ภาวนากับเพื่อน



ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับประจำวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔

เคยตั้งใจจะภาวนาทุกวันไหมครับ

แล้วทำได้ตามตั้งใจไหมเอ่ย

ถ้าทำได้ ก็ขอแสดงความยินดีและอนุโมทนาด้วยใจจริงนะครับ

แต่ถ้าไม่ได้ แล้วมีคำตอบให้ตนเองไหมครับ ว่าทำไมจึงทำไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง

ผมคาดว่าสาเหตุของคนจำนวนไม่น้อย คือ ตั้งใจไว้คนเดียว แล้วก็ทำคนเดียว

เมื่อมีงานยุ่งหน่อย เลิกดึกหน่อย งานเลี้ยงค่ำหน่อย หรือมีบางอย่างที่เราบอกตนเองว่านี่ก็สำคัญนะ แล้วเราก็ยกเว้นการภาวนาที่ตั้งใจไว้สักวัน บางครั้งก็หลายวัน นานวันเข้าก็ fail และหยุดไปเอง

ผู้รู้จำนวนไม่น้อยได้เคยเอ่ยถึงความสำคัญของเพื่อนร่วมการปฏิบัติไว้อย่างมาก บ้างถึงกับเทียบว่าการมีเพื่อนที่ดีนั้นเท่ากับทั้งหมดของการครองชีวิตอันประเสริฐเลยทีเดียว

หากใครคิดจะภาวนาทุกวัน ขอแนะนำให้รู้จักกับกลุ่ม “เพื่อนภาวนา” ครับ

เพื่อนภาวนาเป็นกลุ่มของเพื่อนๆ ต่างศาสนา และไม่มีศาสนา ที่ชักชวนกันภาวนาทุกวัน (บ้างก็เรียกหรือเข้าใจว่า เจริญสติ นั่งสมาธิ สมถะวิปัสสนา หรือเดินจงกรมก็ได้)

โดยเชื่อว่าการภาวนาเป็นรากฐานของการเกิดความมีสติ ระลึกรู้ ซึ่งเป็นฐาน เป็นปัจจัยของการใช้ชีวิตและตัดสินใจอย่างมีปัญญามากขึ้น ในสถานการณ์ยากๆ ทางการเมือง ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยกับฝ่ายใด หรือไม่เห็นด้วยกับฝ่ายใดก็ตาม รวมถึงในสถานการณ์ยากๆ ทางสภาพแวดล้อม ไม่ว่าเราจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงหรือโดยอ้อม ไม่ว่าเราจะเชื่อว่าโลกกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตหรือไม่ก็ตาม

ภาวนาเป็นการแสดงออกอย่าง active สันติ สร้างสรรค์ ช่วยให้เรามีเวลาที่ช้าลง มีสติ ตระหนักว่าเราจะนำพาตนและทุกๆ คน (ไม่เว้นแม้คนที่เราไม่เห็นด้วย) ไปสู่เป้าหมายร่วมกัน ด้วยความรัก ความเข้าใจได้อย่างไร การช่วยให้เรามีทีท่าที่เหมาะสมว่าจะอยู่กับความทุกข์หรือปัญหาได้อย่างไร มีอะไรบ้างที่เราควรทำ/ไม่ควรทำ มีอะไรบ้างที่เราต้องทำ/ต้องไม่ทำ

หัวใจของการภาวนา คือ การเข้าไปสร้างและสัมผัสสันติภาพภายในใจตนเองก่อน เป็นสันติภาพภายในที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา

กลุ่มเพื่อนภาวนานัดมาปฏิบัติร่วมกันทุกวัน ตั้งแต่คราวชาวเสื้อแดงชุมนุมที่ราชประสงค์เมื่อปี ๒๕๕๓ โดยในช่วงเหตุการณ์นั้นก็ใช้สถานที่ของสวนเบญจสิริและบ้านเซเวียร์ และหลังจากนั้นก็อาศัยสถานที่ส่วนตัว ตามอัธยาศัย แต่ก็นัดแนะ ช่วยเหลือ สนับสนุนกันในการเดินทางที่มีของล่อ กับดัก และหลุมพรางของโลภะ โทสะ โมหะต่างๆ

ย่างเข้าสู่เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ นี้ เข้าใกล้เทศกาลยุบสภา หาเสียง และเลือกตั้ง ผู้คนอาจจะอยู่ในสภาวะตึงเครียด อีกทั้งยังมีข่าวเกี่ยวกับภัยพิบัติมาอย่างไม่หยุดหย่อน กลุ่มเพื่อนภาวนาได้จัดโครงการรณรงค์ “Med for a Month” Med นี้ที่มาจากคำว่า Meditation นั่นเอง เรารณรงค์เพื่อชักชวนเพื่อนๆ ในเครือข่าย และเพื่อนใหม่ ทุกเพศ ทุกวัย มาพร้อมใจภาวนาร่วมกันอีกทุกวัน โดยจะภาวนาที่ไหนก็ได้ซึ่งเป็นสถานที่สงบและเอื้ออำนวยต่อการปฏิบัติของตัวเราเอง

เพื่อนๆ ได้เริ่มภาวนากันอย่างง่ายๆ สบายๆ ไม่คาดหวัง กันตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม และตั้งใจไว้ว่าจะทำต่อเนื่องกันอย่างน้อยสี่สัปดาห์ มีประเด็นร่วมกันใคร่ครวญในแต่ละสัปดาห์ ดังนี้

สัปดาห์ที่ ๑ ภาวนาวันละ ๑๕ นาที สัปดาห์แห่งความรัก - เมตตา

สัปดาห์ที่ ๒ ภาวนาวันละ ๒๐ นาที สัปดาห์แห่งความปรารถนาดี - กรุณา

สัปดาห์ที่ ๓ ภาวนาวันละ ๒๕ นาที สัปดาห์แห่งความยินดี - มุทิตา

สัปดาห์ที่ ๔ ภาวนาวันละ ๓๐ นาที สัปดาห์แห่งความไว้วางใจ – อุเบกขา

(แต่หากทำไม่ได้ทุกวัน หรือไม่ตามเวลาข้างต้นก็ไม่เป็นไรนะครับ หัวใจคือได้เป็นเพื่อนร่วมเดินทางกัน ได้ลอง ได้ลงมือด้วยกันครับ)

และหลังจากที่แต่ละคนได้ภาวนาในแต่ละวัน ขอเชิญชวนเข้ามารายงานตัวและแลกเปลี่ยนกันได้ที่เฟซบุ๊ก facebook หน้า “เพื่อนภาวนา” หรือ twitter ที่ “@siambhavana”

เป็นการเชื่อมโยงชุมชนในโลกจริงกับชุมชนออนไลน์เข้าด้วยกัน เชื่อมร้อยทุกหัวใจและความตั้งใจงามด้วยการเข้ามาเล่าสู่กันฟัง ถึงประสบการณ์ ซักถาม ตอบข้อสงสัย ตลอดจนเป็นกำลังใจให้กับการเดินทางซึ่งกันและกัน และที่สำคัญที่สุด ก็คือ เป็นเพื่อนกัน

เพื่อนๆ หลายคนบอกว่าตนผัดผ่อนมานาน ทำๆ เลิกๆ มาได้ลงมือจริงจัง ก็งานนี้แหละ

มาเป็นภาวนาเป็นเพื่อนกันนะครับ :-)



ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับประจำวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๔

“สวัสดีค่ะ บริษัททรู ยินดีให้บริการค่ะ”

“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าผมพูดสายอยู่กับคุณอะไรครับ?”

ผมเริ่มบทสนทนาเพื่อขอติดตั้งโทรศัพท์พื้นฐานและอินเตอร์เนทกับพนักงานคอลเซนเตอร์ของบริษัท ด้วยการถามชื่อของพนักงาน

การติดต่อทางโทรศัพท์กับพนักงานบริการลูกค้าเป็นเรื่องที่หลายคนอิดหนาระอาใจ

ผมเองตอนอยู่ต่างประเทศก็มีประสบการณ์ทำนองนี้ไม่น้อย เพราะการติดตั้ง เปลี่ยนแปลง ยกเลิกบริการสาธารณูปโภคและอื่นๆ ก็ล้วนทำผ่านทางโทรศัพท์ เรียกว่าเน็ทแรง ประปาไหล ไฟฟ้าติด โดยแทบไม่ต้องเจอหน้าคนเป็นๆ เลย ก็เลยมีประสบการณ์แย่ๆ และยากๆ ทางโทรศัพท์อยู่บ้าง

เมื่อปรึกษาเพื่อนๆ เจ้าของประเทศ เขาก็มักจะโทษปลายสายว่านี่แหละเป็นเพราะ outsource จ้างแรงงานภายนอก จนเป็นที่รู้กันว่าถ้าอยากจะได้รับบริการที่ดี (กว่า) ก็ให้ถามชื่อเสียงเรียงนามของพนักงานไว้เลยตั้งแต่เริ่มต้นคุย มีเรื่องอะไรก็จะติดตาม อ้างอิงกันได้ถูก “พวกเนี้ยไม่รู้เรื่องอะไร หากเราจะเอาอะไรต้องทำเป็นโมโห พูดเสียงดังๆ โวยวายๆ เรียกร้องให้มากเข้าไว้ ถึงจะได้”

ผมได้ลองพูดจาทางโทรศัพท์แบบคนท้องถิ่นดู ปรากฏว่าได้ผลจริงๆ ติดต่ออะไรดูเหมือนจะสำเร็จ พนักงานทำตามให้ได้เสมอๆ

เมื่อมาลองใช้ที่ไทยก็ได้ผลคล้ายกัน เพียงแต่ผลไม่ได้เกิดในบริการที่อยากได้เท่านั้น ยังเกิดกับตัวเองด้วย

ผลที่สังเกตเห็นคือวางสายโทรศัพท์แล้วใจมักจะเต้นแรง เลือดขึ้นหน้า เหมือนไปรบทัพจับศึกกับใครมา บางครั้งต้องรออยู่เป็นสิบนาทีกว่าจะกลับมารู้สึกเป็นปรกติ หลายครั้งก็มีความรู้สึกผิดปนงงๆ สงสัยมาด้วย ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้คุ้มกับที่เสียไปหรือไม่ ตั้งคำถามกับตนเองว่าเพื่อบริการที่ได้เพิ่มขึ้นมานิดหนึ่ง (ใช่ว่าจะดีกว่าเสมอไป) เราถึงกับยอมเสียจิตวิญญาณเชียวหรือ

ระยะหลังก็เลยเลิกขึ้นเสียงกับปลายสาย ยอมใช้เวลามากกว่านิดหน่อย พยายามฟังและสื่อสารให้มากขึ้น เอาเท่าที่ได้ นิดๆ หน่อยๆ ก็ปล่อยไป หากรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบมากก็เปลี่ยนบริษัทแทน แต่ก็ยังมีความคุ้นเคยเดิมๆ เรื่องการถามชื่อพนักงานติดมาอยู่

รอบนี้ปลายสายบอกว่าชื่อคุณสุจินต์

ผมใช้เวลาอยู่ในสายกับคุณสุจินต์ประมาณสิบกว่านาทีเพราะมีเรื่องสอบถามเรื่องโปรโมชั่น บริการเสริม นัดหมายติดตั้ง และอื่นๆ อยู่มาก บางครั้งที่เธอให้ถือสายรอ เพื่อไปถามแผนกอื่นขอข้อมูลมาให้ เมื่อเห็นว่าอาจจะต้องรอนานเธอก็ขอเบอร์ติดต่อและบอกว่าจะติดต่อกลับ ผมให้เบอร์ไปแต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะเคยมีพนักงานที่ว่าจะติดต่อกลับ แต่รอแล้วรออีกก็ไม่โทรมา ต้องโทรไปเริ่มดำเนินการใหม่หมด

แต่คุณสุจินต์เธอรักษาคำพูด โทรกลับมา สามารถตอบคำถามและช่วยจัดการต่างๆ ตามที่ผมต้องการได้หมด แถมบางอย่างเธอก็ช่วยเหลือให้เพิ่มเติม มากกว่าที่มักจะได้รับจากพนักงาน คอลเซนเตอร์ธรรมดาทั่วไป

เป็นการติดต่อทางโทรศัพท์ที่ดีที่สุดครั้งหนึ่ง ถึงขนาดเมื่อผมเล่าให้คนที่บ้านฟังยังออกปากชมว่าบริการเยี่ยม

ผมรู้สึกดีที่ได้รับบริการที่ดี แต่ที่สำคัญกว่าคือได้มีความสัมพันธ์ที่ดี กับมนุษย์อีกคนหนึ่งที่อีกปลายของสายโทรศัพท์ ดีใจที่ได้ถามชื่อและเรียกชื่อเธอทุกครั้งที่มีโอกาส

พนักงานเขาให้เกียรติเรียกชื่อเราได้ เราก็น่าจะสามารถให้เกียรติและเรียกชื่อเขาได้เช่นกัน ให้ความรู้สึกดีกว่าที่ได้สนทนาติดต่อกับคนจริงๆ มากกว่า ได้ติดต่อกับพนักงานหมายเลขนั้นหมายเลขนี้

ตลอดเวลาการสนทนา น้ำเสียงเธอแจ่มใส พูดจาไพเราะ ฟังดูยินดีให้บริการมาก

น่าภูมิใจแทนบริษัทที่มีพนักงานที่ทำให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีเหมือนเป็นมูลค่าเพิ่ม

ผมไม่ทราบว่าบริษัทดูแลพนักงานอย่างไร แต่มองโลกในแง่ดีว่าบริษัทนี้ก็คงจะดูแลพนักงานดีในระดับหนึ่ง จึงทำให้เธอมีความสุขและพร้อมจะแบ่งปันบริการที่ดีให้ลูกค้า

ลูกค้าเองหากเรียกขานชื่อในฐานะที่เธอเป็นเพื่อนมนุษย์ เป็นคนผู้มีเลือดเนื้อหัวใจ เมื่อให้เกียรติแก่ผู้ให้บริการ เธอก็คงให้เกียรติและยินดีช่วยเหลือลูกค้าในฐานะเพื่อนมนุษย์เช่นกัน ไม่ใช่บริการไป ในใจก็เกรงกลัวไป

โลกนี้คงจะน่าอยู่ขึ้นมาก หากเราส่งเสริมให้คนดูแลกันและกัน สนับสนุนบริษัทองค์กรห้างร้านต่างๆ ดูแลพนักงานให้ดี มีความสุขกายสบายใจ ดูแลและปฏิบัติต่อกันอย่างให้เกียรติในความเป็นมนุษย์ ส่งต่อและรับมอบความเอาใจใส่กัน เพราะเราได้รับการดูแลอย่างดี เราจึงมอบการดูแลที่ดีนี้ให้เช่นเดียวกัน

มีครูคือมีราก



ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับประจำวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๔

ขณะเดินลงจากศาลาวัดป่าบ้านตาด ด้านล่างมีรูปพ่อแม่ครูจารย์ หลวงตามหาบัว พร้อมคำพูดของท่าน “ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราจะไม่กลับมาเกิดอีกตลอดอนันตกาล” ใจที่รู้สึกอาลัย กลับรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที ผมรู้ในใจทันทีว่านี่แหละคือที่สุด (peak) ของการเดินทางมาอุดรธานีในช่วงเวลาแค่ ๒๔ ชั่วโมงเที่ยวนี้

การได้ไปกราบลาพ่อแม่ครูจารย์ เป็นกิจหนึ่งในชีวิตที่ผมทำแล้วรู้สึกชื่นใจ สบายใจ ทำให้ใจมีพลัง เป็นกิจที่มีคุณค่าและความหมายสำหรับชีวิต

กิจที่ทำนี้มีคุณค่า เพราะเกี่ยวเนื่องด้วยครูบาอาจารย์ของเรา

กิจที่ทำนี้มีความหมาย เพราะมันชี้ว่าเราเป็นคนมีครู

การมีครูบาอาจารย์เป็นส่วนสำคัญในการเติบใหญ่ของเราทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูบาอาจารย์ทางด้านจิตวิญญาณนั้นมีคุณค่ามีความหมายต่อชีวิตมาก เพราะว่าท่านไม่ได้ทำให้เรามีแค่เพียงความรู้เท่านั้น

หากเฉพาะส่วนของความรู้ ผมนึกถึงคำกล่าวอันโด่งดังของชาวตะวันตกที่ว่า “ยืนอยู่บนบ่าของยักษ์” (Stand on the shoulders of giants) หากใครเคยไปยังเกาะอังกฤษอาจจะได้เห็นข้อความนี้เขียนอยู่บนเหรียญสองปอนด์สเตอร์ริงด้วย คำกล่าวนี้ถูกทำให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายโดยเซอร์ไอแซค นิวตัน ผู้ค้นพบทฤษฎีแรงโน้มถ่วงและวางพื้นฐานของกลศาสตร์คลาสสิก มีหมายความว่าคนรุ่นหลังสามารถพัฒนาความรู้เพิ่มเติมได้มากขึ้นได้ก็เพราะมีความเข้าใจในงานและผลงานวิจัยอันเป็นผลงานที่มีมาก่อนหน้าจากนักคิดนักค้นคว้าในอดีต

แต่สำหรับครูบาอาจารย์นั้น ท่านไม่ใช่เพียงแค่ทำให้เรามีความรู้ ท่านยังเป็นแนวทางคำตอบให้เราด้วย บางครั้งเราเจอสถานการณ์รุนแรง ยากๆ ในชีวิต เมื่ออยู่ในวังวนของเหตุการณ์ อาจงงเป็นไก่ตาแตก นึกไม่ออก ไปไม่เป็น การมีครูบาอาจารย์คือโอกาสที่ได้ไปปรึกษา หรือถึงแม้ท่านไม่อยู่แล้ว ท่านก็ยังเป็นแรงบันดาลใจ เป็นช่องทางที่เราเข้าไปค้นหาคำตอบในตัวเรา เพียงแค่เรานึกว่า หากเป็นท่านล่ะ ท่านจะทำอย่างไร การนึกถึงครูบาอาจารย์ในสถานการณ์ยากลำบาก ทั้งทำให้เราสงบลง ให้เวลากับการใคร่ครวญพิจารณา และเป็นโอกาสทบทวนคำสอน และตัวอย่างการใช้ชีวิตของท่านซึ่งเราเคารพ

การระลึกได้ว่าเราเป็นคนมีครู ทำให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีรากฐานที่เราเชื่อมั่นศรัทธา ไม่ว่าในช่วงเวลาสถานการณ์ใดที่เราได้เผชิญ ย่อมมีพลังโน้มนำให้เราละอายและเกรงกลัวต่อการกระทำที่ไม่ดีมากขึ้น

ความกตัญญูระลึกถึงบุญคุณของท่าน ก็อาจเป็นพลังที่มาช่วยชีวิตของเราได้ทันท่วงทีก็เป็นได้ เป็นพลังช่วยจรรโลงจิตใจและบ่มเพาะกุศลในจิต ไม่ให้ชีวิตเราตกไปสู่ที่ต่ำ

ความเป็นคนมีครู เป็นผู้ตระหนักในการมีรากของตนนั้น ทำให้เราเป็นผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้เราไม่หลงอหังการ์ ว่าไม่ใช่เราเก่งคิดเอง เหมือนอย่างที่ฝรั่งหรือเด็กสมัยใหม่ที่มั่นใจในตัวเองจัด จนมักคิดว่าฉันเก่ง ฉันคิดได้เอง หลงไปว่าการคิดวิเคราะห์และข้อสรุปของตนนั้นเป็นที่สุด

เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้เล่าเรื่องความหมายของการมีครูบาอาจารย์ที่เราเคารพนับถือให้กับบรรดาลูกศิษย์และรุ่นน้องฟัง ใช้เวลาค่อยๆ อธิบายให้เขาเห็นว่าสายการปฏิบัติที่เขาได้มีประสบการณ์นั้น มีที่มาที่ไป เปรียบเหมือนคนที่อยู่ปลายน้ำได้ใช้น้ำที่สะอาดชื่นใจ เพราะมีตาน้ำบริสุทธิ์ใสให้กำเนิดเป็นต้นธารอยู่บนเขา

ถ้านับจากพ่อแม่ครูจารย์แล้ว พวกเขาอาจจะนับเป็นศิษย์รุ่นที่สี่แล้ว ในขณะที่ถัดขึ้นไปจากท่านก็มีพระอาจารย์มั่น และสามารถย้อนกลับไปถึงสองพันกว่าปี หรือมากกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ

คนมีครูก็คล้ายดั่งต้นไม้มีราก ต้นไม้ที่มั่นคงสูงใหญ่ขึ้นไปเหนือพื้นดินเท่าใด ก็ยิ่งต้องมีส่วนที่หยั่งรากลงลึกมากขึ้นเท่านั้น

รักจี๊ดๆ



ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับประจำวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

มีวิธีการอะไรบ้างที่เราทำเพื่อให้เราได้รับความรัก?

มีรูปแบบการกระทำไหนบ้างที่เราใช้แสดงออกถึงความรัก?

ในบรรยากาศวันวาเลนไทน์แบบนี้ วิธีการพื้นฐานที่ทุกคนเข้าใจร่วมกัน ไม่ค่อยมีใครเข้าใจผิดก็เช่น ติดสติกเกอร์สีแดงรูปหัวใจให้กัน ซื้อดอกกุหลาบสีแดงมาให้ ซื้อชอกโกแลตมาฝาก ดอกกุหลาบยิ่งใหญ่ ชอกโกแลตกล่องยิ่งโต แปลว่ายิ่งรักมาก

แต่ว่าในชีวิตประจำวันและแต่ละวันนั้น เราต่างคนล้วนมีวิธีการหรือการแสดงออกอันแตกต่างหลากหลายกันมาก ขณะที่น้อยคนนักจะสามารถเข้าใจในสิ่งที่เราทำให้แก่เขา ว่านี่แหละรัก

คนจำนวนมากจึงโกรธกัน โมโหกัน เกลียดกัน ก็เพราะไม่เข้าใจในวิธีการในการกระทำแสดงออกเนื่องจากต้องการมอบความรัก หรือต้องการร้องขอความรักจากอีกฝ่ายหนึ่ง

นักศึกษาหญิงคนหนึ่ง จิตใจอ่อนโยน เธออ่อนไหวต่อความรู้สึกของผู้คน พยายามจะดูแลคนใกล้ชิดทุกคน แต่คนที่เธอมักจะทำให้เขาเซ็งได้บ่อยๆ คืออาจารย์ผู้สอนนี่เอง เพราะเธอแทบไม่ยอมตอบ ไม่ยอมพูดอะไรในชั้นเรียนเลย ไม่ว่าไม้อ่อนหรือว่าไม้แข็ง เรียกก็แล้ว ชวนก็แล้ว ขู่ก็แล้ว

แต่ใครจะรู้ว่าที่เธอเงียบ ไม่ตอบคำถาม นั่นเป็นการกระทำสื่อว่าเธอต้องการได้รับความรัก ไม่ใช่ว่าเธอไม่พยายาม เธอพยายามมาก แต่เมื่อไม่รู้คำตอบจริงๆ และก็อยากจะเอาใจอาจารย์ แต่ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ตอบผิดไปก็เกรงว่าจะไม่เป็นที่รัก เลยทำเฉย นิ่งไว้ดีกว่า

เราทุกคนต้องการความรักจากคนอื่น แต่เรากลับอยากให้คนที่เรารักแสดงออกถึงความรักในวิธีการของเราเท่านั้น เหมือนกรณีนักศึกษาอยากให้อาจารย์รัก ก็เลยไม่ตอบถ้าไม่แน่ใจ ส่วนอาจารย์ก็หงุดหงิดไม่พอใจ เพราะนักศึกษาไม่ได้แสดงออกในวิธีการตนเอง คือการตอบทุกคำถาม ทั้งชั้นเรียนเลยอึดอัดอึมครึม ไร้บรรยากาศของความรัก

เราชอบแสดงความรักในรูปแบบวิธีการของเรา แต่หากเขาไม่เข้าใจ ไม่สามารถมองเห็นความรักที่อยู่ในวิธีการของเรา เราก็เศร้าเสียใจ น้อยใจ หรือพาลโกรธไปอีก

นักศึกษาชายอีกคน จิตใจงดงาม คุณค่าที่เขามีในชีวิตคือการช่วยเหลือผู้อื่น ขอให้เขาได้ทราบเถอะว่ามีใครกำลังเดือดร้อนเรื่องอะไร หากไม่เป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรง ไม่สุดวิสัยแล้วล่ะก็เขาจะพยายามเต็มที่ เขาจึงเป็นที่รักของเพื่อนๆ

แต่สำหรับคุณแม่ของเขาเอง บางครั้งเขาก็ทำให้แม่จี๊ดมากๆ ด้วยการไว้ผมยาว ปล่อยหนวดเครารุงรัง ทั้งๆ ที่ก็ทราบว่าคุณแม่ไม่ปลื้มอย่างยิ่ง สาเหตุเพราะน้อยใจที่คุณแม่มักจู้จี้จุกจิกบังคับ เขาทำตัวอย่างนี้เพื่อส่งสัญญาณบอกให้แม่แสดงความรักในวิธีการแบบของเขา ไม่ใช่แบบของแม่ สุดท้ายเซ็งกันไปทั้งสองฝ่าย ทั้งที่ลึกๆ ทั้งคู่ก็รู้กันอยู่ว่ามีความรักให้กัน

คล้ายกับที่ผมเคยจี๊ดคุณพ่อ “นี่ เช็คน้ำมันเครื่องหรือยัง” ท่านมักจะถาม พอได้ยินคำถามนี้เท่านั้น โอ๊ย ... มันจี๊ดครับ “นี่ก็เพิ่งจะเช็คให้ดูไปเมื่อไม่กี่วันมานี่เองไง จำไม่ได้หรือไง” ผมนึกในใจ แต่ปากบอกออกไปว่า “เช็คแล้วครับ” เหตุการณ์ทำนองนี้เคยเกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก เรียกว่าแทบจะสัปดาห์ละหลายๆ ครั้ง เดี๋ยวถามเรื่องเช็คลมยางบ้าง เติมน้ำมันบ้าง เช็คน้ำกลั่นหม้อแบตเตอรี่บ้าง น้ำที่ปัดน้ำฝนบ้าง เล่นเอาผมมึนไปบ้างบางครั้ง โดยเฉพาะตอนรีบๆ เพราะเกรงว่าจะไปทำงานสาย ผมเคยสงสัยว่าคุณพ่อเป็นอัลไซเมอร์หรือความจำเลอะเลือนหรือเปล่า ถึงได้ถามบ่อยๆ เกือบทุกวัน ไม่เบื่อบ้างหรือไง ผมยังเบื่อเลย

ไม่กี่ปีมานี้ถึงเข้าใจ ก่อนหน้านี้ผมไม่เห็นเลยว่านั่นเป็นวิธีบอกรักบอกความใส่ใจของคุณพ่อ

ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าความไม่เข้าใจและอาการจี๊ดจะลดลงหรือหมดไปได้ หากเราหมั่นฝึกฝนมองและเตือนตนเองอยู่เสมอๆ ว่าคนเรานั้นมีหลายวิธีการที่จะสื่อสารความรัก เราต้องเปิดโอกาสให้ตนเองได้เข้าถึงและสามารถรับความรักจากผู้อื่นในหลากหลายรูปแบบ เราจะไม่บังคับหรือคาดหวังให้เขาส่งความรักมาเฉพาะในช่องทางที่เราเลือก

ดูเหมือนว่ามันจะยาก แต่มันไม่เกินความสามารถของเราหรอกครับ

เพราะผมเชื่อว่าอะไรก็เป็นไปได้เสมอสำหรับความรัก



ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตวิวัฒน์ หนังสือพิมพ์มติชน
ฉบับประจำวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

หญิงสาวผู้หนึ่งนอนราบอยู่กับพื้น ดูอ่อนเพลีย เหงื่อออกจนโทรมกาย สักพักเธอร้องโหยหวนราวกับเจ็บปวด หายใจเข้าออกอย่างแรง ชีพจรเธอเต้นเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ความดันโลหิตสูงปรี๊ด เธอดิ้นบิดตัวอย่างทรมาน ที่พื้นมีเลือดของเธอที่ไหลซึมออกมาไม่หยุด

ลองจินตนาการภาพหญิงผู้นี้ดูสิครับ หากเป็นเรา เราจะดูแลเธออย่างไร ด้วยท่าทีอย่างไร

ลองซูมภาพมายังโลก ดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์กำลังดี ไม่ร้อน ไม่หนาวจนเกินไป ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตที่อยู่อาศัยร่วมโลกใบเดียวกันนี้กว่าสามสิบล้านชนิด ขณะนี้โลกใบกลมกำลังตัวร้อน อุณหภูมิเพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ หน้า สาหร่ายที่อาศัยอยู่ในปะการังล้มหายตายจาก จนสีสันสวยงามของเหล่าปะการังหายไป แหล่งเพาะพันธุ์ปลาและสัตว์ทะเลอื่นๆ กลายเป็นสุสานร้างใต้น้ำสีซีดยาวสุดลูกหูลูกตา บนบกก็อุณหภูมิสูงไม่แพ้กัน น้ำแข็งที่ยอดเขาและขั้วโลกทั้งสองละลายไวเหมือนไอศกรีมนอกตู้แช่ พายุฝนแต่ละปีก็รุนแรงขึ้น ปรากฏการณ์ Cloud Burst ทำให้ลำธารที่เคยไหลรินกลายเป็นเชี่ยวกราก เอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเมืองและคร่าชีวิตผู้คน แม้กระทั่งอาณาจักรลาดัก ติดประเทศทิเบต บนเทือกเขาหิมาลัย ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง ๓ กิโลเมตร ไม่เฉพาะแต่เทือกเขาสูงบริเวณหลังคาโลก ภูเขาในไทยแต่ละลูกก็ถูกตัดไม้จนหัวโล้น เหลือป่าเฉพาะในเขตอนุรักษ์เป็นหย่อมๆ เท่านั้น ฝนตกแต่ละฤดูชะเอาหน้าดินไหลออกสู่ทะเลแดงฉานน่ากลัว

ลองจินตนาการภาพโลกใบนี้ดูสิครับ หากเป็นเรา เราจะดูแลโลกใบนี้อย่างไร ด้วยท่าทีอย่างไร

บางคนอาจจะคิดว่าเธอเป็นโรคร้ายแรง เป็นมะเร็งรักษาไม่หาย มีโรคแทรกซ้อนรุมเร้ามากมาย อาการกำลังกำเริบหนัก เขาอาจจะพยายามให้เธอกินยา ฉีดยา แถมด้วยให้ยาทางสายน้ำเกลือ อุณหภูมิที่สูงก็ต้องรีบลด หาผ้าเย็นมาเช็ดลำตัว ที่ความดันสูงก็ต้องดูแลให้ยา ที่เลือดไหลก็ต้องรีบห้ามเลือดกันจ้าละหวั่น

แต่บางคนที่สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่มากไปกว่านั้น เห็นท้องที่ใหญ่โตของเธอ พบสัญญาณชีพเล็กๆ ในนั้น ด้วยการมองเห็นนี้ มันทำให้พวกเขาคิดมีวิธีดูแลเธอที่ต่างออกไป ตระเตรียมอุปกรณ์ที่เหมาะสม กรรไกร ลูกยางแดง พยายามพูดคุยให้กำลังใจเธอที่จวนเจียนเหมือนจะหมดลม ราวกับจะขาดใจ แต่สักพักทุกคนก็ได้ยินเสียงร้องไห้จ้าของทารกแรกเกิดตัวน้อย

บางคนอาจจะคิดว่าโลกกำลังเป็นป่วยไข้ร้ายแรง เป็นมะเร็งรักษาไม่หาย มีโรคแทรกซ้อนรุมเร้ามากมาย อาการกำลังกำเริบหนัก ด้วยมุมมองนี้ ได้ทำให้พวกเขาพยายามเยียวยารักษาโลกจากอาการต่างๆ นานาเหล่านั้น ด้วยการให้ยา ใส่สารเคมีให้มากเข้า มีทั้งปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช เพื่อเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น หรือต้องผ่าตัดใหญ่ สร้างเขื่อน ทำทางระบายน้ำ เพื่อจัดการกับน้ำท่วม บางคนเห็นว่าอาการโลกตัวร้อน นี้ต้องฉีดสารเคมีประเภทซัลเฟอร์เข้าไปในชั้นบรรยากาศ เพื่อลดแสงอาทิตย์ บ้างก็ว่าต้องให้ทะเลกินธาตุเหล็ก เพื่อให้แพลงก์ตอนพืชที่อยู่ในท้องทะเลมากขึ้น โตเร็วขึ้น จะได้ดูดเอาคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการเผาเชื้อเพลิงที่เราใช้กันและเป็นเหตุให้โลกร้อนออกจากชั้นบรรยากาศมากขึ้น ไปถึงกระทั่งผู้คนบางกลุ่มบางประเทศที่คิดและเชื่อว่าจะต้องกำจัดสิ่งมีชีวิตบางชนิด คนบางเผ่าพันธุ์ให้สิ้นไปจากโลก อาการของโลกจึงจะดีขึ้น พวกเขาสะสมอาวุธมากขึ้นๆ จนมีปริมาณที่สามารถทำสงครามฆ่ามนุษย์ทั้งโลกได้หลายรอบ

แต่อาจยังมีบางคนที่ชี้ชวนกันให้สังเกตและเฝ้าติดตามสัญญาณบางอย่างที่ค่อยๆ เกิดขึ้น จนขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ เขาเหล่านี้อาจบอกว่า ขอให้ดูสถานการณ์การเติบโตของขบวนการส่งเสริมสุขภาพองค์รวม การส่งเสริมสันติภาพ ความกระตือรือร้นและความสนใจของผู้คนต่อการพัฒนาทางจิตวิญญาณ การเรียนรู้ด้านในของตน การมีจิตวิวัฒน์และจิตตปัญญาในการใช้ชีวิต

ด้วยการมองเห็นนี้ ทำให้พวกเขาตระเตรียมหาอุปกรณ์ และประกอบสร้างโครงสร้างที่เหมาะสม เยียวยาอาการป่วยไข้ของโลกบนวิธีคิดที่ต่างออกไป ไม่เพียงจัดการดูแลปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาทางการเมือง แต่ฟูมฟักเอื้อเฟื้อให้การเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณได้เติบโต เป็นความพยายามประคับประคองโลกและมนุษยชาติที่เหมือนจะกำลังไปไม่รอดแล้ว แต่อีกไม่นานเขาอาจได้เห็นการเกิดขึ้นของกระบวนทัศน์ คำอธิบาย และแนวทางการอยู่ร่วมกันใหม่ ที่ไม่เพียงแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์เดิม แต่รวมถึงการสร้างเสริมความสัมพันธ์ใหม่ และสิ่งใหม่ๆ ด้วย

อะไรคือความสามารถในการจำแนกแยกแยะคนเป็นมะเร็งกับคนตั้งครรภ์ออกจากกัน

อะไรคือความสามารถในการจำแนกแยกแยะสังคมที่กำลังตกต่ำแตกหักล่มสลายกับสังคมที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ความสัมพันธ์ใหม่ที่ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น อุณหภูมิการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับนานาชาติที่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจที่เสียหาย ผู้คนที่ล้มตาย เป็นเพราะโรคร้ายรักษาไม่หายเกาะกิน หรือเป็นอาการ เป็นสัญญาณการเปลี่ยนผ่านของระบบความคิดความเชื่อชุดเดิม ที่คับแคบ ไม่สามารถอธิบายและรองรับความจริงที่ซับซ้อนได้

จากความคิดความเชื่อที่เห็นโลกเป็นส่วนสุดสองด้าน ขาว-ดำ ฉันถูก-แกผิด ต้องมีผู้แพ้-ต้องมีผู้ชนะ ตีความทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาลส์ ดาร์วิน (อย่างผิดๆ) ว่าเป็นการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงที่สุด (Survival of the Strongest) ต้องโหดร้ายรุนแรงเข้มแข็งเท่านั้นจึงจะอยู่รอดได้

ไปสู่ความคิดความเชื่อที่เห็นโลกอยู่ในสมดุลของความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อน มีเฉดสีต่างๆ มากมายที่อยู่ร่วมกันอย่างบรรสานสอดคล้องเหมือนรุ้งบนท้องฟ้าที่กว้างขวางพอสำหรับรุ้งมากกว่าหนึ่งตัวด้วย ไม่จำเป็นต้องมีตัวเดียวโดดๆ ทุกฝ่ายสามารถเป็นเจ้าของชัยชนะร่วมกันได้ เห็นความดีในกันและกัน เห็นความจำเป็นและความงามในการดำรงอยู่ร่วมกัน เข้าใจทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาลส์ ดาร์วิน (อย่างถูกต้อง) ว่าเป็นการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมที่สุด (Survival of the Fittest) ต้องรู้จักปรับตัว ช่วยเหลือสนับสนุนกันด้วยจึงจะอยู่รอด และยิ่งไปกว่านั้น รู้ด้วยว่ามีความสัมพันธ์อย่างไร จึงจะสามารถทั้งอยู่รอด อยู่ร่วม และอยู่อย่างมีความหมาย

นอกเหนือไปจากใจและทักษะที่จะผ่า กำจัด ทำลาย ที่เราคุ้นเคยกันมากแล้ว เห็นสิ่งที่อยู่ในมือเป็นของมีเหลี่ยมมีคม เป็นมีดเป็นค้อน เห็นอะไรก็จะแทง จะตัด จะทุบไปหมด เราอาจจะต้องเรียนรู้ที่จะฝึกทั้งใจและทักษะที่จะประกอบสร้าง ปลูกฝัง บ่มเพาะ ไปจนถึงทำคลอดกระบวนทัศน์ใหม่

ความสามารถในการจำแนกแยกแยะและสังเกตเห็นสิ่งที่แตกต่างนี้ อาจจะไม่มีวันเกิดขึ้นเลยก็ได้ ถ้าเราไม่เคยริเริ่มจะมองหา หรือไม่คิดแม้แต่ว่ามันจะมีหวัง

หากเราเริ่มมองหา เราอาจจะเริ่มมองเห็นก็ได้

การดูแลหญิงสาวผู้ป่วยหนักอย่างเข้าใจและตระเตรียมการกำเนิดใหม่ของชีวิตน้อยๆ อาจจะเป็นรูปธรรมตัวอย่างของการมองหาความรู้ทางการแพทย์และประสบการณ์ เพื่อให้เราได้มองเห็นโอกาสความเป็นไปได้ นอกเหนือไปจากปัญหา

แต่การดูแลเยียวยาโลกทั้งใบ ที่เป็นเสมือนคนไข้ขนาดยักษ์และมีความสลับซับซ้อนยิ่งกว่ามากมายนี้ สิ่งที่เรากำลังมองหาอาจไม่ใช่แค่ความรู้ทางเทคนิค ไม่ใช่แค่ประสบการณ์จากการแก้ปัญหาก่อนหน้า เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มันเกินไปกว่าความรู้เดิมๆ ประสบการณ์เดิมๆ ที่เราเคยใช้กันมา

เราอาจจะต้องมีสายตาที่เห็นกว้างไปกว่าแค่ปัญหาเฉพาะหน้า มีใจที่เปิดรับได้มากกว่าแค่เรื่องราวที่เราคุ้นเคยและเชื่อตามกันมา และมีชีวิตที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับโลก เมื่อนั้นหรือเปล่า เราถึงจะเห็นโอกาสการกำเนิดใหม่ พร้อมกับสามารถประคับประคองอาการป่วยไข้ไปด้วยได้อย่างเหมาะสม

ถ้าเราเริ่มมองหา เราก็จะมองเห็น และสร้างความเป็นได้สำหรับทุกชีวิตบนโลกใบนี้ขึ้นมา

แม้เวลาของเราจะเหลือน้อย แต่ทางรอดของเราก็ยังพอจะมีครับ

โครงงานชีวิต



ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับประจำวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๔

ผมโตมายุคแรกเริ่มของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ตอนนั้นคุณครูส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก จำได้ว่าสมัยมัธยมพวกเรานักเรียนทุนด้านวิทยาศาสตร์ (พสวท.) ได้เรียน ได้ฝึก ได้ลอง ไปพร้อมๆ กับคุณครูที่โรงเรียนเลยด้วย

แล้วผมก็ตกหลุมรักเจ้าสิ่งนี้ทันที ปิดเทอมใหญ่บางปีผมใช้เวลาอยู่ในแล็บกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ กินนอนในนั้นเลย ได้อยู่กับบ้านซึ่งห่างโรงเรียนแค่เดินถึง แบบตลอด ๒๔ ชั่วโมงแค่สองวันเท่านั้น ช่วงเรียน ม.๕ ก็ต่ออุปกรณ์ฉายรังสีแบบง่ายๆ ด้วยตนเอง ศึกษาการกลายพันธุ์ของเจ้าเชื้อ E. coli ที่ได้รับการฉายรังสี โดยดูจากความสามารถในการต้านทานยาปฏิชีวนะ

จนปัจจุบันโครงงานวิทยาศาสตร์กลายเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของการเรียน ขนาดที่เรียกสั้นๆ ว่าโครงงาน คนก็มักจะเข้าใจว่าคือโครงงานวิทยาศาสตร์ มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนทุกระดับ แพร่หลายจนน่าเสียดายที่ทำให้โครงงานมีเหลือแค่โครงสร้างและรูปแบบ ความน่าสนใจที่เคยมีแต่เดิมกลับเป็นการเพิ่มภาระให้ทั้งคนสอนและคนเรียน เราแทบจะถือว่ามันคืองานและการบ้านอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งครูต้องทำเพื่อให้มีผลงาน และนักเรียนต้องทำได้คะแนนสอบผ่าน เท่านั้นเอง

ผมจึงแทบจะเพิกเฉยและไม่ใส่ใจอะไรกับความรักเก่านี้แล้ว

แต่ระยะหลังเมื่อได้กลับมาทำหน้าที่สอนเสียเอง ผมก็หวนกลับไปค้นหาเสน่ห์และตามหาหัวใจของความรักนี้ แล้วจึงพบว่าคู่รัก “โครงงาน” ของผมเป็นได้มากกว่าแค่โครงงาน “วิทยาศาสตร์”

ในชั้นเรียนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มหิดล ผมชวนให้นักศึกษาแต่ละคนทำโครงงานเพื่อศึกษาการเปลี่ยนจิตสำนึกจากการมีประสบการณ์ตรงด้วยตนเอง

เชิญชวนให้ผู้เรียนให้ลองขยับจากเอา “วิชา” (เช่น วิทยาศาสตร์) เป็นตัวตั้ง มาเอา “ชีวิตและการอยู่ร่วมกัน” เป็นตัวตั้งแทน

นักศึกษาหญิงคนหนึ่งเล่าว่าปรกติเวลากลับบ้านที่ขอนแก่น เธอก็อยู่ส่วนเธอ คุณพ่อคุณแม่ คุณตาคุณยายก็อยู่ส่วนของท่าน มาพบกันตอนทานข้าว แล้วก็แยกย้ายกันไป ดูทีวีบ้าง อะไรบ้าง แต่รอบนี้ เธอตั้งใจว่ากลับบ้านปีใหม่ จะทำโครงงานอยู่กับคุณตาคุณยายอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ คืออยู่ตรงนั้นในปัจจุบันขณะอย่างเต็มที่ เพื่อคุณตาและคุณยายของเธอ

นักศึกษาชายอีกคนรู้สึกแปลกแยก อึดอัดกับความเป็นเมืองใหญ่ของกรุงเทพ ที่ดูดกลืนทรัพยากรจากทั่วประเทศ อยากจะลองศึกษาดูว่าตนเองจะอยู่กับเมืองอย่างมีความสุข ทั้งที่รู้สึกเช่นนี้ได้อย่างไร เขาตั้งใจว่าจะลองเดินไปเรื่อยๆ ในเมือง ยิ้มและสบตากับคนที่เดินสวนกัน โดยดูว่าเขาจะสามารถอยู่รอด อยู่ร่วม และอยู่อย่างมีความหมายโดยไม่ใช้เงิน ไม่สูบบุหรี่-ดื่มสุรา (ที่เขาติด) ได้หรือไม่

นอกจากนี้ยังมีโครงงานทดลองจำกัดพื้นที่ใช้สอยในห้องพักของตนเอง โดยได้ไอเดียจากเรื่องช้างถูกรุกรานพื้นที่ป่า โครงงานเผชิญความอายของตน ด้วยการเดินเก็บขยะไปเรื่อยๆ จากสี่พระยา-มาบุญครอง-ราชเทวี-รามาธิบดี โครงงานไปดูกระบวนการฆ่าสัตว์ในโรงเชือด เพื่อเข้าถึงความรู้สึกของช่วงเวลานั้น และศึกษาที่มาของอาหารก่อนมาถึงเรา โครงการไปลองทำนากับชาวนาที่ไม่ใช้สารเคมี และยังมีโครงการที่น่าทึ่งน่ามหัศจรรย์อีกเป็นจำนวนมาก

โครงงานมันน่าทึ่งน่ามหัศจรรย์ได้เพราะว่าเป็นสิ่งที่เขาเลือกเอง ตั้งอยู่บนฐานชีวิตของผู้เรียนเอง ครอบครัวก็ครอบครัวของเขา ความกลัว ความอึดอัด ก็เป็นความรู้สึกที่แท้จริงของเขา เรียนแล้วจะเปลี่ยนหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขา แต่อย่างน้อยเขาก็ย่อมจะได้รู้จักตัวเองมากขึ้น

แต่ละโครงงานล้วนมีพลังของชีวิตอันมีเอกลักษณ์ มีลายนิ้วมือของแต่ละคนอยู่ มันถูกขับเคลื่อนด้วยพลังธรรมชาติที่มาจากเขาเอง

แต่ละโครงงานมันสามารถช่วยให้ความสัมพันธ์ของแต่ละคนดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับตัวเขาเอง ความสัมพันธ์กับครอบครัว ความสัมพันธ์กับอาหาร ความสัมพันธ์กับโลกและจักรวาล

นี่แหละ เสน่ห์และหัวใจที่แท้ของโครงงาน

เขาว่ารักแรกพบยากจะลืมเลือน ... ก็คงจะจริง :-)

ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับประจำวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๓

ช่วงหยุดยาววันพ่อ ผมนั่งละเลียดอ่านข้อเขียนที่ผู้เข้าร่วมสะท้อนการเรียนรู้ของตนเองในวันสุดท้ายของการอบรมหลักสูตร “พัฒนาจิตและเปลี่ยนแปลงชีวิต” ที่จัดให้กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)

ก่อนเริ่มการอบรม หลายท่านสงสัยว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรจริงหรือไม่ แม้ตัดสินใจมาแล้วก็ยังไม่แน่ใจ “เอ๊ะ! เราจะพัฒนาจิตได้หรือ อัตตาเราสูงนะ” บางท่านตั้งคำถามกึ่งท้าทายรอไว้ก่อนเลย “เราอยากรู้ว่าการอบรมที่สถาบัน [ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สัญญา ธรรมศักดิ์] จัดครั้งนี้ จะเปลี่ยนแปลงชีวิตพัฒนาจิตได้จริงไหม”

พวกเราใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ๔ วัน ๓ คืน แม้ไม่ยาวนัก แต่ก็เพียงพอสำหรับการเรียนรู้ของหลายๆ คน ต่างบอกเล่าการเดินทาง ค้นพบ และเปลี่ยนแปลงตนเองที่น่าทึ่งในวิถีของตนเอง



“ก่อนที่จะมาอบรมในครั้งนี้ ... ฉันก็คิดว่าคงจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบ้าง แต่ไม่ได้คิดว่าจะมากมายขนาดนี้ โดยเฉพาะตัวเอง ช่างแปลก เราก็ผ่านโลกนี้มานานสามสิบกว่าปีแล้ว แต่แทบจะน้อยนับครั้งได้ที่เราลุกขึ้นมาบอกกับตัวเองว่า เราต้อง ‘เปลี่ยน’ เปลี่ยนสิ่งเดิมๆ ที่เราเคยทำตัวแย่ๆ หรือทำร้ายความรู้สึกของคนรอบข้าง พอมาถึงที่เราได้เรียนรู้วิธีคิด วิธีรู้จักตนเองและผู้อื่น เรารู้สึกว่าอยากจะ ‘เปลี่ยน’ จริงๆ และต้องทำให้ได้ มันอาจดูไม่ง่าย แต่คงไม่ยาก เพราะว่าเราอยากใช้เวลาตัวเองในชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีคุณค่า มีคุณภาพ และมีความสุขสงบอย่างแท้จริง เอาล่ะ เราจะเริ่มนับแต่วันนี้ หลังจากกลับจากการอบรม ไปถึงบ้าน เราจะรับฟังน้องชายให้มากขึ้น ฟังความรู้สึกของเขา มองเขาในเหตุผลของเขา เราจะใส่ใจแม่มากขึ้น รับฟังเรื่องเดิมๆ ที่แม่เคยพูดซ้ำๆ แต่มันมีความหมายว่ารักและห่วงใยเราเหลือเกิน เราต้องเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เรามั่นใจ”

เพียงสะท้อนตนเองมาสั้นๆ แต่บอกอะไรมามากมาย ผมมองผ่านตัวหนังสือเข้าไป เห็นหญิงสาวที่งดงามผู้หนึ่ง เธอก็เหมือนพวกเราที่พยายามจะมีชีวิตที่มีความสุข คุณค่า และความหมายที่แท้จริง ในโลกที่สับสน เร่งรีบ และวุ่นวายใบนี้

ผมดีใจที่ในการอบรมนี้เธอได้เปิดใจ เปิดสัมผัสรับรู้ต่างๆ อย่างเต็มที่ ใช้ตนเองเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ ได้มีประสบการณ์กับชุดความรู้และกระบวนการที่หลากหลายของจิตตปัญญาศึกษา เช่น สุนทรียสนทนา จิตตศิลป์ การบริหารกายบริหารจิต การทำงานกับเงา (Shadow) หรือด้านมืดในตัวเราที่เรามองไม่เห็น เป็นต้น

ชอบที่เธอสรุปว่าสิ่งที่เธอได้เรียนคือ “วิธีคิด วิธีรู้จักตนเองและผู้อื่น” เพราะพื้นฐานความเข้าใจเช่นนี้จะช่วยทำให้เธอไปต่อยอดการเรียนรู้และแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง ส่วนมุมมองที่ว่า “มันอาจดูไม่ง่าย แต่คงไม่ยาก” คงจะทำให้โจทย์ของเธอไม่ง่ายจนไม่ท้าทาย แต่ก็ไม่ยากจนน่าท้อใจจนเกินไป

อดดีใจกับน้องชายและคุณแม่ไม่ได้ ดีใจกับน้องชายที่จะมีพี่สาวที่น่ารัก ผู้มีความสามารถในการรับฟัง ในการเข้าใจ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ดีใจกับคุณแม่ที่จะมีลูกสาวที่อ่อนโยน ผู้มีคุณสมบัติพิเศษที่เหล่าบุพการีทั้งหลายต่างปรารถนาให้บุตรสาวบุตรชายของตนมี คุณสมบัติในการตระหนักรู้ถึงความรักอันไม่มีที่สิ้นสุดของพ่อแม่ที่มีให้กับลูก ผมเห็นบ้านที่ข้างในมีครอบครัวที่มีความสุขเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหลัง เห็นที่ทำงานที่ข้างในมีเจ้าหน้าที่ที่มีความสุขเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแห่ง

ความจริงก็คือ ไม่มีใครไม่อยากเปลี่ยนแปลง เพราะไม่มีใครไม่มีความทุกข์ ชีวิตเราออกห่างจากสมดุล จากความสุขและความหมายมากขึ้นเรื่อยๆ

ในทางกลับกัน ผู้คนต่างโหยหาการเปลี่ยนแปลง เพราะเราทุกคนมีแรงจูงใจที่สำคัญมาก คือ ความสุขในชีวิต เราพร้อมจะเปลี่ยนเสมอ หากมันทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น ขอให้เราพอจะเห็นทาง เห็นความเป็นไปได้เท่านั้น

สิ่งหนึ่งที่เราน่าจะได้เปิดโอกาสให้กับตนเองและคนรอบข้างเราอยู่เสมอ คือ การเข้าไปเรียนรู้และรู้จักตนเอง เมื่อมนุษย์ได้เห็นและรู้จักตนเองอย่างแท้จริง ศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงตนเองของมนุษย์ก็จะเผยออกมาเองอย่างน่ามหัศจรรย์

ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตวิวัฒน์ หนังสือพิมพ์มติชน
ฉบับประจำวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๓

หากเราเชื่อเรื่อง “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” หรือแนวคิดที่ว่า สรรพสิ่งล้วนเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงถึงกัน ดังที่ ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ เคยเสนอไว้แล้ว ชีวิตเราทุกคนคงได้รับผลกระทบระดับสึนามิหลายพันระลอกจากเว็บไซต์ยอดนิยม: เฟซบุ๊ก (facebook)



เฟซบุ๊ก หรือที่คนไทยนิยมเรียกมันสั้นๆ ว่า เอฟบี (fb) เป็นเว็บสุดฮิต ผู้คนในทั่วโลกกว่า ๕๐๐ ล้านคน เมื่อเขาหายแว้บเข้าไปในโลกเสมือน ไซเบอร์สเปซ หรือ อินเทอร์เน็ต เขาก็มักจะไปชุมนุมอยู่ที่นี่กันมากและนานที่สุด ใช้เวลากับที่นี่มากยิ่งกว่าที่เว็บอื่นๆ

คนไทย ๖๖ ล้านคนที่มีอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไม่สูงนักก็ยังเป็นมีบัญชีสมาชิกเฟซบุ๊กถึง ๔ ล้านกว่าราย ทั้งเด็กวัยรุ่น นักเรียน นิสิต นักศึกษา ผู้ใหญ่วัยทำงาน ครูอาจารย์ นักวิชาการ ดารานักร้อง แม้กระทั่งนักการเมือง รัฐมนตรีต่างๆ ก็เป็นสมาชิกเช่นกัน เพราะองค์กรเชื่อมโยงงาน ชั้นเรียนเชื่อมโยงบทเรียน การบ้านเข้ากับเฟซบุ๊กมากขึ้นเรื่อยๆ จะติดต่อกัน หรือส่งงาน ก็ดำเนินการกันผ่านเฟซบุ๊ก นักศึกษาจำนวนไม่น้อยรีบเปิดเว็บไซต์นี้เป็นเว็บแรกเมื่อตื่นนอน คอยเช็คเว็บไซต์นี้บ่อยๆ แม้ในระหว่างเรียน และเปิดเป็นเว็บสุดท้ายก่อนเข้านอน เรียกว่าติดงอมแงมเลยทีเดียว

ประเมินจากจำนวนผู้คนที่เข้ามาใช้งานจำนวนล้นหลามถึงระดับนี้แล้ว เราจะถือได้ว่าเฟซบุ๊กประสบความสำเร็จตามพันธกิจหรือความตั้งใจที่ได้ก่อตั้งขึ้นแล้ว ใช่หรือไม่?

ข้อมูลในหน้าเว็บระบุพันธกิจของเฟซบุ๊กไว้ว่า คือ การให้อำนาจในการแบ่งปันแก่ผู้คนและสร้างโลกที่เปิดกว้างและเชื่อมโยงกันมากขึ้น

ในเฟซบุ๊กเราเชื่อมโยงผ่านการเป็น “เพื่อน” โดยการขอเป็นเพื่อนกัน และอีกฝ่ายต้องตอบรับ เราสามารถเป็นเพื่อนกัน เลิกเป็นเพื่อน และกลับมาเป็นเพื่อนกันใหม่ ได้โดยผ่านการคลิกเมาส์ไม่กี่ครั้งเท่านั้น

รูปแบบวิธีการเชื่อมโยงอันแสนสะดวกง่ายดายนี้ ทำให้เฟซบุ๊กเป็นสินค้าบริการที่ขายดีมาก ติดตลาดอย่างรวดเร็ว คนซื้อแล้วติดใจ ซื้อแล้วกลับมาซื้ออีกบ่อยๆ มีขาประจำอย่างรวดเร็วและเหนียวแน่น แต่ละคนต่างไปชักชวนเพื่อนๆ ญาติๆ ให้มาใช้ร่วมกัน เหตุผลที่คนมักพูดถึงเฟซบุ๊กและชักชวนกันเข้าไปก็คือ ใครๆ เขาก็ย้ายไปนั่นหมดแล้ว เหมือนสถานบันเทิงที่คนมักย้ายไปใช้เวลาสังสรรค์กันในแห่งที่กำลังฮิตที่สุด กิจกรรมในเฟซบุ๊กก็แทบจะเทียบได้กับสถานที่จริง อย่างสถานบันเทิง แหล่งพักผ่อนหย่อนใจ ห้างสรรพสินค้า ไปจนถึงห้องแสดงงานศิลปะ ผู้คนพากันเข้าเฟซบุ๊กไปเล่นเกม ไปสนทนากัน พบปะเพื่อนใหม่ จับจ่ายใช้สอย แม้กระทั่งเข้าไปชมผลงานภาพถ่าย

เว็บไซต์นี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมือนมันเป็นเหตุผลในตัวเสร็จสรรพว่าต้องขยายขึ้นเรื่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ ดูไปก็คล้ายระบบเศรษฐกิจของโลกที่ดูเหมือนไม่ต้องการคำอธิบายว่าทำไมจึงต้องขยายขึ้น โตขึ้น

ในปัจจุบัน เราได้ยินคำโฆษณา ทั้งปากต่อปาก และผ่านสื่อต่างๆ ว่าสินค้าและบริการแต่ละอย่างดีอย่างไร มันทำอะไรได้บ้าง ทำไมคุณควรจะมีมัน และเสพมันมากๆ แต่ว่าเราแทบจะไม่รู้เลยว่า เราควรจะบริโภคสินค้าและบริการ รวมถึงเครือข่ายสังคมออนไลน์ เท่าใดจึงจะเหมาะสม

รูปธรรมของการเสพสินค้าบางอย่างมากเกินไปอาจเห็นได้ชัดเจน (เช่น รอบเอวที่เพิ่มขึ้น) แต่บางอย่างก็ไม่ชัดเจน หรือต้องใช้เวลานาน แล้วรูปธรรมของการเสพเครือข่ายสังคมออนไลน์มากเกินไปเล่า มีหรือไม่

แล้วจำนวนเพื่อนในเฟซบุ๊ก ในโลกเสมือนของเราแปรผกผันกับคุณภาพ ความแน่นแฟ้น ความลุ่มลึกของความสัมพันธ์ของเรากับคนรอบข้างในโลกความเป็นจริงเท่าใด ยิ่งมีเพื่อนในเฟซบุ๊กมาก เรายิ่งต้องใช้เวลาในการอ่านและเขียนข้อความ (post) เขียนแสดงความคิดเห็น (comment) อัพโหลดและดาวน์โหลดรูป รวมถึงกดปุ่ม “ถูกใจ” หรือ “ไลค์” (Like) มากขึ้นหรือไม่

สมาชิกเฟซบุ๊กหลายคนไปเพื่อเชื่อมโยง เพื่อหาเพื่อนออนไลน์ แต่ไม่แน่ใจว่าจะยิ่งทำให้เราห่างเหินกับเพื่อนออฟไลน์ของเรา ทำเพื่อนของเราหายหรือตกหล่นหรือไม่

ค่าใช้จ่ายในการซื้อบริการของเฟซบุ๊กอาจเป็นเวลาที่เราสามารถใช้ในการทำความรู้จักกับเพื่อนบ้านในชุมชน โอกาสในการทำนุบำรุงสายใยของครอบครัวขยาย ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ลูก พี่น้อง ลุงป้าน้าอา ของเรา หรือความเป็นไปได้ในการฟื้นฟูดูแลความสัมพันธ์ของเรากับที่ทำงานที่บางครั้งเราใช้เวลามากกว่าครึ่งหนึ่งของวันเสียด้วยซ้ำ

มนุษย์เราล้วนต้องการความสุข เรามักจะคิดว่าจะได้มันผ่านการเสพ เมื่อเราเริ่มเสพไปเรื่อยๆ เราอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบสินค้าและบริการ เช่นเดียวกับที่ระบบสินค้าและบริการกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรา นานๆ เข้าเราอาจลืมไป นึกไม่ออกว่าสาเหตุในการเริ่มต้นเสพของเราคืออะไร

เฟซบุ๊กก็เป็นเช่นนั้น เป็นรูปแบบและระบบใหม่ของการจัดการความสัมพันธ์ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง เป็นส่วนหนึ่งที่กลมกลืนเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นสินค้าและบริการยอดนิยมที่แพร่หลาย เป็นปรากฏการณ์ของความสำเร็จที่เราชื่นชม จนเราอาจละเลยไม่ได้เห็นว่าสาเหตุที่แท้ในการมีมันและการใช้มันนั้น คืออะไร?

ลืมไปว่าพันธกิจที่แท้ของอำนาจในการแบ่งปัน การสร้างโลกที่เปิดกว้าง และการเชื่อมโยงกัน คืออะไร?

เมื่อเร็วๆ นี้มีหนังสือและภาพยนตร์ที่บอกเล่ากำเนิดของเฟซบุ๊ก และยิ่งไปกว่านั้น มันยังสะท้อนชวนให้ตั้งคำถามต่อพันธกิจของเฟซบุ๊กนี้ด้วย

หนังสือมีชื่อว่า The Accidental Billionaires: The Founding Of Facebook, A Tale of Sex, Money, Genius, and Betrayal และภาพยนตร์เรื่องนั้นคือ เดอะโซเชียลเน็ตเวิร์ก The Social Network สื่อทั้งสองบอกเล่าประวัติความเป็นมาอันน่าสนใจของเว็บไซต์ และประวัติของผู้ก่อตั้ง คือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ผู้กลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน (คูณสามสิบเพราะเป็นพันล้านเหรียญสหรัฐ) ที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก

เรื่องราวในหนังสือและภาพยนตร์บอกเราว่า มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เป็นคนเรียนเก่ง สอบข้อสอบที่เทียบเท่ากับข้อสอบโอเน็ต เอเน็ตของไทยได้คะแนนเต็ม แต่เขาเป็นคนขี้อาย ดูอึดอัดเมื่อต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น จริงอยู่ที่สุดท้ายเขาก็ได้ประสบความสำเร็จ แต่บนความสำเร็จนั้นกลับไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนที่ร่วมเดินทางชีวิตด้วยกันมาก่อน มหาเศรษฐีพันล้านผู้สร้างเฟซบุ๊กซึ่งมีพันธกิจเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันกลับถูกเพื่อนเลิกคบ

ไม่แน่ใจว่าควรเรียกว่าน่าขัน ตลกร้าย หรืออย่างไร ที่คนล้มเหลวในเรื่องเพื่อน กลับเป็นสถาปนิกผู้ออกแบบการเป็นเพื่อนกันของคนร่วมห้าร้อยล้านคนบนโลก ที่มีผู้เปรียบว่าเหมือนกับการผลิต “ความใกล้ชิดสนิทสนม” ให้กับผู้คนผ่านการสร้างชีวิตที่สองในหมู่บ้านจัดสรรของโลกเสมือน

เราอาจตีความได้ว่าแรงผลักดันหนึ่งของการสร้างเฟซบุ๊กของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เริ่มจากความอยากเป็นที่รักและได้รับการยอมรับ แต่เลือกที่จะเดินทางอ้อม ผ่านการมีชื่อเสียงโด่งดังและมีทรัพย์สมบัติ แต่เมื่อเฟซบุ๊กเกิดขึ้น เข้าไปอยู่ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยม มันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบ สุดท้ายไม่แน่ใจว่าจะได้สิ่งที่ตั้งใจไว้แต่แรกหรือไม่

ผู้คิดค้นและสร้างเฟซบุ๊กก็พยายามใช้มันเพื่อชดเชยช่องว่าง ทดแทนส่วนที่หายไปของชีวิต แต่ไม่แน่ใจว่าจะช่วยเติมเต็ม หรือจะยิ่งขยายทำให้ช่องว่างมันใหญ่ขึ้น

เฟซบุ๊กดูเหมือนจะเป็นเครื่องมือหรือบริการที่ช่วยเราในมีปฏิสัมพันธ์ มีการเชื่อมโยงกับเพื่อนได้ง่ายๆ แต่บางทีสิ่งที่มนุษยชาติต้องการจริงๆ ในเรื่องของความสัมพันธ์ ไม่ใช่เรื่องของความง่าย แต่เป็นพันธกิจความสุนทรียภาพ ความประณีตบรรจงที่จะคิด พูด และทำ สิ่งที่เราต้องการคือการนำเอาความอ่อนโยนต่อชีวิตและอ่อนน้อมต่อธรรมชาติกลับเข้ามาอยู่ในทุกๆ ความสัมพันธ์ของเรา

พันธกิจที่แท้ของมวลมนุษยชาตินั้นคล้ายกับสิ่งที่เฟซบุ๊กทำมาก ทว่าก็แตกต่างมากเช่นกัน เพราะเป็นพันธกิจการให้อำนาจในการแบ่งปัน ที่ไม่ใช่เพียงแค่ข้อมูล รูปภาพ แต่แบ่งปันความรักความเมตตา ความเอาใจใส่ในความรู้สึกของกัน พันธกิจของการสร้างโลกที่เปิดกว้าง ไม่ใช่แค่การเข้าถึงคนจำนวนมาก แต่คือการเปิดใจเราให้กว้างขึ้น มีความรักอันไพศาล มีอิสรภาพไปพ้นจากอัตตาและความคิดอันคับแคบ พันธกิจของการเชื่อมโยงกัน ไม่ใช่เพียงแค่เชื่อมต่อกันผ่านเครือข่ายอิเลคทรอนิกส์หรืออุปกรณ์สื่อสาร แต่เป็นความรู้สึกผูกพันใกล้ชิดอย่างเป็นหนึ่งเดียวระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน















ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับประจำวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

กระบวนการอะไรเอ่ย ที่บรมศาสดาผู้ประกาศศาสนาซึ่งมีผู้นับถือหลายร้อยล้านคนอย่างพระพุทธเจ้า ปรมาจารย์ด้านองค์กรเรียนรู้จาก MIT สถาบันชั้นนำของโลก อย่างออตโต ชาร์มเมอร์ และ สุดยอดนักเขียนนักปรัชญาที่วางรากฐานของวิทยาศาสตร์ที่ใส่ใจมิติสุนทรียภาพและจริยธรรมอย่างโยฮันน์ วอล์ฟกัง ฟอน เกอเธ่ มีและใช้ร่วมกัน?

ใบ้ให้ว่าเป็นกระบวนการสำคัญที่จิตตปัญญาศึกษานำมาใช้เป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ หากขาดหายไปก็ไม่สามารถเรียนรู้ได้ ถึงแม้จะมีแต่ถ้าคุณภาพไม่ดีก็ยากจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน (transformation) ได้ เป็นกระบวนการแรกๆ ที่เราต้องฝึกในการอบรมยกระดับการเรียนรู้ของปัจเจก การอบรมพัฒนาองค์กร (Organization Development) หรือในชั้นเรียนจิตตปัญญา ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกหัด ก่อนที่เราจะได้นำไปประยุกต์ใช้ในวิถีชีวิตประจำวัน

ก่อนที่จะเรียนแนวคิดทฤษฎี ก่อนที่จะเรียนเทคนิคขั้นสูง กระบวนการที่เราต้องฝึกก่อน คือ สังเกต สังเกต สังเกต

ที่เขียนสามคำ ไม่ใช่เพราะพิมพ์เกิน แต่เพื่อให้เห็นว่าการสังเกตที่ว่านี้แตกต่างจากการสังเกตอย่างที่เรามักจะคุ้นเคยกัน โดยเฉพาะในกระบวนการวิทยาศาสตร์ตะวันตกที่ตั้งอยู่บนแนวคิดเดการ์ต-นิวตัน

ปรมาจารย์ต่างๆ ข้างต้นล้วนให้ความสำคัญกับเรื่องการสังเกตและการรับรู้ รวมทั้งให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดกับผู้สังเกตด้วย

ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์พยายามสร้างเครื่องมือที่ขยายผัสสะการรับรู้ของเรา ให้เห็นไกลๆ เช่น กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล (Hubble) หรือเห็นของอนุภาคขนาดเล็กที่วิ่งด้วยความเร็วสูงๆ เช่น เครื่องชนอนุภาคขนาดใหญ่ (Large Hadron Collider, LHC) คนกลุ่มนี้เชื่อว่าเครื่องมือสำคัญที่สุดในการสังเกตคือตัวเราเอง ดังที่เกอเธ่เคยกล่าวไว้ว่า

“มนุษย์นั้นรู้จักตนเองเพียงแค่เท่าที่เขารู้จักโลก เขารับรู้ตัวเขาเฉพาะในขอบเขตของโลก และรับรู้โลกเฉพาะในขอบเขตของตัวเขา สรรพสิ่งใหม่ใดๆ หากได้เพ่งพิจารณาด้วยใจที่ใคร่ครวญแล้ว จะเกิดอวัยวะแห่งการรับรู้ใหม่ในตัวเรา”

อวัยวะใหม่ที่ปรากฏไม่ใช่เรื่องแปลก เราสามารถจัดเงื่อนไขปัจจัยที่เอื้อให้เกิดขึ้นเองได้ ไม่ต้องใช้เทคนิคพันธุวิศวกรรม อวัยวะแห่งการรับรู้ใหม่นี้น่ามหัศจรรย์ เพราะทำให้เราเข้าไปสัมผัสกับปัจจุบันขณะ กับความเป็นไปได้อันไม่จำกัด

หากไม่เกิดอวัยวะใหม่ เราก็สร้างและปฏิสัมพันธ์กับโลกในรูปแบบเดิม แม้จะดีขึ้นสักเพียงใดก็ตาม แต่ก็เป็นแบบเดิม ไม้บรรทัดที่วัดได้แต่ความยาว แม้จะยาวขึ้น ละเอียดขึ้น ก็เป็นไม้บรรทัด ไม่สามารถมองเห็นมุมใหม่ของเทอร์โมมิเตอร์ที่วัดอุณหภูมิ ตาชั่งที่วัดน้ำหนักได้

กระทั่งเรื่องยากๆ ที่สุดในชีวิต เรื่องความทุกข์ เดือดเนื้อร้อนใจ เราก็สามารถแปรเปลี่ยน (transform) ได้ด้วยอวัยวะใหม่ ผ่านการสังเกตมองความทุกข์ด้วยใจที่ใคร่ครวญ และอย่างเนิ่นนาน ง่ายๆ อย่างนี้เอง

แต่มนุษย์ก็ไม่กล้า หรือไม่สามารถ สังเกตให้เป็นและนานพอ อาจเพราะมัน “อยู่ยาก” เพราะไม่รู้ทิศรู้ทางว่าจะดูจะสังเกตไปทำไม หรือเพราะเราไม่มีเครื่องมือ เราจึงมักวิ่งหนีไปหาไปดูอย่างอื่นที่ “อยู่ง่าย” กว่า อย่างไปดูหนัง ฟังเพลง ชอปปิ้ง เที่ยว เล่นเกม fb อินเทอร์เน็ต แม้กระทั่งออกกำลังกาย แต่พอทำเสร็จกลับมา (แอบ) ดู โดยหวังลึกๆ ว่ามันจะหาย (ทุกข์) แต่ก็มักไม่ได้เป็นเช่นนั้น

แบบฝึกหัดง่ายๆ ของการฝึกสังเกต ฝึกขยายศักยภาพการรับรู้ ทางตา ทางหู ทางกาย ทางใจ โดยการปรับเรื่องมุมมอง ระยะทาง ระยะเวลา หรือทีท่าของใจที่ใส่ให้กับการสังเกต จึงมีผลต่อการรับรู้ ต่อการเรียนรู้ ต่อการอยู่ร่วมและดูแลความทุกข์ของเราอย่างไม่น่าเชื่อ

คนที่คิดว่าตนเองหรือคนอื่นเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เปลี่ยนแปลงยาก อาจเพียงเพราะเขาเหล่านั้นยังไม่เคยฝึกฝน เพื่อการเฝ้ามองอย่างเนิ่นนานด้วยใจที่ใคร่ครวญ ยังไม่เกิดอวัยวะใหม่ เท่านั้นก็เป็นได้