า "ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป้าหมายสูงสุดของชีวิต คือ ความพึงพอใจ ความปีติ และความสุข และที่มาพื้นฐานของความสุข ก็คือ จิตใจที่ดีงาม ความรัก และความเมตตา"
ตอนที่แล้วผมเขียนวิธีสร้างความสุขง่ายให้กับชีวิตผ่านการทำ "ดีโดยสะดวกใจ - งามโดยไม่ใช้เหตุผล" เวอร์ชัน Happiness@Work ตอนนี้ลองมาดูรุ่น H@Home กันบ้าง
ดีโดยสะดวกใจ (random kindness) นั้นง่ายๆตามชื่อ อะไรก็ได้ที่ไม่เดือดร้อนตนเองและผู้อื่น ทำได้ทั้งระดับการกระทำ คำพูด และความคิด มอบสิ่งดีๆ ให้กับคนรอบข้าง สัตว์ ต้นไม้ สิ่งรอบตัวโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
เช้าวันเสาร์-อาทิตย์ไม่ไปทำงาน อาจลุกขึ้นมาทำเซอไพรซ์แฟนด้วยการปิ้งขนมปัง ชงกาแฟไปเสริฟถึงเตียงนอน จะได้เป็นการเริ่มวันแบบสบายๆ ระหว่างวันเห็นใครเมื่อยก็เข้าไปนวดให้ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นคุณปู่คุณย่า คุณพ่อคุณแม่ แฟน หรือลูกๆหลานๆ หากอีกฝ่ายตกใจว่าร้อยวันพันปีไม่เคยทำอย่างนี้ ตีหน้าซื่อๆทำเป็นเรื่องปกติ ชวนคุยเป็นเรื่องตลกไปเลยว่าแง่มุมดีๆ อื่นๆ ของเราที่เขายังไม่รู้จักยังมีอีกเยอะนะ ตอนเย็นแดดร่มลมตกอาจอาสาขับรถพาที่บ้านไปเดินสวนสาธารณะด้วยกัน ได้ทั้งออกกำลังกาย และโอกาสอยู่ด้วยกัน
วันธรรมดาตอนเช้าก่อนไปทำงานเข้าไปช่วยคุณพ่อคุณแม่ (หรือคุณแฟน) แต่งตัว พูดคุยกับท่านดีๆ ก่อนออกจากบ้าน อาจได้รับพรเป็นแถมก่อนออกจากบ้าน ส่วนตอนเย็นคุณพ่อคุณแม่ที่รออยู่ที่บ้านอาจเตรียมขนมหวาน น้ำเย็นๆ รอลูกกลับมาจากโรงเรียนหรือที่ทำงาน (หรือเราจะเตรียมไว้รอแฟนก็ไม่ผิด)
ทำไมต้องเก็บสิ่งดีๆ ให้กันปีละหนเฉพาะตอนวันฉลองครบรอบ หรือวันเกิดด้วยล่ะ? อาหารอร่อยๆปรุงสุดฝีมือ คำพูดสวยๆ หรือ "ของขวัญเนื่องในวันอยากให้" ที่ไม่ต้องราคาแพงก็ได้แต่เปี่ยมด้วยความรู้สึกดีๆ เพิ่มมิติของการมีเรื่องเซอร์ไพรซ์ดีๆให้กับคนรอบข้าง
หรือหัดลองสร้างรอยยิ้มในชีวิตให้ได้ในทุกวันที่ดูเหมือนจะน่าเบื่อ ซ้ำซาก จำเจ ด้วย "ความงามอย่างไม่มีเหตุผล" (senseless act of beauty) ดูสิครับ อย่างไม่มีเหตุผลนั้นชี้ให้เห็นว่าไม่ต้อง "คิด" ให้มากครับ ว่าอะไรงาม อะไรไม่งาม ลองปลดปล่อยพลังสุนทรียภาพของเราให้ออกมาเพ่นพ่านดูบ้าง
อาจเริ่มจากสภาพแวดล้อมภายนอก หากที่บ้านปลูกต้นไม้ มีกระถางเล็กๆ ลองยกมาไว้ในบ้าน อาจทำให้มุมที่ดูแข็งๆ อ่อนโยนขึ้น ดอกไม้และการจัดดอกไม้นั้นช่วยได้มากจริงๆ คำโบราณก็ว่าหากมีเงินสองบาท บาทหนึ่งให้ซื้อข้าว ส่วนอีกบาทซื้อดอกไม้นั้นจริง คุณประภาส ชลศรานนท์บอกว่า "อย่างแรกนั้นมันทำให้เรายังชีพ อย่างหลังมันเป็นเหตุผลให้เรามีชีวิตต่อไป" ที่สำคัญเป็นชีวิตที่งามเสียด้วยสิ
ยิ่งหากรู้สึกอยาก "สนุก" จัดดอกไม้ อาจลองจัดแบบญี่ปุ่นทั้งที่ไม่ได้ไปเรียน ไปรู้จักอะไรกับเขาหรอก ก็จัดแบบที่เรา "รู้สึก" ว่าเป็นแบบญี่ปุ่นของเรา ทำไปอมยิ้ม (แบบญี่ปุ่น) ไป สนุกดี
หากรู้สึกบ้านเป็นระเบียบไปหน่อย ลองจัดอะไรให้มันเอียงๆ ไปนิด รูปที่แขวนก็ไม่ต้องตรงเป๊ะซะทีเดียว แก้วกับที่รองก็ไม่ต้องชุดเดียวกันเสมอไป รองเท้าแตะยังใส่สลับคู่กันได้เยอะแยะ แต่งชุดโปรดอยู่บ้านก็ไม่เสียหาย ในทางตรงกันข้ามหากบ้าน "หมัก" มาหลายสัปดาห์ หลายเดือน ลองทำความงามให้เขาสักหน่อยดีไหม งามเป็นมุมๆ ก็ได้ ไม่ต้องทั้งหลัง ปัดกวาดให้ดี หาของงามๆไปวาง พอเดินผ่านทีไรยิ้มออกทุกทีสิน่า
งามสถานที่แล้วงามคนด้วย ความงามที่ทำได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องจ่ายสตางค์ หลายคนลืมไปแล้วว่าทำยังไง และเป็นที่ประทับใจของทุกคนในบ้าน คือ พูดจาอ่อนหวานครับ ทำได้ทุกคนจริงๆ นะ อย่าด่วนหน้าเบ้แล้วบอกร้อยวันพันปีไม่เคยพูดดีจะให้ทำไม่ได้หรอก ไม่ต้องก้าวกระโดดก็ได้ ลองเก็บไว้คำพูดเชือดเฉือนลงบ้าง แล้วบรรยากาศมาคุในบ้านอาจงามขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ลองใส่ ครับ หรือ คะขา ให้เป็นส่วนหนึ่งของวันของเราดู หรือจะเอาแบบสุดๆไปเลย ลองตั้งใจดูว่า "เอาน่ะ วันนี้จะพูดดี ไม่ว่า ไม่กัดใครเลยซักวัน ... จะลงแดงก็ให้รู้กันไป" เขาว่าศรัทธาที่ดีแล้วทำอะไรก็สำเร็จจริงไหม? :-)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 13 มีนาคม 2548
ชีวิตการทำงานทุกวันนี้พวกเราเคร่งเครียดกันมากเหลือเกิน เรากำลังสูญเสียเอกลักษณ์ความเป็น "สยามเมืองยิ้ม" ไปมากขึ้นทุกที อาจเพราะได้รับสมาทานแนวความคิดการทำงานอย่างเป็นจริงเป็นจัง (หรืออย่างเป็นบ้าเป็นหลัง!?) จากลัทธิทุนนิยม
ความคิด "จริยธรรมการทำงาน" หรือ work ethic นี้เป็นที่รู้กันดีว่ามาพร้อมกับการสร้างประเทศสหรัฐอเมริกาของฝ่ายพิวริตัน ดังที่แม็กซ์ เวเบอร์อธิบายเอาไว้เรื่องการกำเนิดระบบทุนนิยม ว่าความเชื่อทางศาสนาได้ถูกนำมาทำให้เข้ากับสังคมแล้วบอกว่าผู้ที่ถูกพระเจ้าเลือกสรรนั้นต้องมี "ชีวิตการทำงานที่ดี" ด้วย
ทั้งๆ ที่แต่ก่อนวัฒนธรรมของเรามีมิติของ ความสนุกและความรู้สึกเล่นๆ อย่างวิถีเซน วิถีตะวันออก ปนอยู่อย่างแนบเนียนกับชีวิตทุกวัน
การปรับวัฒนธรรมการทำงานของสังคมนั้นยากเพราะมีปัจจัยที่เกินไปจากตัวเราอยู่มาก อย่างไรก็ตามมีวิธีมากมายที่เราสามารถปรับสมดุลของชีวิตในวันทำงานของเราอย่างง่ายๆครับ
ลองมาทำอะไรที่มันง่ายๆ เบาๆ มันๆ น่ารักๆ สนุกๆ กันดีกว่า
"ดีตามสะดวกใจ" (random kindness)
ลองทำอะไรดีๆ ให้กับชีวิต โดยไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ทำดีแบบง่ายๆ ให้กับตัวเอง เพื่อนร่วมงาน หรือคนอื่นๆ สิครับ
เช้ามาอาจแวะซื้อขนมติดมือฝากพนักงานที่คอยเปิดประตูหรือกดลิฟต์ที่ตึก ทำงานเมื่อยๆ เบรกกาแฟ ตอนเดินกลับมาที่โต๊ะก็หยิบน้ำเย็นฝากเพื่อนร่วมงานที่ร้อยวันพันปีเราไม่เคยหาอะไรให้เลย เที่ยงกินไก่ย่างส้มตำก็เก็บกระดูกไก่ไว้เผื่อเจ้าด่างข้างตึก ตกเย็นเลิกงานแล้วก่อนปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ก็อาจส่งอีเมล์ถึงเพื่อนที่ขาดการติดต่อไปชาติหนึ่ง เขียนความรู้สึกดีๆ ที่เรารู้สึกจริงๆ ถึงเขาอาจแค่สองสามบรรทัดก็พอ อย่าลืมส่ง :-) ไปตอนท้ายด้วยล่ะ พอกลับบ้านก็อาจอาสารอเพื่อนที่เราอาจไม่ค่อยสนิทเดินกลับด้วยกัน
เรื่องง่ายๆ พวกนี้ไม่ต้องวางแผน ไม่ต้องคิดให้เหนื่อย พอสบโอกาสทำอะไรดีๆ ให้กับตัวคนอื่นก็ไม่ต้องรีรอครับ ทำแบบธรรมดาๆ ธรรมชาติๆ
แน่นอนเราอาจโดนเพื่อนๆ มองดูด้วยความงุนงงเล็กๆ ว่า เอ วันนี้เธอไปกินอะไรผิดมาหรือเปล่า ... ไม่ต้องกังวลครับ เราทำดีตามสะดวกใจ
การชักชวนรอยยิ้มและความสุขให้เข้ามาในชีวิตเราแบบง่ายๆ อีกวิธีคือ ทำสิ่งที่ "งามโดยไม่ใช้เหตุผล" (senseless act of beauty) ครับ
ไม่มีนิยามที่แข็งตายตัวครับ อะไรก็ได้ที่เราคิดว่ามัน "งาม" น่ะ คิดให้น้อยหน่อย ใช้ใจล้วนๆ หรือให้มากๆ หน่อย (โดยไม่เดือดร้อนใครนะครับ)
ตัวอย่างเยอะแยะไม่รู้จบครับ เช่น ตื่นเช้าแทนที่สลึมสลือรดน้ำต้นไม้ในชุดนอนก็เปลี่ยนใส่ชุดเก่งไปรดน้ำแทน รดไปคุยกับต้นไม้ของเราไป ดื่มกาแฟก็ลองหยิบถ้วยชุดพิเศษที่ปกติมีไว้รับแขกอย่างเดียวมาใช้ หรือไม่ก็ใช้ถ้วยอลูมิเนียมแบบรีโทรก็งามไปอีกแบบ
จะไปทำงานก็ลองให้ชุดทำงานเขาเลือกเราบ้าง หรือไม่ก็ใส่เสื้อกล้ามตัว "สนุก" ของวันนั้นไป ใส่ไปแล้วก็ "สนุก" อมยิ้มได้ทั้งวัน แม้ว่าจะไม่มีใครเขารู้เขาเห็นกับเราก็ตาม (ฮา) ตอนก่อนออกจากบ้านเด็ดดอกไม้ไปแอบใส่แจกันให้เพื่อนโดยที่ไม่ต้องบอกว่าเป็นใคร
หรือนึกสนุกแทนที่วันนี้จะใช้กระดาษโน้ตธรรมดาหรือโพสต์อิทส่งถึงเจ้านาย ก็เอากระดาษพับออริกามิมาใช้แทน ทานเที่ยงกับเพื่อนก็วางเรียงจานชามแก้วน้ำในตำแหน่งที่ไม่เหมือนปกติ เอาแบบที่คิดว่ามัน "โดน" ที่สุดแล้วสำหรับวันนี้ บ่ายๆ ตัดรูปสวยๆ จากนิตยสารแอบใส่สมุดให้เพื่อนร่วมงาน ก่อนกลับบ้านก็เดินไปแวะสถานที่ที่เราคิดว่าวันนี้ "งาม" ซะไม่มีสักหน่อย
มีวิธีอื่นๆ อีกร้อยแปดพันเก้าครับ ...
ลองค่อยๆ เพิ่มส่วนประกอบหรือมิติของความดีและความงามเข้ามาในชีวิตการทำงานประจำวันของคุณดูครับ แล้วจะเห็นว่าโลกทั้งโลกมีของเล่นสนุกๆ ที่ทำให้เราอมยิ้มได้ทั้งวัน ซุกอยู่เต็มไปหมดเลย :-)