ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 14 สิงหาคม 2548
ผมได้พาคุณไปรู้จักกับหมี จอม detail กระทิง นัก action และหนู ผู้ compromise ไปแล้ว หากคุณยังไม่พบว่าหัวหน้า เพื่อนร่วมทีม หรือแม้แต่ตัวของคุณเอง มีลักษณะสไตล์เข้าข่ายทั้ง ๓ ดังว่านี้เลย ลองมาทำความรู้จักกับเพื่อนอีกคนในครั้งนี้กันครับ
ย้อนกลับไปสักเล็กน้อย เมื่อ ๓ ครั้งที่ผ่านมา เราได้รู้จักเพื่อนที่มีสไตล์พื้นฐานความคิดแตกต่างกัน ๓ แบบ เทียบเคียงกับแนวคิดสัตว์ ๔ ทิศของชนพื้นเมืองอเมริกัน ได้แก่ หมี บุคคลที่ชอบลงรายละเอียด สนใจข้อมูล และการทำงานเป็นขั้นตอน กระทิง ขาลุยผู้มุ่งมั่นและชิงลงมือทำงานโดยไม่ให้เสียเวลา และให้ความสำคัญกับการได้ลงมือทำงาน หนู ผู้ให้ความสนใจกับเพื่อนร่วมงาน ความสัมพันธ์ระหว่างคนในทีม ความร่วมมือและปรองดองของคณะทำงาน
สำหรับเพื่อนคนที่ ๔ ของเรา เขาคือ อินทรี ผู้มาจากทิศตะวันออก และมีธาตุลมครับ อินทรี โดยธรรมชาติแล้วจะบินสูงและเห็นภาพกว้าง เพื่อนร่วมงานชาวอินทรีของเราก็มีลักษณะเช่นนั้น กล่าวคือ เขาจะเป็นคนที่สนใจงานในภาพรวม เห็นกระบวนการทำงานทั้งหมด มองการณ์ไกล เฉียบคม มีญาณทัศนะ (intuition) และมีความสนใจในสิ่งใหม่ๆ และแตกต่างออกไปเสมอ
อินทรี จึงเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ และนำเสนอไอเดีย เปิดหน้างานใหม่ๆ ขึ้นมาอยู่เสมอ สมฉายาว่า อินทรี เจ้า project นั่นแหละครับ แถมเวลาใครมาชวนทำอะไรก็มักจะปฏิเสธไม่ค่อยเป็น คือเห็นมันสนุกไปหมด ชอบเป็นขาแจมกับเขาไปทั่ว
ถ้าตัวคุณเองเป็นอินทรี คุณย่อมไม่อดทนต่อการทำงานแบบเดิมๆ ซ้ำกันทุกวัน คุณคอยคิดถึงงานอื่นที่แปลกแตกต่างออกไปเสมอ หรือมิเช่นนั้น คุณก็ชอบทดลองทำงานเดิมด้วยวิธีการใหม่ อินทรีอย่างคุณจะอึดอัดมากถ้ารู้สึกว่าถูกบังคับ ไม่มีทางเลือก หรือถ้าไม่รู้ว่างานที่ทำอยู่ไปสัมพันธ์เกี่ยวข้องอย่างไรกับงานในกระบวนการทั้งหมด
ด้วยความที่สนใจในภาพรวมนี้เอง ทำให้อินทรีมองข้ามการทำงานในรายละเอียดไป เมื่ออินทรีนึกถึงงานชิ้นหนึ่ง เขาจะมองภาพงานที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายต่างๆ และผลของงานจะนำไปสู่อะไร แต่อินทรีจะไม่รู้ว่าบางขั้นตอนของงานนั้นอาจขัดกับระเบียบหรือวิธีการทำงานขององค์กร กรณีอย่างนี้จึงขัดกับความเชื่อและอุปนิสัยของหมีที่ทำงานตามขั้นตอนและระเบียบอย่างเคร่งครัด
รวมไปถึงการบินสูงของอินทรี ยังอาจละเลยไม่ทันเห็นว่าเพื่อนร่วมงาน หรือลูกทีมบางคนกำลังมีปัญหา หรือบอบช้ำจากการทำงาน ในขณะที่หนูสังเกตเห็นและเข้าไปดูแลเพื่อนคนนั้นแล้ว
ความสำเร็จในทัศนะของอินทรีคือการได้คิดวิเคราะห์ เชื่อมโยง หรือออกแบบสร้างงานใหม่ แต่อินทรีไม่ใช่นักปฏิบัติที่ชอบลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง ซ้ำๆ นานๆ แต่มีแนวโน้มจะคิดแล้วนำความคิดไปให้คนอื่นทำ ฉะนั้น เราจึงพบอินทรีได้ง่ายในหมู่อาชีพที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์และการวางแผน เช่น ครีเอทีฟ ผู้บริหารโครงการ และนักวิจัยและพัฒนาครับ
ความแตกต่างของ หมี กระทิง หนู และอินทรี ทั้ง ๔ นี้ ล้วนหนุนเสริมพลังความสนใจและพรสวรรค์เฉพาะของแต่ละคนได้อย่างกลมกลืนและสร้างสรรค์ครับ แทนที่ต่างฝ่ายจะยกเอาความสนใจที่ต่างกันมาติติง กลับสามารถเสริมจุดด้อยที่แต่ละคนมีได้ เช่น อินทรีช่วยให้ทีมเห็นลู่ทางใหม่ คาดการณ์ทำนายผลลัพธ์การทำงาน ส่วนหมีช่วยจัดการในรายละเอียดให้ถูกต้องเป็นระเบียบ กระทิงช่วยขับเคลื่อนงานไปข้างหน้า ส่วนหนูก็ดูแลและยึดโยงทุกคนในกลุ่มเข้าไว้ด้วยกัน อย่างนี้จึงจะเป็น team work และทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข
งานที่สำเร็จลุล่วงในเวลาอันรวดเร็ว แต่ลูกทีมบางคนต้องเสียความรู้สึกดีๆ ต่อหัวหน้างานไป หรืองานราบรื่นเป็นระบบ แต่ทุกคนขาดความกระตือรือร้นค้นหาทดลองแนวทางใหม่ๆ อาจเรียกว่าเป็นงานที่ประสบความสำเร็จได้ แต่ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของการทำงานอย่างมีความสุขครับ งานนั้นไม่ใช่เพียงเนื้องาน เอกสาร หรือยอดขาย แต่งานยังหมายถึงพวกเราทุกคนที่เป็นคนขับเคลื่อนเฟืองจักรให้งานเดินไปสู่เป้าหมาย ความสุขจากการทำงานจึงควรเป็นความสุขของทุกคนที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำงานและตลอดเวลาที่ได้ทำงานร่วมกัน ไม่น่าจะใช่แค่ความสุขที่ได้เห็นงานเสร็จ
เคล็ดลับการทำความเข้าใจ และใช้ความแตกต่างเป็นพลังหนุนเสริมกันในทีมนี่แหละครับ คือที่มาของความสุขในการทำงาน
แนวคิดสัตว์ ๔ ทิศนี้จะไม่เกิดประโยชน์เลยครับ ถ้าเรานำความแตกต่างที่ว่านี้มาตอกย้ำ ตีตราให้กัน และกล่าวโทษการประสานงานที่มีปัญหาว่าเป็นเพราะเราต่างกัน ความแตกต่างไม่ได้เป็นข้อกำหนดมาจำกัดความสามารถและศักยภาพของแต่ละคนเลยครับ ตรงกันข้าม กลับเป็นเครื่องบ่งชี้และนำทางให้เราเห็นความหลากหลาย และความงดงามของทุกคน
ในโลกการทำงานเราล้วนอยู่ท่ามกลางเพื่อนผู้มีที่มาหลากหลาย เราไม่สามารถบังคับให้ทุกคนคิดเหมือนกันได้ เช่นกันกับความแตกต่างหลากหลายบนโลกใบนี้ เมื่อเรามีความสุขได้ง่ายๆ จากการเรียนรู้เข้าใจกันในที่ทำงาน มันคงไม่ยากเกินไปที่เราจะเข้าใจโลกใบที่ใหญ่กว่า และนำพามาซึ่งความสุขและสันติภาพในทุกๆ คนครับ
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 31 กรกฎาคม 2548
ครั้งก่อนเราได้มุ่งไปตะวันตก และขึ้นเหนือ เพื่อทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงานทั้งสองแบบของเราคือ หมี จอม detail และกระทิง จอม action มาแล้ว ครั้งนี้เราจะล่องใต้กันครับ ไปรู้จักเพื่อนร่วมงานอีกแบบคือ หนูผู้compromise อยู่ในทิศใต้ มีธาตุน้ำ เป็นสัตว์ในที่ทำงานประเภทที่ ๓ ตามแนวคิดสัตว์ ๔ ทิศของชนพื้นเมืองอเมริกัน ไม่แน่คุณอาจพบว่าคุณนั่นเองคือหนูผู้ compromise ก็เป็นได้
ลองนึกถึงในที่ทำงานขณะที่ทุกคนกำลังขะมักเขม้นทำงานหน้าดำคร่ำเครียด เมื่อถึงช่วงพักกลางวัน หนูจะเป็นคนแรกที่ชวนเพื่อนออกไปทานข้าว เข้าไปทักเพื่อนที่ทำงานลืมเวลาว่าพักเสียหน่อยนะ ไปหาอะไรอร่อยๆ ทานกันดีกว่า เมื่อไปถึงร้านอาหาร แน่นอนครับ หมีจะเลือกแล้วเลือกอีกว่าเมนูจานไหนดี ร้านนี้กินอะไรถึงเหมาะ ส่วนกระทิงนะหรือครับ ออเดอร์อาหารได้เป็นรายแรกหรือไม่ก็สั่งสมทบตามหลังเพื่อนที่สั่งข้าวกะเพราไข่ดาวว่า “กะเพราด้วย รวมเป็น ๒” แต่ในเวลาเดียวกัน หนูอีกนั่นแหละที่จะคอยสังเกตว่าเพื่อนคนไหนสั่งอะไรได้อาหารครบหรือไม่ ใครต้องการน้ำหรือพวงเครื่องปรุงบ้าง
ถ้าคุณรู้สึกว่าหมีและกระทิงต่างมุ่งมั่นกับชิ้นงานและผลลัพธ์เกินไป จอม detail อย่างหมีนั้นช่างเคร่งครัดกับระเบียบวิธีการและให้ความสำคัญกับความถูกต้องของข้อมูลมากกว่าความเชื่อใจในทีมงาน ส่วนรายกระทิงนั้นเล่าก็ลุยจัดการกับงานตรงหน้าจนไม่ดูว่าจะทำให้เพื่อนร่วมงานหรือลูกทีมน้อยใจหรือเปล่า ถ้ารู้สึกอย่างนี้ คุณอาจเป็นหนู เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างกันมากเป็นพิเศษครับ
หนูๆ ในที่ทำงานคือกลุ่มคนผู้สนใจตัวคนทำงานและวิธีการทำงานมากกว่าใครเพื่อนครับ ในกรณีที่หนูเป็นหัวหน้าทีมทำงานภายใต้ระเบียบขั้นตอนจุกจิกปลีกย่อยมาก หัวหน้าหนูก็มีแนวโน้มสูงจะยืดหยุ่นละเว้นกฎบางข้อ เพื่อให้ลูกทีมทำงานได้คล่องและลื่นไหลมากขึ้น หมีๆ ฝ่ายบัญชีหรือการเงินอาจจะระอาที่หัวหน้าหนูเซ็นต์อนุมัติเบิกจ่ายให้ลูกทีมทั้งที่เอกสารใบเสร็จรับเงินนั้นไม่เรียบร้อยสมบูรณ์ เพราะหัวหน้าหนูเห็นใจลูกทีมถ้าตีกลับเอกสารไปให้แก้ไข หรือถึงขั้นเกรงใจว่าลูกทีมอุตส่าห์สำรองเงินจ่ายไปก่อน จะไม่เซ็นต์ผ่านให้ได้อย่างไร
ส่วนหนูๆ เพื่อนร่วมงาน (ที่ไม่ใช่น้องๆ สาวๆ นะครับ) ของคุณนั้น เขาหรือเธอแทบจะไม่เคยปฏิเสธคำขอให้ช่วยจากเพื่อนเลย ไม่ว่าจะในทีมเดียวกัน หรือจากฝ่ายอื่นก็ตาม คุณจะไม่เห็นหนูบอกปฏิเสธไม่ยอมช่วยด้วยเหตุผลว่า “งานฉันยังไม่เสร็จเลย” หรือ “งานใครก็งานมันสิ” เลย เต็มที่ก็แค่แบ่งรับแบ่งสู้ อย่างน้อยก็ช่วยให้คำแนะนำอยู่ดี
ถ้าคุณไม่ใช่หนู แต่คุณเป็นหมีหนุ่ม กระทิงสาว คุณอาจรู้สึกว่า น้องหนูนี่ช่างน่ารำคาญเสียจริง ไม่ทุ่มเท ไม่ระมัดระวัง แถมยังมีนิสัยขี้น้อยใจ ช่างเกรงใจ และเอาใจใส่เพื่อนๆ มากกว่าตัวเนื้องานเสียอีก ถ้าคุณมีเพื่อนร่วมงานที่แตกต่างจากคุณอย่างนี้ ทำอย่างไรให้ทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขละครับ ?
พื้นฐานสำคัญของแนวคิดสัตว์ ๔ ทิศ คือการพยายามทำความเข้าใจกันและกันครับ ไม่ใช่การจัดแบ่งคนในที่ทำงานออกเป็น ๔ ก๊กเพื่อแข่งกีฬาสี การที่ได้รู้ว่าเพื่อนหรือหัวหน้ามีการตัดสินใจ ใช้สไตล์การทำงานแบบนี้ ล้วนมีที่มาจากฐานความคิดต่างกัน อย่างกรณีของหนู พฤติกรรมช่างเกรงใจและการพยายามรักษาความสัมพันธ์ของเขาเป็นคุณลักษณะบนฐานใจ ทำให้หนูสนใจการอยู่ร่วมกันมากกว่าเรื่องอื่นๆ
แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าหนูๆ ไม่ใส่ใจกับความสำเร็จหรือความเรียบร้อยของงานนะครับ เพราะทัศนะของหนู ความสำเร็จคือความสัมพันธ์ที่ดีในทีม ฉะนั้น หนูจะไม่ชื่นชมกับยอดขายทะลุเป้า แต่แลกมาด้วยความทุ่มเททำงานล่วงเวลาของทุกคนจนไม่มีเวลาแม้แต่จะมาคุยกัน หนูสนใจเพื่อนที่ดูเครียดจากงาน สังเกตว่าคนในทีมห่างเหินหมางเมินเพราะวุ่นกับงานที่ต้องแย่งกันทำยอด ในบรรดาคนในทีมงาน หนูจึงเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นความผิดปกติในกลุ่มหรือในโครงสร้าง เราสามารถกล่าวได้ว่า หนูเป็นคนสำคัญที่ยึดโยงทุกคนไว้ในกลุ่ม ขณะที่หมีคอยจัดการรายละเอียด และกระทิงทำหน้าที่เป็นหัวรถจักร
แต่ทว่าความแตกต่างของคนเหล่านี้จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราเอาแต่พร่ำบ่นว่านิสัยของคนอื่นเป็นภาระ หรือตำหนิคนที่มีวิธีทำงานต่างจากเราว่าเป็นอุปสรรคทำให้งานช้า ถ้าเช่นนั้นแล้ว การแบ่งสัตว์ ๔ ทิศก็จะเป็นเพียงการขีดเส้นความเป็นพวกเขาพวกเราให้ชัดเจนขึ้น ไม่เกิดความพยายามทำความเข้าใจกัน
สัตว์ ๔ ทิศบอกว่าความแตกต่างระหว่างกัน ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับการทำงานเลยครับ แต่เป็นคำตอบต่อคำถามว่าเราจะทำงานร่วมกันอย่างมีความุสขได้อย่างไร เพราะความหลากหลายแต่หนุนเสริมกันและกันในหมู่เพื่อนร่วมงานนี่แหละคือสิ่งสำคัญที่ทำให้งานสำเร็จ และทุกคนมีความสุขจากการทำงานร่วมกัน
ถึงตรงนี้แล้ว ถ้าคุณยังไม่พบว่าตัวเองเป็นสัตว์ในทิศไหน อย่าลืมครับว่ายังมีครั้งต่อไป เราจะพบกับ อินทรี เจ้า project ผู้อยู่ในทิศตะวันออก และมีธาตุลม แล้วจะได้รู้กันว่าความแตกต่างของอินทรีมีคุณูปการอย่างไรต่อเพื่อนหมี กระทิง หนู และเพื่อนๆ ทั้ง ๓ จะช่วยหนุนเสริมเอาศักยภาพความสามารถของอินทรีมาช่วยให้ทีมทำงานสำเร็จลุล่วงอย่างมีความสุขได้อย่างไรบ้าง เตรียมพบกับอินทรีในตอนหน้า (14 ส.ค.) ครับผม :-)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 17 กรกฎาคม 2548
ยังจำหมี จอม detail ในตอนที่แล้วได้ใช่ไหมครับ ถ้าท่านเคยไปทำโอดี (organization development) ขององค์กร และวิทยากรนำกิจกรรรมเกมบางอย่าง คุณจะเห็นว่าเหล่าหมีเพื่อนร่วมงาน เขาใช้เวลาครุ่นคิดเก็บข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจเลือกทำอะไรก่อนหลัง ขณะที่เพื่อนร่วมงานบางคนในกลุ่มเริ่มลุยลงมือไปตามเกมของวิทยากรเรียบร้อยแล้ว ครั้นเมื่อถึงช่วงทานพักอาหาร ระหว่างที่คุณกำลังเดินดูโต๊ะบุฟเฟ่ท์ให้ทั่ว ลังเลว่าจะตักอะไรมาทานดี บางคนก็มองหาที่นั่งที่ติดกันกับเพื่อนที่คุ้นเคย แต่เพื่อนร่วมงานจอมลุยคนนี้ของคุณได้ตรงดิ่งไปหยิบจานรอคิวตักอาหารเสียแล้ว
หรือในการทำงานร่วมกับหัวหน้าหมี คุณมักจะถูกสอบถามติดตามรายละเอียดทุกขั้นตอน แต่คุณเคยพบหัวหน้างานอีกประเภทไหมครับ? ประเภทที่ว่า ถ้าเขาได้รับเป้าหรือโจทย์จากที่ประชุมกรรมการแล้ว เขาแทบจะออกมาสั่งลูกทีมทันที มิหนำซ้ำยังคาดหวังให้ลูกทีมลงมือทำเดี๋ยวนั้นเลย เรียกได้ว่าไม่ต้องมาเสียเวลาพิจารณาว่าควรทำหรือไม่ การวางแผนไม่จำเป็นต้องใช้เวลามาก ถ้าหัวหน้าบอกต้องออกแอ็คชั่นเลยทันที
จากครั้งก่อนเราพูดถึงหมี จอม detail ผู้อยู่ทิศตะวันตก และมีธาตุดินไปแล้ว หัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานของคุณในครั้งนี้ผู้มีลักษณะข้างต้น ถ้าแนวคิดสัตว์ ๔ ทิศ อันเป็นความรู้จากชนพื้นเมืองอเมริกันมาจัดแบ่งกลุ่ม เขาก็คือ กระทิง จอม action ผู้อยู่ทิศเหนือ และมีธาตุไฟนั่นเองครับ (ส่วนอีก 2 กลุ่มที่เหลือได้แก่ หนู ในทิศใต้ ธาตุน้ำ และอินทรี ในทิศตะวันออก ธาตุลม ซึ่งจะเล่าสู่กันในตอนต่อไปครับ)
ในบรรดาบุคคลแวดล้อมในชีวิตการงานของคุณ กระทิงจะเป็นผู้ออกแอ็คชั่นเป็นหลักครับ ต้องแอ็คชั่น แอ็คชั่น และแอ็คชั่นครับ ทีนี้ถ้าหากเราเองไม่ใช่กระทิงล่ะ ถ้าเราเจอพวก action-oriented แบบนี้ในที่ทำงานแล้ว เราจะทำอย่างไรให้มีความสุขและสนุกครับ? เราจะทนอึดอัดกับการรู้สึกว่าเขาผลีผลามทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด หรือเราจะหงุดหงิดรำคาญใจที่เขาทำงานไปก่อนโดยไม่ฟังเสียงเพื่อนร่วมทีม คำถามคือเราจะสร้างพื้นที่แอ็คชั่นสำหรับคนเหล่านี้ ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นอย่างจริงใจ และชื่นชมเขาอย่างจริงจังได้อย่างไร?
เราต้องเข้าใจธรรมชาติของพวกกระทิงครับ ความสำเร็จในทัศนะของเขาคือการได้ลงมือกระทำ แม้ว่าทำเสร็จแล้วอาจไม่มีระบบ หรือสมาชิกในทีมจะรู้สึก "อิน" ไม่เท่ากันก็ไม่เป็นไร หรือแค่มีแผนการทำงานนั้นไม่พอ ต้องได้ทำได้ลงมือ เราจึงมักพบพวกกระทิงในกลุ่มนักกีฬา นักแสดง นักกู้ภัย ทหาร ตำรวจ พวกแอ็คชั่นทั้งหลายน่ะครับ
สิ่งที่คุณจะไม่ค่อยพบในพวกกระทิง คือ การนั่งคิด ใช้เวลาวางแผนครับ กระทิงจะคิดว่า "เสียเวลา" สุดๆ มักจะพูดว่า "โอ๊ย ... จะหมดเวลา/เสียโอกาส อยู่แล้ว" ยังจะต้องมาคิดว่าใครในทีมรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนั้น และพวกกระทิงก็จะไม่ซีเรียสกับหลักการเท่าใดนัก โดยเฉพาะถ้าหลักการนั้นมันขัดขวางทำให้เขาได้ลงมือทำช้าลงไปอีก
พวก "หมี" ที่เน้นความเป็นระบบและข้อมูล ควรเข้าใจพวก "กระทิง" ว่า เขามีสไตล์การทำงานที่เน้นความเสี่ยงและท้าทาย ในทัศนะเขา ถ้ามัวแต่มาทำระบบจะทำให้พลาดโอกาสเสียก่อน หรือสำหรับบางคนที่เห็นความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างคนในทีม ก็ไม่ควรรู้สึกแย่ที่ดูเหมือนว่ากระทิงไม่แคร์เพื่อนๆ เลย ทั้งที่โดยแท้แล้วกระทิงแคร์นะครับ เพียงแต่ในโลกของเขา เขาเชื่อว่าการช่วยเหลือเพื่อนก็คือการรีบลงมือทำให้เสร็จนั่นเอง
ถ้าคุณเป็นกระทิงหนุ่ม กระทิงสาว ทั้งที่ "เปลี่ยว" และ "ไม่เปลี่ยว" (ฮา) คุณควรจะเข้าใจเข้าใจแรงผลักดันพื้นฐานของคุณและทีม การที่บางคนในทีมใช้เวลาวางระบบ กว่าจะเซ็นเช็คแต่ละฉบับต้องคิดแล้วคิดอีก ดูรายละเอียดต่างๆ ให้เรียบร้อย ก็ทำพื่อทีม การที่บางคนมีความคิด จินตนาการเยอะแยะ แม้หลายอย่างคิดเพ้อเจ้อไปบ้าง ทำจริงไม่ได้บ้าง ก็ทำเพื่อทีม หรือแม้กระทั่งบางคนที่ใช้เวลาไต่ถามทุกข์สุขและดูแลสุขภาพคนอื่นๆ ก็ทำเพื่อทีมเช่นกัน การมีองค์ประกอบเหล่านี้อย่างผสมผสานทำให้ทำงานกันเป็นทีมไปได้นาน ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องลุยไปข้างหน้าพร้อมกับกระทิงอย่างคุณเสมอไป
หากเป้าหมายในชีวิตการงานของพวกเราไม่ใช่เรื่องเงิน (แต่เพียงอย่างเดียว) เป้าหมายเรายังเป็นเรื่องความสุขด้วยแล้ว เราจึงควรใช้ชีวิตการทำงานอย่างพร้อมจะเรียนรู้กันและกัน พร้อมจะเติบโตร่วมกับคนในทีมที่มีความหลากหลายเหล่านี้อย่างเข้าใจกันนั่นเองครับ
ตอนหน้าเตรียมกับพวก "หนู" (ผู้ compromise) ในทิศถัดไปครับ :-)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Work
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 3 กรกฎาคม 2548
คุณเคยมีหัวหน้าทีมที่กำกับการทำงานของคุณในรายละเอียดไหมครับ ? หรือเคยมีเพื่อนร่วมงานที่เก็บตัวและทำทุกอย่างให้ถูกตามระเบียบทุกประการบ้างไหม ? เพื่อนคนหนึ่งของผมเล่าว่า หัวหน้าของเขาตรวจรายงานทุกชิ้นอย่างถี่ถ้วนมาก แทบทุกครั้งที่ส่งเอกสารรายงานถึงหัวหน้าจะต้องมีโน้ตคำถาม หรือพบจุดผิดพลาดในงานชิ้นนั้นเสมอ หนำซ้ำยังมีเพื่อนร่วมงานที่ยึดกฎระเบียบมากจนไม่ยอมยืดหยุ่นให้แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ
คนเหล่านี้ต้องการข้อมูลครับ และหากเราไม่ใช่คนที่มีอุปนิสัยคล้ายกันนี้ เราก็จะอึดอัดและรู้สึกว่าไม่มีความคล่องตัวหรือประนีประนอมกันบ้างเลย ขณะเดียวกัน เราเองก็ไม่สามารถเลือกเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าได้ตามใจชอบ หรือเรียกร้องให้เขาเปลี่ยนแปลงความคิดวิธีทำงานให้เป็นไปตามใจเราได้ คำถามก็คือ จะทำงานกับคนประเภทนี้ให้มีความสุขได้อย่างไร ? เราจะอภิเชษฐ์ (ชื่นชมหรือ appreciate) คนเหล่านี้ได้อย่างไร ? และในทางกลับกัน เราเป็นคนประเภทไหน ? ทำอย่างไรจะทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขได้ ?
ทุกท่านคงคุ้นเคยกับการจัดคนออกเป็นประเภทต่างๆ ตามราศีเกิด และยังมีอีกหลายแนวคิดที่อธิบายความต่างของคนแต่ละประเภทเอาไว้ ปกติแล้วผมเป็นคนไม่ค่อยเชื่อการแบ่งประเภทคน หรือจัดลงกล่องต่างๆ ตามตัวแบบที่ถูกลดทอนรายละเอียด แล้วคิดสรุปเอาเองว่า "คนอย่างเนี้ย มันก็เป็นอย่างเนี้ยะแหละ" เช่น บอกว่าคนเกิดวันอังคารมีนิสัยใจร้อน คนเกิดวันเสาร์เป็นคนขยัน
แต่แนวคิดหนึ่งซึ่งผมเห็นว่าน่าสนใจ คือชุดการแบ่งคนสี่แบบตามทิศทั้งสี่นี้ เพราะนอกจากจะกระตุ้นนำเราไปสู่การคิด ค้นหา ตรวจสอบ และยอมรับตนเองอย่างจริงใจได้แล้ว ยังทำให้เราได้คิด ค้นหา ตรวจสอบ และยอมรับผู้อื่นอย่างจริงใจด้วยเช่นกัน
การแบ่งคนตามสัตว์ ๔ ทิศนี้เป็นความรู้จากอินเดียนแดงชนพื้นเมืองอเมริกันครับ กล่าวไว้ว่า คนเรามีคุณลักษณะตามกลุ่มหลัก ๔ กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีสัญลักษณ์แทนตัวด้วยสัตว์สี่ชนิด โดยมีฐานคำอธิบายจากทิศหรือธาตุทั้งสี่ ซึ่งมีลักษณะนิสัยและรูปแบบของตนต่างกันออกไป ได้แก่
๑. หมี (บางตำรา บางเผ่าก็ว่างู) อยู่ในทิศตะวันตก เป็นธาตุดิน
๒. กระทิง อยู่ในทิศเหนือ เป็นธาตุไฟ
๓. หนู อยู่ในทิศใต้ เป็นธาตุน้ำ
๔. อินทรี อยู่ในทิศตะวันออก เป็นธาตุลม
การรู้จักลักษณะของคนแต่ละกลุ่มตามสัตว์ทั้ง ๔ ทิศนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งครับ สำหรับวันนี้ขอเริ่มแนะนำกลุ่มหมีซึ่งก็มีคุณลักษณะอย่างกลุ่มคนตามได้เกริ่นไว้ในตอนต้น เขาเหล่านี้เป็นพวกธาตุดินครับ เพราะฉะนั้นจึงมีลักษณะเชื่องช้า รักความมั่นคง เก็บตัว สันโดษ เจ้าระเบียบ เขาและเธอชอบลงรายละเอียด ชอบเสพข้อมูล ถึงขนาดบางทีหลงใหลได้ปลื้ม ตื่นอกตื่นใจไปกับมัน
นอกจากนั้นแล้ว หมียังเป็นพวกชอบการใช้หลักเหตุผล วิเคราะห์ที่มาที่ไป เห็นความถูกต้องและความยุติธรรมเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อเปรียบกับกลุ่มอื่นแล้ว หมีจะเป็นคนตรงไปตรงมา บางทีมากจนเป็นการพูดแบบขวานผ่าซาก ลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งคือ หมีสามารถทำงานที่เป็น routine ได้อย่างมีความสุข ไม่มองว่ามันเป็นงานซ้ำซากจำเจ เพราะชอบความเป็นระเบียบและทำงานอยู่กับข้อมูลเป็นหลัก
หากหมีได้รับมอบหมายให้ไปซื้อของสักอย่าง หมีจะค่อยๆ เปรียบเทียบสินค้านั้นจากผู้ขายแต่ละราย หรือห้างร้านแต่ละแห่งอย่างถี่ถ้วน เช็คแล้วเช็คอีกกว่าจะตัดสินใจได้ ทั้งยังไม่ได้คำนึงถึงแต่ราคาเพียงอย่างเดียว แต่หมีจะพิจารณาด้วยว่าสินค้าจากแหล่งไหนมีคุณสมบัติและบริการสมเหตุสมผลคุ้มค่ากับราคามากที่สุด หมีจึงจะตัดสินใจ
การรีบเร่งทำงานให้ลุล่วงจบไปโดยไม่สนใจรายละเอียดวิธีการจึงไม่ใช่ลักษณะของหมีเลยครับ เช่นเดียวกับอุปนิสัยการทำงานหลายอย่างที่คุณจะไม่พบในหมี ไม่ว่าจะเป็นการออกไอเดียใช้ความคิดสร้างโครงการใหม่ๆ การให้ความสำคัญหรือแคร์ต่อความอารมณ์ความรู้สึกของเพื่อนร่วมงาน หมีจึงดูเหมือนไม่ค่อยถนอมน้ำใจผู้อื่น และถือเอาหลักการและวิธีการเป็นที่ตั้ง
ความสำเร็จในสายตาของเหล่าหมีหนุ่ม หมีสาว จึงหมายถึงการมีระบบที่ชัดเจน เป็นระเบียบ โดยทั่วไปแล้ว คุณจึงจะพบเพื่อนร่วมงานที่เป็นหมีได้ง่ายในฝ่ายบัญชีและการเงิน แต่ก็มิใช่ว่าเจ้าหน้าที่บัญชีทุกคนจะต้องมีลักษณะเป็นหมีเสมอไปครับ
กลับไปที่คำถามตอนต้น ทำอย่างไรเราจึงจะทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขได้ ? เมื่อรู้จักหมีแล้ว อยากให้คุณลองคิดในทางกลับกัน ถ้าคุณเป็นหมีเสียเอง คุณจะรู้สึกอย่างไรที่เห็นคนทำงานข้ามขั้นตอน เร่งทำงานให้เสร็จโดยไม่ทำเอกสารให้ครบถ้วน ? ทุกคนจะมีความสุขมากขึ้นไหม ? ถ้าเราเข้าใจและยอมรับในความแตกต่างของเพื่อนร่วมงาน
พบกันในตอนหน้า สำหรับพวก "กระทิง" ในทิศถัดไปครับ :-)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Home
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 19 มิถุนายน 2548
คุณเคยรู้สึกว่าคุณเป็นเทพกำลังขี่เมฆ ตามหาม้าเทวดาบ้างไหม? ไม่ว่าคุณจะเคยหรือไม่ วันนี้ผมรู้สึกว่ากำลังเดินทางค้นหาม้าเทวดา สิ่งมีชีวิตที่ไม่พบที่อื่นอีกในโลก นอกจากในป่าที่ผมกำลังอยู่เท่านั้น
ขณะที่กำลังเขียนต้นฉบับนี้ อากาศรอบข้างผมช่างหนาวเหน็บ เมฆโรยตัวรายรอบล้อมผมราวกับกำลังขี่เมฆ ค้นหาม้าเทวดา หรือกวางผา goral สำหรับนักวิทยาศาสตร์ แม้ผมจะยังไม่เห็นมัน แต่ผมกลับได้พบกุหลาบพันปี หรือดอกไม้วงศ์กุหลาบซึ่งพบได้เฉพาะที่นี่ กำลังออกดอกเบ่งบานสะพรั่งอยู่ริมผา ใกล้ๆ กันมีกองมูลของเลียงผาที่มีเมล็ดเล็กๆ เท่าคลอเร็ตสีน้ำตาลกองเบ้อเริ่ม
ผมอยู่ที่อุทยานแห่งชาติดอยหลวงเชียงดาว แดนธรรมชาติอันงดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก คำว่าสวรรค์บนดินดูจะไม่เรียกเกินเลยไป บรรยากาศบริเวณเด่นหญ้าขัดในเขตอุทยาน อบร่ำไปด้วยตำนานล้านนา ว่าเขาแห่งนี้เป็นสถานที่สิงสถิตของเจ้าหลวงคำแดง เทพผู้เป็นประธานของเทพทั้งมวลในดินแดนล้านนา แม้น้ำสำหรับประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ประจำปีที่วัดพระธาตุดอยสุเทพยังต้องนำมาจากที่นี่
ผมเดินทางมากับคณะครูชาวไทยและอเมริกันสามสิบกว่าชีวิตเพื่อร่วมสร้างเครือข่ายของครู ชาวบ้าน และนักพัฒนาที่สนใจกระบวนการเรียนรู้แบบสืบค้นที่มีชุมชนเป็นหลัก เพื่อประโยชน์แก่นักเรียน ระบบนิเวศ และโลก ในโครงการการเดินทางสำรวจโลก (Earth Expedition) โดยการร่วมมือกันในหลายประเทศที่มีธรรมชาติอันน่าทึ่ง ตื่นตาตื่นใจ และมีสัตว์สวยงามขนาดใหญ่เป็นตัวเดินเรื่อง
คอร์สในประเทศไทยครั้งนี้ที่ร่วมจัดโดยมูลนิธิโลกสีเขียว สถาบันขวัญเมือง มหาวิทยาลัยไมอามี่ สวนสัตว์ซินซิแนติ และแผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มีความแตกต่างจากครั้งอื่นๆ เพราะเน้นการเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ในหัวข้อ พุทธศาสนากับการอนุรักษ์ธรรมชาติ อันว่าด้วยธรรมชาติกับการเรียนรู้ด้านใน กิจกรรมก็ล้วนส่งเสริมให้ผู้เข้าร่วมได้มีประสบการณ์ตรง ผสมผสานระหว่างธรรมชาติของขุนเขา แมกไม้ และสายฝนอันงดงาม การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนของปกากญอและชุมชนท้องถิ่น และมิติทางจิตวิญญาณอันละเอียดอ่อน แต่สัมผัสได้จริง ผ่านการเจริญสติภาวนา และการอยู่กับธรรมชาติ ไม่เว้นกระทั่งฝรั่งผู้ไม่เคยฝึกฝนมาก่อน
หลวงพี่ไพศาล วิสาโล หนึ่งในวิทยากรครั้งนี้ ได้อธิบายความสัมพันธ์และประโยชน์ของธรรมชาติต่อมนุษย์ว่ามี ๔ ระดับ ระดับที่หนึ่งเป็นเรื่องทางวัตถุ (material) เพราะธรรมชาติคือที่มาของปัจจัยสี่ รวมถึงอากาศและน้ำบริสุทธิ์ที่เป็นพื้นฐานการดำรงชีวิต ระดับที่สอง เป็นเรื่องความงดงาม (beauty) ที่ธรรมชาติได้ให้ความรื่นรมย์แก่ประสาทสัมผัสของเรา เช่น ภาพอรุณรุ่งที่ผานกแอ่น แสงอาทิตย์อัศดงที่แหลมพรหมเทพ รสชาติละมุนนุ่มลิ้นของผลไม้ กลิ่นหอมเย้ายวนจากดอกไม้นานาพันธุ์ เสียงหรีดหริ่งเรไรยามค่ำคืน รวมถึงสัมผัสทางผิวกายจากการดำผุดดำว่ายในธารน้ำตก
ขณะที่ประโยชน์ระดับที่สองเป็นความรุ่มรวยของประสาทสัมผัสภายนอก ระดับที่สามซึ่งสูงกว่าเป็นความสงบหรือสันติ (peace) ที่เราสามารถเข้าถึงได้หากได้มีโอกาสพักดูแลใจตนเอง ให้เวลาและใช้เวลาอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ อยู่ในป่าเขาสงบสงัด ปราศจากการรบกวนของโทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่น mp3 เครื่องไอพอด บรรดาเหล่าเทคโนโลยีที่ทำให้จิตของเราสัดส่าย
ประโยชน์ระดับสูงสุดเป็นระดับของปัญญา (wisdom) เป็นสิ่งที่ยั่งยืนยิ่งกว่าความสงบ ปัญญาที่ได้จากธรรมชาติคือได้เห็นความไม่แน่นอนของชีวิต เห็นความเป็นทั้งหมดและเป็นหนึ่งเดียวระหว่างชีวิตทั้งมวล เห็นสรรพสิ่งในโลกล้วนเชื่อมร้อยโยงใยกัน การได้เห็นความสัมพันธ์เกื้อกูลอาศัยกันของสิ่งต่างๆ ก็คือการได้รู้จักธรรมชาติ อันเป็นแหล่งของการเรียนรู้สู่การเข้าถึงความจริงของความเชื่อมโยงในสรรพสิ่งทั้งหลาย ธรรมชาติได้ให้ประโยชน์อันสูงสุดนี้แก่เรา
การเข้าถึงความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งนี้มีความสำคัญต่อทั้งการอนุรักษ์และต่อความสุขของเรา
หากเราเปิดน้ำจากก๊อกแล้วเรารับรู้ถึงความสัมพันธ์ของน้ำนี้กับสายน้ำลำธาร เดินทางเชื่อมโยงย้อนกลับไปถึงเจ้าหลวงคำแดง ก้อนเมฆ และม้าเทวดาบนดอยเชียงดาว เราก็จะตระหนักและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างประหยัดโดยไม่ต้องมีใครบอก
หากเราได้เข้าถึงความจริง เห็นถึงความเป็นทั้งหมดของทุกสิ่ง เราก็สามารถผูกโยงประสบการณ์ที่ดีจากผืนป่างดงามที่ยังไม่ถูกแผ้วทำลาย นำมาเทียบเคียงให้มองเห็นถึงความเป็นธรรมชาติที่ปรากฏอยู่ดาษดื่นทั่วไป แม้กระทั่งกระรอกที่วิ่งไปมา นกที่โผเกาะลงบนสายไฟฟ้าในเมือง กระถางต้นไม้หรือแจกันดอกไม้ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของเรา แม้เพียงเห็นเราก็ได้สัมผัสธรรมชาติและสามารถเกิดความสุขได้
เปรียบดังต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดเขียวสดอยู่ได้ ไม่หวั่นไหวแม้อยู่ท่ามกลางไอแดดร้อนแรงของฤดูแล้ง เพราะมันได้หยั่งรากลึกลงไปพบความฉ่ำเย็นของน้ำในใต้ดิน เราเองก็เช่นกัน เราสามารถดำรงชีวิตที่ดี ท่ามกลางความเร่งร้อนของชีวิตและการงานได้ เพราะเห็นความงดงามในความจริง สามารถดื่มด่ำและรับเอาความสุขอันผุดเกิดจากความชุ่มชื่นในจิตใจภายในของเราเอง :-)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Home
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 5 มิถุนายน 2548
อดไม่ได้ที่จะต้องเขียนอะไรเกี่ยวกับ สตาร์วอร์ส เอพิโซด 3: รีเวนจ์ ออฟ เดอะ ซิธ / ซิธชำระแค้น ซะหน่อย
หลังจากรอคอยมา ๒๘ ปี เหล่าสาวกของสตาร์วอร์สก็ได้คำอธิบายว่าทำไมอัศวินเจไดอย่างอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ถึงได้ปล่อยตัวปล่อยใจยอมพ่ายแพ้ เข้าสู่ด้านมืดของพลัง (dark side of the Force)!
เล่าให้ฟังสั้นๆ ละกันนะครับ (แน่ใจว่าไม่ได้เป็น spoiler เพราะป่านนี้คงรู้กันทั้งเมืองแล้ว) ว่าภาคนี้ คุณตาจอร์จ ลูคัส เฉลยว่าอนาคินเปลี่ยนข้างมาเป็นวายร้ายเพราะคู่รักของเขา วุฒิสมาชิกหญิงแพดเม่ อดีตราชินีอมิดาลา (Amidala) นั่นเอง พอมานึกว่าชื่ออมิดาลานี่พ้องกับชื่อส่วนของสมองที่เรียกว่า อมิกดาลา (amygdala) ก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลดีครับ ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าทึ่ง ขอชมว่าคุณตาลูคัสผูกเอาไว้ดีเหลือเกิน
คืออย่างนี้ครับ อมิกดาลา เป็นส่วนเล็กๆ ของสมอง มีรูปร่างคล้ายเม็ดอัลมอนด์ อยู่ในสมองส่วนกลาง มีหน้าที่ควบคุมอารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์ในแง่ลบ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเกลียด ความเศร้า ความกลัว ความกังวลกระวนกระวายใจ กลุ่มที่เป็นพลังในด้านลบน่ะครับ (อาฮ่า! ถึงบางอ้อแล้วใช่ไหม?)
ความรู้เรื่องสมองส่วนอมิกดาลานี่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะไขความลับออกครับ โดยอาศัยคุณูปการของเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างหนึ่ง คือ เครื่องฟังก์ชันนอลเอ็มอาร์ไอ fMRI (Functional Magnetic Resonance Imaging) ซึ่งเป็นวิธีศึกษาว่าสมองส่วนใดถูกกระตุ้นเมื่อได้รับความรู้สึก เช่น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ต่างๆ
เจ้าเครื่องนี้ทำให้เราเห็นเลยว่าสมองส่วนอมิกดาลานั้นทำงานอย่างมาก เวลาเรามีความโกรธ กลัว หรืออารมณ์บ่จอย โดยมันจะไปกดการคิดไตร่ตรอง การรับรู้ของเรา ทำให้เรารับข้อมูลแต่เพียงบางส่วน อมิกดาลานี่ฤทธิ์เดชใช่เล่นครับ พวกเราคงเคยได้ยินสำนวนที่ว่า "เห็นช้างตัวเท่าหมู" ใช่ไหม? ที่เราเห็นช้างมันตัวเท่าหมูไม่ได้เป็นแค่สำนวนพูดกันเล่นๆ เท่านั้น แต่มีที่มาจากความจริง เวลาเราโกรธนั้นสมองจะลดระดับการรับรู้ลง ทำให้เราได้ภาพความเป็นจริงที่บิดเบี้ยวไปจากปกติมาก ที่ตัวโตก็เห็นเป็นตัวเล็ก เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัวไปได้
ที่วัยรุ่นตีกัน ที่อนาคินยอมสวามิภักดิ์กับด้านมืด ก็มักเกิดจากอารมณ์ในแง่ลบ เพราะอมิกดาลาตัวดีนี่แหละครับ
แต่อย่างไรก็ตามเจ้าเครื่องฟังก์ชันนอลเอ็มอาร์ไอก็ยังทำให้เราเรียนรู้ถึงพลังอีกด้านหนึ่งด้วยครับ นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าตอนที่เราอารมณ์ในแง่บวกนั้นสมองส่วนที่ทำงานมากคือ สมองชั้นนอกซีกซ้ายด้านหน้า (left pre-frontal lobe) ครับ สมองส่วนนี้เป็นส่วนควบคุมการรู้คิดเหตุผล ส่วนพุทธิปัญญา (intellect) ของเรา เวลาเรารู้สึกสบาย มีความรัก รู้สึกปลอดภัย พร้อมจะเรียนรู้สมองส่วนนี้จะเริงร่าทำงานมาก
การที่เราเข้าใจกระบวนการของพลังทั้งในแง่ลบและแง่บวกนี้เป็นประโยชน์มาก เรารู้ว่าสมองทั้งสองส่วนนั้นเป็นขั้วตรงข้าม ทำงานคุมกันและกัน เวลาเราโกรธ หรือกลัวนั้น สมองชั้นนอกซีกซ้ายด้านหน้าจะทำงานน้อย ในขณะเดียวกันอมิกดาลาจะทำงานมาก สั่งว่าฉันไม่ขอรับรู้อะไรมากนักหรอก เพราะฉันกำลังรู้สึกว่ากำลังอันตรายต้องใช้พื้นที่เมมโมรี่สมองเยอะๆ เอาไว้ต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือถึงระดับเจไดอย่างอนาคินใครจะห้ามก็ไม่อยากจะฟัง อาจารย์อย่างโอบีวันก็ไม่เว้น เรียกว่าช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ ว่าอย่างนั้นเถอะ เวลาเราเข้าไปอยู่ในความทุกข์ ไปเปิดวงจรลบของพลัง (dark side) นี่แล้วจะปิดยากครับ
แต่ก็ใช่ว่าพลังในแง่ลบจะชนะเสมอไปนะครับ เพราะหากว่าสมองชั้นนอกซีกซ้ายด้านหน้ามาทำงานมากขึ้น สมองส่วนอมิกดาลาจะลดการทำงานลง ดังนั้นเราจึงต้องฝึกฝนตัวเองให้ดีครับ ต้องฝึกส่วนที่บังคับตนเองนี่ให้คล่องแคล่วครับ (เหมือนกับที่โยดา ปรมาจารย์เจไดคอยพร่ำสอนเหล่าลูกศิษย์) ต้องรู้จักฝึกใช้สติ ใช้ปัญญาบ่อยๆ ครับ แบบว่าเรียกปุ๊บมาช่วยปั๊บทันทีอย่างนั้นเลย ตัวอย่างคนที่ฝึกได้เช่นนี้จริงๆ ก็มีนะครับ ลูกศิษย์ท่านดาไลลามะนี่ชัดเลยครับ เข้าเครื่องวัดนี่กราฟพุ่งเลย เรียกว่าพอจะโกรธท่านเรียกพลังบวกออกมาจัดการได้ทันทีทันควัน ท่านพิสูจน์ได้ว่าส่วนจิตวิญญาณแท้ที่จริงก็คือการฝึกจิต และการฝึกจิตนั้นสามารถเปลี่ยนสมอง นั่นคือเปลี่ยนพฤติกรรมได้ด้วย
เป็นอย่างไรบ้างครับ อ่านแล้วเกิดแรงบันดาลใจอยากไปฝึกเป็นอัศวินเจได ฝึกสร้างเสริมพลังในแง่บวก (ฝึกเจริญสติ ฝึกสมาธิวิปัสสนา) กับเขาบ้างหรือยัง?
ขอให้พลังจงอยู่กับคุณครับ! May the Force be with you! :-)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Home
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 22 พฤษภาคม 2548
"เปิดเทอมวันแรกกรุงเทพฯ สุดโกลาหล สะพานต่างระดับรัชวิภา ห้าแยกลาดพร้าว และสะพานตากสินการจราจรติดขัดหนัก" พาดหัวข่าวออนไลน์ตัวใหญ่ของสำนักข่าวแห่งหนึ่งเมื่อวันจันทร์
สถานการณ์รถติดหนึบบนท้องถนน กับข่าวพาดหัวหลายฉบับชวนให้ตั้งคำถามกับคอลัมน์นี้ ซึ่งมีสองเวอร์ชั่น คือ Happiness@Home และ Happiness@Work มีคอลัมนิสต์หมุนเวียนแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเชื้อเชิญความสุขเข้ามาในพื้นที่ชีวิตของเราทั้งที่บ้านและที่ทำงาน แต่ เอ ... แล้วสิ่งที่อยู่ระหว่าง home กับ work ล่ะ? เช่น ทำอย่างไรดีถ้าต้องติดอยู่ในรถระหว่างเดินทาง เราจะมี Happiness@Somewhere-between-Home-and-Work ได้อย่างไร?
สัปดาห์ที่ผ่านมาถือเป็นแบบฝึกหัดซ้อมมือสำหรับชาวกรุงเทพฯ ที่ต้องเตรียมตัวรับสถานการณ์ที่จะยากขึ้นไปอีกเมื่อเดือนมิถุนายนมาถึงและมหาวิทยาลัยเปิดเรียน คนกรุงเทพฯ และชาวเมืองใหญ่อีกหลายแห่ง มีเหตุอันจำเป็นต้องพัฒนาคุณลักษณะพิเศษในการจัดการตัวเองขณะติดอยู่ในสภาพจราจรจลาจล
เมื่อเราเผชิญกับสถานการณ์รถติด เราควรทำอย่างไร? ...เคยมีผู้เสนอเทคนิคพื้นฐานต่างๆ เอาไว้มากมาย ทั้งเขียนและพูดบรรยายไว้ในหลายที่ โดยเฉพาะ อาจารย์หมอประเวศ วะสี และหลวงพี่ไพศาล วิสาโล ตัวอย่างเช่น
นอกจากสามวิธีนี้แล้ว ผมยังได้เจออีกทางเลือกหนึ่งจากการไปร่วมงานรีทรีท "ภาวนา ... สามัญวิถีแห่งความเบิกบาน : สร้างความรักฉันพี่น้อง ร่วมกันเดินทางดั่งสายน้ำเดียวกัน" จัดโดย หมู่บ้านพลัม กลุ่มสังฆะแห่งสติ กลุ่มวงล้อ เสมสิกขาลัย เครือข่ายพุทธิกา และกลุ่มจิตวิวัฒน์ ในงานเป็นการปฏิบัติภาวนาที่งดงามและเรียบง่ายตามสไตล์เซนของท่านติช นัท ฮันห์ แห่งหมู่บ้านพลัม ฝรั่งเศส ซึ่งมีภิกษุณีนิรามิสา (เป็นภิกษุณีคนไทยคนแรกและคนเดียวที่นั่น) และภิกษุณีติดตาม 2 รูป เป็นวิทยากร
งานรีทรีทครั้งนี้มีบรรยากาศสดใส เบาสบาย ด้วยกิจกรรมหลากหลาย ทั้งการเดินวิถีแห่งสติ ชมธรรมชาติ ผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ (Total Relaxation) และกิจกรรมเด่นของหมู่บ้านพลัม คือ การร้องเพลง!
และการร้องเพลงนี่เองคือ ทางเลือกที่ว่า ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้เผชิญชะตากรรมรถติดร่วมกันได้ดีนักแลครับ โดยเฉพาะเพลงที่ชื่อว่า 'เป็นสุขในปัจจุบัน' (Happiness Is Here and Now) เพลงร้องง่าย ติดหู ร้องสองสามรอบก็จำทำนองได้ เป็นสุขในปัจจุบัน Happiness Is Here and Now
เราเป็นสุขในปัจจุบัน Happiness is here and now
เราได้ปล่อยวางความกังวล I have dropped my worries
ไม่ไปที่ไหน Nowhere to go
ไม่มีงานใด Nothing to do
เราจึงไม่ต้องรีบเร่ง No longer in a hurry
เราเป็นสุขในปัจจุบัน Happiness is here and now
เราได้ปล่อยวางความกังวล I have dropped my worries
ต้องไปที่ไหน Somewhere to go
จะมีงานใด Something to do
เราก็ไม่ต้องรีบเร่ง But not in a hurry
เนื้อเพลงว่า ความสุขอยู่ที่นี่และตรงนี้เลย ไม่ต้องแบกอะไรไว้ ถ้าไม่ไปไหน ไม่ทำอะไรก็ไม่ต้องรีบ หรือถ้าต้องไปที่ไหน ต้องทำอะไร ก็ไม่ต้องรีบเหมียนกัลล์ เป็นการฝึกสติที่ผสมผสานเทคนิควิธีทางศิลปะดนตรี สุนทรียภาพมาเป็นอุบาย ทำให้ทั้งง่ายและสนุกได้มากทีเดียว
เดี๋ยวนี้ผมเลยมีของเล่นไว้ส่งเสริมความสุขของตนเองและคนรอบข้างเพิ่มขึ้นอีกอย่าง ตอนไหนที่รู้สึกว่าสติสตังไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ก็ได้อาศัยเพลงช่วยกล่อมให้ช้าลง และรู้ตัวมากขึ้น
หากเจอกับสถานการณ์รถติด ลองเลือกสักวิธีที่เหมาะกับตัวคุณดูบ้างสิครับ ได้ผล-ไม่ได้ผลเขียนมาเล่าให้ฟังกันบ้างครับ :-)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตวิวัฒน์
หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 14 พฤษภาคม 2548
"ได้ฝึกการลดละความเป็นตัวตนของตนเองค่อนข้างมาก ได้ฝึกวิธีที่จะทำตามคำพูดของคุณหมอประเวศ คือทำตัวตนให้เล็กลง ทำจิตใจให้ใหญ่ขึ้น"
สุมน อมรวิวัฒน์
กลุ่มจิตวิวัฒน์ เป็นการรวมตัวกันของคนที่สนใจ นักคิด นักปฏิบัติ เรื่องจิตวิวัฒน์ การเกิดจิตสำนึกใหม่ (New Consciousness) หรือการปฏิวัติทางจิตวิญญาณ (Spiritual Revolution) โดยการศึกษาค้นคว้าจากแหล่งต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการปฏิบัติจริงของตนเองด้วย บนฐานความเชื่อที่ว่าร่างกายของมนุษย์นั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ในขณะที่จิตมนุษย์สามารถพัฒนาไปได้อีกมาก ทางออกของปัญหาที่รุนแรง ยุ่งยากและซับซ้อนต่างๆ ในโลกล้วนไม่สามารถแก้ได้ด้วยวิธีทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการมีจิตใหญ่เป็นพื้นฐาน
จิตเล็ก คือความรู้สึกอันคับแคบ อึดอัดอยู่กับการเห็นโลกอย่างเป็นส่วนเสี้ยวและความเป็นตัวกูของกู ซึ่งขัดแย้งกับความเป็นธรรมชาติ ในขณะที่จิตใหญ่ หรือจิตสำนึกใหม่ เป็นความรู้สึกนึกคิดที่มีอิสระ มีความสุข มีความรักในเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติ เนื่องจากก้าวข้ามความจำกัดของตัวเองด้วยเพราะเห็นความเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวของธรรมชาติ
มีหลักฐานเชิงประจักษ์จำนวนมากทั้งทางวิทยาศาสตร์และศาสนา ว่ามนุษย์นั้นมีศักยภาพในการก้าวข้ามจากจิตเล็กไปสู่จิตใหญ่ โลกเริ่มสะสมความรู้และประสบการณ์ในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมากขึ้น เพียงแต่ว่ามนุษยชาติจะเปลี่ยนผ่านได้ทันท่วงทีหรือไม่? นี้เป็นโจทย์สำคัญของจิตวิวัฒน์
----------------------------------------------
อีกสองเดือนกลุ่มจิตวิวัฒน์จะมีอายุครบสองขวบปีแล้ว ในการประชุมเดือนนี้จึงถือโอกาสระลึกย้อนกลับไป ประมวลประสบการณ์ ถอดบทเรียน และมองไปข้างหน้า ผู้เขียนขอยกตัวอย่างข้อคิดเห็นของสมาชิกบางท่านมาเล่าสู่กันฟัง
สิ่งที่สมาชิกทั้งหมดรู้สึกร่วมกันคือ จิตวิวัฒน์เน้นเรื่อง การเรียนรู้ภายใน (Contemplative Learning) สิ่งที่แลกเปลี่ยนในที่ประชุมทำให้เห็นความกว้างใหญ่ไพศาลของความรู้ในโลก และความรู้อันจำกัดของตน สมาชิกหลายท่านเป็นผู้ใหญ่ที่สังคมให้ความเคารพนับถือในวิชาความรู้ (และการปฏิบัติตน) มีทั้งที่เป็นพระ ปราชญ์ราชบัณฑิต และอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่สิ่งที่ท่านเหล่านี้พูดเป็นเสียงเดียวกันคือ การได้มาเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ ทั้งวิทยาศาสตร์ การแพทย์ มนุษย์ศาสตร์ สังคมศาสตร์ ศิลปะความงามอย่างมากมายนั้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตนเองโดยพื้นฐานและอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะความอ่อนน้อมถ่อมตน ลดละอัตตา และความมีเมตตาต่อผู้อื่น
ท่านอาจารย์สุมน อมรวิวัฒน์ เล่าว่าท่านได้เรียนรู้ที่จะ "ละเว้นซึ่งความยึดมั่นถือมั่นในหลักการ จากที่ตลอดชีวิตเป็นคนยึดมั่นอย่างมากในหลักของความถูก-ผิด มีบางอย่างที่ผิดไม่ได้ แต่ ๑ ปีกว่ามานี้มีความผ่อนคลาย คือเห็นว่าไม่ควรยึดติดในหลักทฤษฎี หลักการของโลกและชีวิตมากเกินไป" อีกทั้งยังได้ "ฝึกการลดละความเป็นตัวตนของตนเองค่อนข้างมาก ได้ฝึกวิธีที่จะทำตามคำพูดของคุณหมอประเวศ คือทำตัวตนให้เล็กลง ทำจิตใจให้ใหญ่ขึ้น ได้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตบั้นปลาย"
ท่านมีประโยคเด็ด คือ "เดี๋ยวนี้ดีจัง เวลามีคนมาขัดใจ ก็ได้มีโอกาสขัดใจตัวเอง" แล้วอรรถาธิบายเพิ่มเติมว่าเวลามีคนมาขัดใจ ก็ได้เจริญสติรู้ตัวว่ากำลังจะเกิดความคับข้องใจ เลยได้โอกาส "ขัด"ความขุ่นข้องหมองใจออกไป
ท่านอาจารย์เอกวิทย์ ณ ถลาง เสริมว่า "มาที่นี่แล้วรู้อะไรมากขึ้นเยอะ ยิ่งรู้ก็ยิ่งรู้สึกว่ารู้น้อยขึ้นทุกที เพราะสิ่งที่ไม่รู้มันมาก ทำให้ตัวตนเล็กลงๆ ว่าที่เราไม่รู้มันมหาศาลเหลือเกิน ทำให้ตัวเองไม่สำคัญเท่าไหร่ เป็นผงธุลีเล็กๆ ในจักรวาล ตรงนี้เองทำให้มีเมตตาจิตขึ้น เตือนสติให้ดีกว่าเดิม"
ท่านอาจารย์จุมพล พูลภัทรชีวิน ประเมินว่าสิ่งที่ได้คือ ปัญญาและความสุข "เป็นความสุขที่เกิดขึ้นภายใน ถ้าจะขยายความให้มากขึ้นคือ เราได้ความรู้ ได้ความจริง ได้ซึมซับความงาม ความคิดแต่ละคน ได้ความดีมากขึ้น"
ส่วนท่านอาจารย์ประสาน ต่างใจ เน้นย้ำถึงทั้งความสำคัญและความเร่งด่วนของการทำให้ทุกคนสนใจเรื่องจิตสำนึกใหม่ เพราะเป็นเรื่องความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด "ผมพยายามจะแข่งกับจักรวาล เท่าที่ทราบมาเผ่าพันธุ์มนุษย์กำลังจะสิ้นสุดเร็วๆนี้ เพราะว่าเราทำลายตัวเอง ... ยังติดบ่วงอยู่ บ่วงวิทยาศาสตร์ บ่วงเทคโนโลยี บ่วงกายภาพ ทำให้เราไปไหนไม่ได้ ... อย่างน้อยเราก็ฝากจิตใจ ฝากความปรารถนาที่จะสร้างชุมชน เพื่อจะเอาชุมชนให้รอด ผมว่าจักรวาลเขาหมดหวังกับเราแล้ว ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลง ... ต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์กันไปเลย เราต้องเอาจริงเอาจังกับมัน ให้คนตื่นและเปลี่ยนแปลงให้ได้ ไม่ใช่แค่ change แต่เป็น transformation ... ถ้าตัวเองเปลี่ยนแปลง ใกล้ๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงด้วย"
หลวงพี่ไพศาล วิสาโล แห่งวัดป่าสุคะโต เห็นว่า จิตวิวัฒน์ "เป็นประโยชน์ในการนำความคิดใหม่ๆ มาให้ และมีการนำเสนอภาษาหรืออุปมาอุปไมยใหม่ๆ ซึ่งบางทีมันมีพลัง เรื่องความคิดใหม่ๆ ถึงแม้ว่ายาก แต่ถ้าใช้ภาษาที่ดีก็สามารถสื่อได้ตรง"
ส่วนเรื่องที่ควรปรับปรุงหลวงพี่แนะนำว่า วิธีการเข้าสู่จิตวิวัฒน์ของกลุ่ม จะเน้นอยู่ที่วิทยาศาสตร์กับศาสนา ขาดทางด้านสังคมวิทยา มานุษยวิทยา ซึ่งมีความรู้หลายอย่างให้ศึกษา ความรู้สังคมวิทยา มานุษยวิทยาชุดปัจจุบันที่แยกส่วนนั้นบั่นทอนศรัทธาในมนุษย์ ที่ผ่านมาด้านวิทยาศาสตร์ก็มี "วิทยาศาสตร์ใหม่" เข้ามาเสริม แต่ด้านอื่นยังไม่ค่อยเห็น ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก ควรได้ส่งเสริมกัน อีกทั้งกลุ่มนักคิด นักปฏิบัติที่เชิญมามักเป็นกลุ่มที่มีความคิดเห็นเหมือนกัน เป็นการมายืนยันความเชื่อเดิม น่าจะมีส่วนที่มาท้าทายความคิดของกลุ่มบ้าง ทำให้พลังในการไปเผชิญความท้าทายน้อยลง อาจทำให้ความคิดไม่แตกแขนง
คุณเดวิด สปิลเลน ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มจิตวิวัฒน์มีลักษณะเป็นองค์กรจัดการตนเอง (Self-organizing) แต่ละคนรู้จักบทบาทของตน ไม่มีใครสั่งว่าใครต้องทำอะไร ทุกคนเรียนรู้ที่จะต่อยอดการฝึกจิตของกันและกัน มีความมั่นใจ ไว้วางใจให้กับชีวิตอย่างไม่มีเงื่อนไข แม้ว่าบางทีไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรนำเสนอบ้าง ก็ไม่เป็นไร (คุณเดวิดได้บริจาคหนังสือภาษาอังกฤษเกี่ยวกับจิตสำนึกใหม่จำนวนหลายร้อยเล่มเพื่อประโยชน์แก่สาธารณะ หลายเล่มเป็นหนังสือหายาก ทางกลุ่มจิตวิวัฒน์จะได้นำไปทำสรุปย่อความเป็นภาษาไทย จัดระบบ และให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปที่ห้องสมุดแสงอรุณ ถ.สาธร โดยจะแจ้งรายละเอียดในโอกาสต่อไป)
คุณศุภชัย พงศ์ภคเธียร เห็นว่าจิตวิวัฒน์ "เป็นคลังสมองจริงๆ ขณะเดียวกันที่ประชุมนี้ก็ได้ผู้เชี่ยวชาญจากศาสตร์ต่างๆ เห็นบูรณาการต่างๆ เห็นธรรมะที่อยู่ในวิถีชีวิตของอาจารย์ทั้งหลาย ออกมาในรูปของการปฏิบัติ ที่ทำให้เราแน่ใจว่าปฏิบัติได้ไม่ใช่อยู่แต่ในตำราหรือคัมภีร์ ผมคิดว่าการประชุมแบบนี้ถ้ามีการขยายขึ้นในอนาคตก็จะเป็นแสงสว่างในชุมชนนั้นๆ "
ภาพรวมของกลุ่มจิตวิวัฒน์ อาจสรุปได้ดังคำของท่านอาจารย์อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ที่สะท้อนว่า การประชุมจิตวิวัฒน์แตกต่างไปจากการประชุมอื่นซึ่งท่านได้เคยเข้าร่วม และล้วนเป็นการประชุมทำงานที่มีความเครียดและแรงกดดัน ขณะที่จิตวิวัฒน์เป็นการประชุมที่มีบรรยากาศผ่อนคลาย ปราศจากความเครียด ผู้เข้าร่วมประชุมล้วนมีความอ่อนน้อมถ่อมตน พร้อมที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน อันเป็นการเรียนรู้เพื่อสุขภาวะอย่างแท้จริง
----------------------------------------------
กลุ่มจิตวิวัฒน์ ทำงานด้านความรู้ การใช้สติและปัญญา ยินดีที่จะส่งเสริมและร่วมมือกับผู้สนใจเรื่องจิตสำนึกใหม่กลุ่มอื่นๆ เพื่อช่วยกันสร้างเครือข่ายการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อการพัฒนาจิต นำไปสู่สุขภาวะทางจิตวิญญาณ (Spiritual Health) ของสังคมและโลก
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness@Home
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 8 พฤษภาคม 2548
คราวที่แล้วผมเขียนเล่าเรื่องปัญญาจากท่านผู้ใหญ่ที่ผมเคารพรักอย่างยิ่ง คือ ท่านอาจารย์ระพี สาคริก กับการเข้าถึงความสุขง่ายๆ ด้วยการเห็นความจริงว่าเรื่องราวต่างๆ นานารอบตัวเราที่ดูเหมือนยุ่งเป็นยุงตีกัน แท้จริงทำให้ง่ายได้ด้วยการมองเห็นว่ามันอาจแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือ เรื่องของเรา และ เรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของเรา
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อดูลงไปให้ดีก็จะเห็นว่าเรื่องส่วนใหญ่ที่เราเที่ยวไปแบกกันเอาไว้เป็นเรื่องประเภท "เรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของเรา"
บ่ายวันนี้ผมก็ได้ทั้งชื่นชมกับปัญญาชุดเดียวกันนี้ แต่จากอาจารย์ผู้ใหญ่อีกท่านที่ผมเคารพรักเหมือนแม่ คือ ท่านอาจารย์สุมน อมรวิวัฒน์
ในที่ประชุมกลุ่มจิตวิวัฒน์* วันนี้มีการทบทวนตนเองของกลุ่มหลังจากได้พบกันมาปีเศษ อาจารย์สุมนกล่าวได้อย่างน่าสนใจว่าการที่ได้มาร่วมประชุมทำให้รู้สึกว่าตนเองนั้นตัวเล็กลง รู้สึกว่าสิ่งที่ยังไม่รู้นั้นมีอีกมากนัก ได้เรียนรู้ที่จะลดละอัตตาลง บรรดาทฤษฎีต่างๆ ประดามีที่เคยยึดถือว่ามีถูก-มีผิดชัดเจนก็เห็นความไม่เที่ยง (ของความจริงเชิงสมมติ/สมมติบัญญัติ) มากขึ้น
ประโยคเด็ดของอาจารย์คือ "เดี๋ยวนี้ดีจัง เวลามีคนมาขัดใจ ก็ได้มีโอกาสขัดใจตัวเอง" คนฟังออกจะงงๆ กับการเล่นคำของอาจารย์ ท่านอธิบายเพิ่มเติมว่า ก็เวลามีคนมาขัดใจเรา เราก็ได้ฝึกการมีสติรู้ตัว เมื่อรู้ตัวก็มีโอกาสขัดใจตัวเอง คือ ขัดความขุ่นข้องหมองมัวออกไปจากจิตใจ (ว๊าว! เสียงจากที่ประชุมอุทานเบาๆ)
ผมทั้งทึ่ง ทั้งซึ้งกับความงามของราชบัณฑิตท่านนี้ งามทั้งภายนอก งามทั้งภายใน เป็นความงามที่แผ่ความอบอุ่น ความร่มเย็นสบายๆ ออกมา
ขณะที่นั่งฟังด้วยความอิ่มเอิบอยู่นั้น เทียบเคียงความรู้สึกเหมือนกับอยู่ใกล้ๆใครไม่มีผิด รู้สึกเหมือนกับได้อยู่ใกล้ๆ ท่านอาจารย์ระพีนั่นเอง ทั้งคู่เหมือนกับข้าวที่ออกรวงเต็มแล้วน้อมลง ถ่อมตัว ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ภายใน (contemplative learning) อย่างชัดเจน ทำให้นึกถึงว่าสิ่งที่สองท่านนี้เชื่อและปฏิบัติก็เหมือนกัน พิสูจน์ได้ว่าปราชญ์ของแผ่นดินนั้นเจริญปัญญาไปในทิศทางเดียวกัน เรื่อง"เวลามีใครโกรธขัดใจยิ่งดีเลย ได้โอกาส 'ขัด' ใจของเรา คือขัดเอาความขุ่นข้องหมองใจออกไป" ก็คือเรื่องเดียวกันกับการที่คนอื่นมาทำให้ (หรือพยายามทำให้) เราเซ็ง แล้วเรามีสติรู้ตัว และมีปัญญารู้ทันว่ามีส่วนที่เป็นเรื่องของเราและไม่ใช่เรื่องของเรา
การที่เขาทำไม่ดีกับเรานั้นเป็นเรื่องของเขา เป็นปัญหาของเขา เรื่องของเราที่แท้จริงแล้ว คือการดูแลจิตใจตนเอง! หน้าที่ของเราแท้จริงคือการดูแลตนเองให้ดี! [ผมถึงบางอ้อทางสติและปัญญาอีกครั้ง!]
น่าเสียดายที่คนในสังคมส่วนใหญ่มักโทษ หรือโบ้ยปัญหาให้คนอื่นทั้งสิ้น วันไหนตื่นสายก็โทษคนที่บ้านว่าไม่ยอมปลุก คือถ้ามันลงตื่นสายไปแล้ว เซ็งหรือเกือบเซ็งไปแล้ว ก็น่าจะได้หยุดสักหน่อย พอให้มีสติแล้วคิดได้ว่า เขาลืมปลุกเราก็เรื่องของเขา เราอาจพยายามหาวิธีช่วยให้เขาไม่ลืมอีก แต่เรื่องสำคัญอยู่ที่เราจะจัดการกับความเซ็งหรือเกือบเซ็งตอนนั้นอย่างไรต่างหาก
ฝากใครทำงานอะไร แล้วเขาลืมทำให้เหมือนกันไม่มีผิด ใช่ล่ะ ... ถึงแม้เราจะมีอำนาจ "สั่ง" (หรือวาน) ให้ใครทำอะไรแล้วเขาลืมทำ เช่น วานแม่ให้ช่วยโทรศัพท์ สั่งแฟนให้ซื้อของ สั่งลูกให้ทำการบ้าน สั่งคนใช้รดน้ำต้นไม้ ถึงเวลาคนเหล่านั้นลืมทำ (ไม่ว่าจะลืมจริงหรือตั้งใจลืมก็ตาม!) ไม่มีประโยชน์ที่เราจะเสีย"ใจ" ใสๆของเราให้กับความโกรธหรือความเซ็ง อย่างไรซะมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว สู้เอาสมองที่เคลียร์ๆคิดหาวิธีป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกดีกว่า
เวลาใครทำอะไรที่เขาไม่ควรทำ หรือไม่ได้ทำอะไรที่เขาควรทำนั้น พอเรากำลังจะก้าวเข้าสู่บรรยากาศมาคุ ที่สมองส่วนควบคุมความโกรธและเศร้า ที่เรียกว่า อะมิกดาลา (Amygdala) จะทำงานแล้ว ถ้ารู้จักเตือนตนเอง มีสติและมองให้เห็นว่าใครทำหรือไม่ทำอะไรนั้นเป็นเรื่องของเขา เรื่องของเราเรื่องหลักคือ การดูแลจิตใจ (หรือ "ขัด" ความขุ่นข้องหมองมัวออกจากจิตใจ) รับรองว่าโลกนี้จะสดใสขึ้นอีกเยอะ
วันๆ ไม่ต้องคอยกลุ้มนั่นกลุ้มนี่ เที่ยวปะ-ฉะ-ดะ กับเขาไปเรื่อย :-)