ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๕

ตัวเลขดิจิตอลบนหน้าปัทม์นาฬิกาบอกเวลาหกโมงเย็น แม้ชั้นเรียนจะเริ่มมาบ่ายโมงครึ่งและเลยเวลาเลิกเรียนไปแล้วพักหนึ่ง ผมก็ยังวางใจ เพราะนักศึกษาที่มีธุระข้างนอกก็ได้พูด "เช็คเอาท์" (check out) และขอตัวกลับไปก่อน ที่ยังเหลืออยู่ ก็ดูเต็มใจและอยู่ด้วยกันอย่างร้อยเปอร์เซนต์

เช็คเอาท์เป็นช่วงเวลาตอนท้ายที่ทุกคนได้มีโอกาสพูดแบ่งปัน สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในคลาสวันนั้น อาจจะบอกเล่าความประทับใจ การเรียนรู้ที่เขารู้สึกว่าสำคัญหรือโดนที่สุด หรือบอกเล่าความสุขความทุกข์ สิ่งที่อยู่ในใจของชีวิตช่วงนั้น หรือจะเป็นอะไรก็ได้ ขณะเช็คเอาท์เราอยู่ด้วยกันจริงๆ ให้ความสำคัญกับแต่ละคนและทุกๆ คนที่อยู่ตรงหน้า ณ พื้นที่นั้น การได้ยินกันและกันสำคัญเหนือทุกสิ่ง

ปรกติแล้วสำหรับคลาสที่มีนักศึกษา 15 คนบวกทีมผู้สอน เราใช้เวลาเช็คเอาท์กันประมาณครึ่งชั่วโมง เราจึงใช้เวลาในคลาสสี่ชั่วโมง สำหรับวิชาสามหน่วยกิต ถึงแม้ได้หน่วยกิตน้อยกว่าวิชาอื่นๆ ที่ใช้เวลาเท่ากัน แต่ก็ยังมีนักศึกษาเลือกลง อาจเป็นเพราะผู้เรียนเชื่อว่าจะได้อะไรมากกว่าหน่วยกิต อาจเป็นเพราะเขาเชื่อว่าจะได้ฝึกรู้จักกัน ได้ฟังกันจริงๆ ในวิชานี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเช็คเอาท์ในสัปดาห์นี้ นักศึกษากำลังมีความตึงเครียดจากการเตรียมงานค่ายที่สำคัญ เป็นงานใหญ่ที่พวกเขาทั้งรุ่นจะได้รับผิดชอบเป็นหลักร่วมกันเป็นงานสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แต่งานนี้ก็ทำให้เพื่อนหลายคนบาดเจ็บ จากความความต้องการให้งานออกมาดี และทั้งจากความปรารถนาดีที่มีให้กัน เพียงแต่ยังพร่องทักษะการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารในที่ประชุม

ช่วงเช็คเอาท์ จึงกลายเป็นพื้นสำหรับโอกาสในการเรียนรู้และทำความเข้าใจกัน แม้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นบทสนทนาเพื่อดูแลความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องและยาวนาน แต่ก็งดงามที่ได้ริเริ่ม

การใช้ชีวิต การทำงานร่วมกันนั้น ไม่ได้ง่ายเสมอไป เรื่องราวที่เล่าในเช็คเอาท์จึงทำให้สั่นไหว ถึงกับร้องไห้หลายคน

ในพื้นที่ของสุนทรียสนทนา (Dialogue) ทุกคนฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง ห้อยแขวนการตัดสิน เคารพในการเข้าถึงไม่หมด พูดอย่างสด-เปลือย-เปราะบาง และชื่นชมวัฒนธรรมความเงียบ พวกเขาได้แบ่งปันเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากมุมมองของตนเอง เขาได้กล้าและไว้วางใจที่บอกกันตรงๆ และจริงๆ เพราะต่างรู้ว่าทุกคนกำลังพยายามที่จะได้ยินกันจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ฟังแต่ไม่ได้ยิน (hearing but not listening)

หลังจากได้ยินพูดกันเกือบครบรอบวง นักศึกษาคนหนึ่งแบ่งปันว่า เขาประทับใจมากที่ทุกคนรวมถึงอาจารย์ใส่ใจ ให้เวลาในการดูแลกันและกัน

"ขอเช็คเอาท์เพิ่มอีกหน่อย คือ ผมอยากจะพูดจากความรู้สึก ต่อจากเมื่อกี๊น่ะครับ คือ สามปีที่เรียนผ่านมาเนี่ย วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมสามารถเรียกมหิดลว่า 'บ้าน' ได้ รู้สึกว่าอบอุ่นมาก มันอบอุ่นและเชื่อได้อย่างหมดใจว่านี่คือบ้านของผม อันนี้มันมาจากความรู้สึกจริงๆ ครับ อยากจะขอบคุณอาจารย์มาก ขอบคุณครับ"

เขากล่าวจบพร้อมกับยกมือไหว้ เป็นการไหว้ที่ผมจะจำไปตลอด ตอนนั้นทั้งขนลุก ทั้งน้ำตาซึม

วันที่น่าประทับใจที่สุดวันหนึ่งของความเป็นคนและความเป็นครู วันที่รุ่นน้องของเรา เรียกสถาบันการศึกษาของเขาและของพวกเราว่า "บ้าน" … จะไม่ให้เราเรียกวันนี้ว่าเป็นวันที่น่าประทับใจที่สุดได้อย่างไร ในชีวิตความเป็นครูมหาวิทยาลัยจะเกิดขึ้นกับกี่คนและกี่ครั้งกัน

ขณะเดินออกจากมหาวิทยาลัย คำพูดนักศึกษายังก้องอยู่ในโสตประสาท

หรือว่ามหาวิทยาลัยมีความเป็นบ้าน เมื่อผู้คนข้างในเรียนรู้ที่จะฟังกันอย่างใส่ใจ ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และความเข้าใจ ก่อนจะพยายามไปแก้ไขปัญหา

0 comments: