มีชีวิตใกล้ชิดกับความตาย


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ Happiness
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 4 พฤศจิกายน 2550


“ขอพระผู้เป็นเจ้าจงประทานพรให้ข้าได้มีความเยือกเย็นหนักแน่นในอันที่จะรับไว้ซึ่งสถานการณ์ที่ข้าไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ ขอให้ข้าได้มีกำลังใจที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ข้าสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ อีกทั้งขอให้พระองค์ได้ประทานปัญญาให้ข้าได้มองเห็นความแตกต่างระหว่างสองสภาวะนี้”

Archbishop Robert Alexander Kennedy, Runcie's Collection of Prayers, แปลโดย กรุณา กุศลาสัย


เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วเครือข่ายแผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ ที่บริหารจัดการโดยมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ และสนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้พากันไปทำกิจกรรมจัดการความรู้ เพื่อถอดบทเรียนและรู้จักซึ่งกันและกันระหว่างคนทำงานส่งเสริมสุขภาวะทางจิตวิญญาณ

แม้ว่าพวกเราจะต้องฟังเรื่องเล่าต่อเนื่องแบบมาราธอนเก้าโครงการ สิบกว่าชั่วโมง (คล้ายๆ ได้ไปทัวร์ยุโรปเจ็ดวัน แปดประเทศอะไรทำนองนั้น) แต่ก็ได้รับรู้และเรียนรู้เรื่องราวดีๆ ไม่น้อย

หนึ่งในโครงการที่นำเสนอในวันนั้น คือ โครงการเผชิญความตายอย่างสงบ โดยเครือข่ายพุทธิกา พี่ธวัชชัย โตสิตระกูลกระบวนกรของโครงการ เล่าให้ฟังว่าเขาเข้ามาเกี่ยวข้องทำงานด้านนี้เพราะภรรยาเคยเข้าร่วมอบรมเรื่องการเผชิญความตาย ระหว่างอบรมเธอก็มี SMS หวานแหววมาหา กลับมาก็ตรงเข้ามากอดพร้อมกับบอกว่า “รักพี่จัง” และหลังจากนั้นความสัมพันธ์ของครอบครัวที่ดีอยู่แล้ว ก็ยิ่งดีขึ้นอีก เธอแนะนำให้เขาได้ลองไปอบรมดู นัยว่าอาจจะอยากได้รับ SMS จากเขาบ้าง (ฮา)

กิจกรรมในการอบรมนั้นมีอยู่หลายอย่าง แต่ละกิจกรรมถูกจัดเรียงเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้เข้าไปใกล้ชิด ทำความคุ้นเคย จนกระทั่งเห็นว่าการตายไม่เพียงเป็นส่วนหนึ่งของการมีชีวิต แต่ยังเป็น “นาทีทอง” (ดังที่ท่านอาจารย์พุทธทาสเรียก) อีกด้วย เพราะเป็นโอกาสอันเยี่ยม ให้ผู้ที่กำลังจะจากไปได้เกิดการยกระดับทางจิตวิญญาณอย่างมาก และหากจัดการได้ดี ผู้ที่อยู่รายรอบก็สามารถเรียนรู้ได้เช่นกัน ดังเช่นที่มีผู้กล่าวไว้ว่า “หากรู้ว่าอยากจะตายอย่างไร เราก็จะรู้ว่าต้องใช้ชีวิตอย่างไร”

ระหว่างการอบรมหลวงพี่ไพศาล วิสาโล ท่านเล่าสู่กันฟังว่าความตายที่ดี หรือที่เรียกว่า “ตายดี” นั้น ทางโลกกับทางพุทธเขาอธิบายว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร มีการเขียนพินัยกรรม การได้คลี่คลายปมที่ตนเองเคยติดค้าง (เช่น คุณแม่บางคนลูกตายไปสิบกว่าปีแล้ว ยังไปปูผ้าปูที่นอนให้ลูกทุกคืน) กิจกรรมทดลองตาย กิจกรรมทดลองแจ้งข่าว (Break the news) ที่เรามักจะกระอักกระอ่วนใจว่าต้องพูดอย่างไร กิจกรรมทดลองเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย เพื่อที่จะได้ทราบว่าคนป่วยนั้นเขารู้สึกอย่างไร เราจะได้มีความสามารถในการดูแลเขาเหล่านั้นอย่างเป็นองค์รวมในทุกมิติ รวมถึงกิจกรรมไปเยี่ยมผู้ป่วยระยะสุดท้ายจริงๆ ในโรงพยาบาล ซึ่งก็ได้รับประโยชน์กันอย่างเต็มที่ทั้งผู้ให้และผู้รับ เพราะแท้จริงแล้วต่างก็ได้ให้สิ่งสำคัญอย่างยิ่งแก่กันและกัน

ปัจจุบันพี่ธวัชชัย ลาออกจากงานครึ่งเวลา เพื่อจะมาทำงานนี้ โดยขอรับเงินเดือนเพียงครึ่งเดียว แต่หน่วยงานก็เห็นความสำคัญ ยินดีให้มาทำตามต้องการ พร้อมจ่ายเงินเดือนเต็มอีกด้วย

ผมกลับบ้านพร้อมความประทับใจ นำเรื่องมาเล่าและชวนคุณแม่กับพี่สาวที่เป็นหมอให้ไปร่วมการอบรมของโครงการเผชิญความตายอย่างสงบด้วย ปรากฏว่าทั้งคู่สนใจมากครับ ไปกลับมาก็ประทับใจมาก (แต่ไม่เห็นได้ส่ง SMS มา (ฮา)) แถมมีเรื่องราวมาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมอีกไม่น้อย

สิ่งหนึ่งที่การอบรมช่วยให้ผู้เข้าร่วมได้เห็นคือ ความแตกต่างระหว่างสองสิ่งที่สำคัญมาก ดังเช่นที่อาร์กบิชอบเคนเนดี เขียนไว้ในบทสวดข้างต้น หรือที่เอพิกตีตัส (Epictetus) นักปรัชญาสายสโตอิก ชาวกรีก เขียนไว้ในหนังสือ Manual of Living ว่า “ความสุขและอิสรภาพเริ่มจากความเข้าใจอันแจ่มแจ้งถึงหลักการข้อหนึ่งที่ว่า บางสิ่งอยู่ภายในการควบคุมของเรา และบางสิ่งนั้นไม่ ต่อเมื่อคุณกล้าเผชิญกับบทบาทพื้นฐานและเรียนรู้ที่จะแยกแยะระหว่างสิ่งที่คุณสามารถและไม่สามารถควบคุมได้ ความสงบภายในและความมีประสิทธิภาพภายนอกจึงจะเป็นไปได้”

ชวนให้ผมนึกนิตยสาร Tzu Chi, Buddhism In Action ฉบับ Fall 2002 ที่ลงข้อความอันแสนจะเรียบง่ายแต่งดงามของลี เว่ย ฮวง (เรียบเรียงเป็นภาษาอังกฤษโดย เทเรซ่า จาง, แปลโดย อธิธัช สาทรกิจ) ชื่อ “ตัดสายป่าน” (Set the Kite Free)

“อย่าเสียใจหากมิได้อยู่เคียงข้างตอนฉันจากไป บางครั้งอบอุ่นใจที่มีเธอไม่เคยห่าง แต่บางครั้งต้องทุกข์ใจ ต้องพรากไป ใจสลาย มีสิ่งใดที่เธอยังค้างคาใจ หรือสิ่งใดที่อยากทำ จงทำเถิด เพื่อว่าหากวันใดฉันเกิดต้องจากไปกะทันหัน หากไม่บอก ทำไม่ทัน ตัวเธอนั้นอาจตรอมใจ ต้องทุกข์ใจที่สายเกิน หากวันใดรู้ว่าฉันหมดลมหายใจ จงปล่อยวาง และปล่อยฉันไป ในยามนี้ขอให้เธอรับรู้ไว้ สิ่งดีใดที่ได้ทำให้แก่ฉัน สิ่งดีนั้นล้วนแต่นำความปลื้มและสุขใจ ไม่เคยลืม ทั้งยามหลับและยามตื่นตลอดมา สุดท้ายนี้ขอให้เธอจดจำไว้ เมตตาธรรม คำสวดวอนขอพรที่ต้องการ สวดให้ฉันไปดีมีสุขเทอญ”


เพราะเมื่อเรารู้ว่าชีวิตที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นมีค่าและเปราะบางเพียงใด เราก็จะใช้ทุกวินาทีของมันอย่างไม่ประมาทนั่นเอง :-)

ทำแค่ใช่ ... ไม่ต้องมาก


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ จิตวิวัฒน์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 3 พฤศจิกายน 2550


จดหมายข่าวอิเลคทรอนิกส์ของสถาบันโนเอติกซายน์ (Institute of Noetic Sciences) เดือนตุลาคมนี้ มีการแนะนำให้สมาชิกไปดูคลิปวีดิทัศน์ของ แมรีแอนน์ วิลเลียมสัน นักอบรมชั้นนำคนหนึ่งของโลก เธอเขียนหนังสือขายดีติดอันดับหนึ่งของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์หลายเล่ม และเป็นหนึ่งในผู้ร่วมผลักดันให้มีการจัดตั้งกระทรวงสันติภาพในประเทศสหรัฐอเมริกา

ในคลิปวิดีโอหนึ่งนาทีนั้น แมรีแอนน์เชิญชวนกึ่งท้าทายให้ผู้ดูร่วมเป็นหนึ่งในประชากรสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกได้ เธออ้างถึงงานวิจัยของนักสังคมศาสตร์ที่บอกว่าการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในสังคมโลกหลายครั้งเกิดขึ้นได้ด้วยการที่มีผู้ที่เชื่อ ต้องการ และเปลี่ยนแปลงก่อนเพียงจำนวนหนึ่ง โดยยกตัวอย่างการเรียกร้องสิทธิเลือกตั้งของสตรีในอังกฤษ และการต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศสหรัฐอเมริกาจากอังกฤษ เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนไม่ต้องมีผู้ต่อสู้เรียกร้องถึงครึ่งหนึ่งของประชากร แต่มีจำนวนที่ “เพียงพอ” โดยเธอบอกว่าเพียงสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์เท่านั้น

ตัวเลขนี้ตั้งอยู่บนความเชื่อเรื่อง มวลวิกฤต (Critical Mass) ซึ่งเป็นศัพท์แสงทางสังคมศาสตร์พลวัตร อธิบายถึงการมีอยู่ของโมเมนตัมของระบบสังคมที่สามารถขับเคลื่อนตัวเองและขยายเพิ่มได้ ขออนุญาตยกตัวอย่างเพื่อประกอบความเข้าใจ เช่น ในเมืองใหญ่ หากมีคนๆ หนึ่งหยุด แล้วแหงนมองดูท้องฟ้า คนอื่นๆ รอบข้างก็จะยังคงเดินไปเรื่อยๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หากมีคนหยุดสักสามสี่คน อาจจะมีบางคนที่สงสัย หันกลับมาดูพวกที่ดูฟ้า แล้วอาจเดินต่อ แต่เมื่อมีคนจำนวนมากพอแหงนหน้าดูท้องฟ้า ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่มากนักในกรณีนี้ (ขึ้นกับหลายปัจจัย) เช่น ประมาณหกถึงเจ็ดคนเท่านั้น คนอื่นๆ ก็จะหยุดแล้วแหงนหน้ามองดูเหมือนกัน จำนวนนี้แหละครับ เรียกว่า มวลวิกฤต

เอาเป็นว่าคุณแมรีแอนน์ เธอท้าให้คนที่เปิดดูคลิปเปลี่ยนแปลงตนเองเสีย จะได้เพิ่มจำนวนผู้เปลี่ยนแปลงไปให้ถึงสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ครับ เธอบอกว่าหากตัวเราเองยังไม่เปลี่ยนแปลงก่อน ก็อย่าไปอ้างเลยว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงได้

ผมอยากจะเพิ่มเติมว่า อันที่จริงแล้วเราไม่ต้องรอถึงสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์หรอก (ซึ่งสำหรับประชากรโลก ณ วันนี้ สัดส่วน ๑๑ เปอร์เซ็นต์ของหกพันหกร้อยสามสิบกว่าล้านคน ก็ตกราวๆ เจ็ดร้อยสามสิบล้านคน) เพราะจิตของเราแต่ละคนที่เข้าถึงความจริง ก็สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้

ในมนุษย์จำนวนหกพันหกร้อยสามสิบกว่าล้านชีวิตนี้ แต่ละคนก็ล้วนแต่มีจิตที่คิดสร้างโลกขึ้นมา มีประสบการณ์และสร้างการดำรงอยู่ของตัวตนเราในโลกทางกายภาพนี้ทั้งสิ้น

โลกนั้นดำรงอยู่ในจิตของเรา และเราแต่ละคนต่างเลือกว่าจะมีประสบการณ์ต่อมันอย่างไร สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราทำ ล้วนก่อประกอบขึ้นเป็นโลกทางกายภาพตามแบบที่เราอยากจะมีประสบการณ์

เราจึงอาศัยอยู่ในโลกแห่งมายาการ ความรู้สึกที่เรามีต่อวัตถุทุกชนิดล้วนเป็นความรู้สึกที่เรามีต่อความสัมพันธ์ของสนามหรือคลื่นพลังงาน เป็นความรู้สึกที่จิตเราแปลผลตีความขึ้นมา และด้วยเหตุที่เราล้วนมีประสบการณ์ต่อมายาการนี้ร่วมกัน เราก็มักคิดตีขลุมเหมาเอาว่าเรานั้นอยู่บนโลกใบเดียวกัน เราเลือกที่จะเชื่อว่าโลกมีอยู่นอกเหนือจากการสร้างของเรา แต่แท้จริงแล้ว โลกนั้นมันอยู่ในจิตของเราเอง

ความพยายามใดๆ ที่เรากระทำเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น อาจเป็นความพยายามที่เปลืองแรง ไปจนถึงขั้นสูญเปล่า เพราะเป็นการไปแก้ไขปรับเปลี่ยนโลกทางกายภาพที่เราต่างสร้างขึ้นและให้ความหมายตีความแตกต่างกัน ในเมื่อโลกเกิดขึ้นและดำรงอยู่ภายในใจของเราเองแล้ว การเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ควรเริ่มต้นจากตัวเรา เริ่มขึ้นในใจตัวเอง

ตัวอย่างเช่น เรื่องสันติภาพ สันติภาพนั้นมิได้เข้าถึงได้ด้วยการพยายามสร้างให้สันติภาพเกิดขึ้นในโลก หากแต่สันติภาพที่แท้จริงนั้นเข้าถึงได้ผ่านการตระหนักรู้ว่าสันติภาพนั้นมีอยู่แล้ว อยู่ในโลกของคนทุกคน และเส้นทางการเข้าถึงนั้นมีการเดินทางเข้าสู่ด้านในตนเองเป็นบาทฐานสำคัญ

หากหญิงหรือชายใดได้มีสันติในเรือนใจแล้ว ทุกสิ่งที่เธอหรือเขาทำออกมาไม่ว่าด้วยกายหรือวาจาย่อมไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำย่อมถูกกระทำด้วยสันติวิธี (นั่นย่อมรวมถึงการพยายามสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลกด้วย)

อีกทั้งสันติภาพนั้นมิได้เข้าถึงได้ด้วยการพยายามไปเปลี่ยนคนอื่น ความพยายามอันบริสุทธิ์ใจในการสร้างงาน สร้างกิจกรรม สร้างโครงการเกี่ยวกับการส่งเสริมสันติภาพเป็นความพยายามอันน่าชื่นชม หากแต่ต้องชวนผู้คิดและดำเนินการโครงการเหล่านั้นได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่าเข้าถึงสันติภาพภายในตนแล้วหรือยัง หรืออย่างน้อยได้ใช้งานเป็นโอกาสในการเดินทาง ฝึกฝน และเรียนรู้ในการเข้าถึงสันติภาพที่แท้จริงหรือไม่ เพราะหากโลกภายในไม่มีสันติภาพแล้ว กิจกรรมต่างๆ ก็เป็นเพียงความพยายามอันไปไม่ถึงดวงดาว เป็นกิจกรรมที่ได้แต่รูปแบบ ขาดหัวใจ สาระ หรือจิตวิญญาณของสันติภาพ

โจทย์ของคนทำงานเรื่องสันติภาพหรือสมานฉันท์ รวมทั้งงานเพื่อการเปลี่ยนแปลงยกระดับสังคมไปสู่การมีจิตใหญ่ ดังเช่น จิตวิวัฒน์ จิตตปัญญาศึกษา พัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ ตลอดจนสุขภาวะทางจิตวิญญาณ/ทางปัญญา จึงมีหลายชั้น หนึ่งคือต้องทำการบ้านกับตนเองก่อน หนึ่งคืองานและชีวิตของคนทำงานควรเป็นบทพิสูจน์ของการเดินทางเข้าสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับเรื่องที่ทำในทุกระดับ ในทุกมิติ และอีกหนึ่งที่สำคัญคือต้องพยายามสื่อสารให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าใจว่า เป้าหมายภายในนั้นสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเป้าหมายภายนอก เราไม่สามารถทำงานเรื่องจิตวิวัฒน์โดยไม่ใช้กระบวนการจิตวิวัฒน์ได้

โดยเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องในฐานะผู้กำหนดนโยบายหรือผู้ให้ทุน ความตั้งใจที่อยากจะให้เรื่องดีงามแพร่ขยายกระจายไปทั่วแผ่นดินนั้นก็เป็นกุศลเจตนาที่ควรยกย่อง ทว่าจะต้องไม่กระทำอย่างผิวเผินเหมือนกับผลิตสินค้าให้ได้จำนวนมากที่สุดในราคาต่ำสุดและใช้เวลาสั้นที่สุด

ความท้าทายอยู่ที่เราจะทำอย่างไรให้ชีวิตเป็นเรื่องของความปรกติ เป็นเรื่องความสมดุลของการพัฒนาทางกาย ใจ และจิตวิญญาณ ผสมผสานงาน ครอบครัว และสังคมอย่างพอดี และให้การทำงานเป็นการปฏิบัติธรรมในทุกขณะจิต

ต้องเข้าใจว่าความคาดหวังและคำถามที่ว่า “เปลี่ยนได้กี่คนแล้ว” เพื่อจะได้ถึง ๑๑% เสียทีนั้น ต้องเริ่มนับหนึ่งจากตนเองก่อนเสมอ


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ มหาสมุทรแห่งปัญญา
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 14 ตุลาคม 2550


“สิ่งที่กำลังจะได้เรียนรู้ร่วมกันในไม่กี่สัปดาห์ต่อไปนี้ อาจจะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ กับพวกเธอเลยก็ได้”

หลังจากผมเอ่ยทักนักศึกษาครั้งแรกที่เราเจอกันเช่นนี้ ห้องที่เด็กๆ คุยกันแซ่ดเป็นนกกระจอกแถวตลาดสดแตกรังก็เงียบลง นักศึกษาดูงงๆ เล็กน้อย โดยมากคงคิดในใจว่า “อืมม์ ... ก็คงใช่แหละ เพราะที่ฉันเรียนมาตั้งสิบกว่าปีก็ไม่เห็นจะได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย” (ฮา)

ผมอธิบายเพิ่มเติมว่า ที่ว่าไม่เกิดประโยชน์นั้นไม่ใช่ในแง่ที่เขามักคิดว่า “เรียนอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นได้เอาไปใช้” อย่างที่มักบ่นให้ได้ยินกัน แต่เป็นเพราะมนุษย์จำนวนมาก มากอาจจะเกือบหมดโลกนี้ รวมถึงพวกเขา หรือรวมถึงผมด้วย อาจต้องตายไปเร็วๆ นี้

ยิ่งเมื่อผมเล่าตัวอย่าง และนำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ให้ดูสนับสนุนคำพูดของผม ทั้งห้องก็ดูตกใจและเงียบงันลงไปอีกครั้ง โดยเรื่องและภาพที่ผมแบ่งปันให้พวกเขาดูก็เป็นหลักฐาน เป็นประจักษ์พยานโดยตัวมันเอง ไม่ต้องการให้ผมไปปกป้องไปเถียงแทนแต่ประการใด

ภาพของธารน้ำแข็งที่หดหายไปทุกปีๆ ไม่ว่าจะธารน้ำแข็งเซาท์แคสเคด รัฐอลาสก้า สหรัฐอเมริกา กรีส์ในสวิตเซอร์แลนด์ หรือ พาตาโกเนีย ในอาร์เจนตินา-ชิลี หรือหิ้งน้ำแข็งที่ละลายและถล่มอย่างต่อเนื่อง ทำเอานักศึกษาที่โลกปรกติหมุนวนหมุนเวียนแค่ระหว่างหอพักกับอาคารบรรยายได้เปิดกว้างขึ้น และทำให้เขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่กำลังได้รับผลกระทบในเวลาไม่ช้า

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมมักเริ่มวิชาชีววิทยาเบื้องต้น สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ ๑ ด้วยการบอกเล่าเรื่องราวสุขภาพของโลกในปัจจุบันเช่นข้างต้น ว่าโลกเรานั้นป่วยแค่ไหน สาเหตุคืออะไร และเราจะทำอะไรกับมันได้อย่างไรบ้าง

ผมว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ความรับผิดชอบทางวิชาการ แต่เป็นความรับผิดชอบทางจริยธรรมด้วย ที่นักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะนักชีววิทยาต้องเตือนมนุษย์ว่า “กรรมติดจรวด” ในแง่สิ่งแวดล้อมนั้นมีจริง ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ลบหลู่หรือไม่ลบหลู่ก็ตาม

ในวิชาชีววิทยาเบื้องต้น เราเริ่มเรียนรู้กันจากเรื่องวิวัฒนาการ ตามด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ พฤติกรรม นิเวศวิทยา สิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ แต่ละหัวเรื่องถูกออกแบบให้สอดคล้องไหลเลื่อนเคลื่อนที่เชื่อมโยงกันเป็นดั่งคลื่นในมหาสมุทร ขณะเดียวกันก็เหมือนมาลัยที่บรรจงจัดวางแต่ละดอกไว้อย่างมีความหมาย อย่างสมเหตุสมผล

เริ่มด้วยเรื่องวิวัฒนาการ เรารู้จักโลกว่ามีอายุยืนยาวกว่าสี่พันหกร้อยล้านปี สี่พันหกร้อยล้านปีนะครับ ว่ากันว่าระยะเวลายาวขนาดนี้เรานึกกันไม่ออกหรอกครับ แต่ถ้าจะเทียบกันกับมนุษย์ที่เพิ่งจะโผล่มาบนโลกได้แค่สี่ถึงห้าล้านปีนี้ (นับเอาจีนัส Homo ที่เริ่มสร้างเครื่องมือได้) ให้อุปมาว่าหากความยาวตั้งแต่หัวไหล่ถึงปลายนิ้วของเราเป็นอายุของโลกแล้ว หากเราเอาตะไบเล็บปาดเข้าที่ปลายเล็บของเราครั้งหนึ่ง เศษขี้เล็บที่หลุดออกไปนั่นน่ะครับ ... มนุษย์เรา เราเพิ่งจะปรากฏกายบนโลกกลมๆ ใบนี้ได้เสี้ยวหนึ่งของโลกและจักรวาลนี้เท่านั้น แต่มักจะคิดว่าฉันนี่แหละเจ้าของโลกใบนี้ โลกนี้มีอยู่ก็เพื่อให้ฉันใช้ ถึงขนาดนั้นก็มี

จากนั้นเราพูดคุยกันต่อถึงการกำเนิดชีวิต โดยทฤษฎีหลักตอนนี้ที่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกกำเนิดจากสิ่งไม่มีชีวิต จากแต่ก๊าซโมเลกุลเล็กๆ อยู่กับน้ำร้อนกับรังสีอุลตราไวโอเล็ต ต่อมาเกิดเป็นสารอินทรีย์ โมเลกุลใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเป็นสิ่งมีชีวิตเซลเดียว กว่าจะเกิดขึ้นก็อาศัยเวลาพันกว่าล้านปีนะครับ เมื่อสามพันกว่าล้านปีที่แล้ว จากเซลเดียวก็กลายมาเป็นหลายเซล ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งโลกเรามีความหลากหลายทางชีวภาพมากมายอยู่อย่างในปัจจุบัน

ที่ว่าหลากหลายนั้นมากมายสักแค่ไหนหรือครับ ว่ากันว่าโลกเรามีสิ่งมีชีวิตประมาณ ๕-๓๐ กว่าล้านชนิดหรือสปีชีส์ นักวิทยาศาสตร์บางคนว่ามากกว่านั้นอีกมาก แม้ว่าจำนวนชนิดทั้งหมดจะยังไม่รู้เป็นที่แน่ชัด แต่ที่รู้กันค่อนข้างแน่คือจำนวนที่เรารู้จักแล้ว มีการจำแนกและให้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ (เช่น มนุษย์ คือ Homo sapiens) นั้น มีอยู่แค่หนึ่งล้านห้าแสนเท่านั้น โดยเป็นแมลงเสียครึ่งหนึ่ง ผมมักจะถามว่าใครอยากมีสิ่งมีชีวิตที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ตั้งตามชื่อตนเองบ้าง นักศึกษาเกือบทั้งหมดจะตอบว่าใช่ ผมก็จะยืนยันว่าโลกมีสิ่งมีชีวิตให้ทุกคนในชั้นเรียนอย่างแน่นอน คนละหลายๆ ตัวเสียด้วย

ต่อด้วยนิเวศวิทยาที่ทำให้เรารู้จักว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ไม่เว้นแม้แต่สิ่งเดียว มีความน่าทึ่งอย่างเหลือหลาย เช่น หอยบางชนิดเกิดในปล่องน้ำพุร้อนใต้ทะเลลึก อุณหภูมิหลายร้อยองศาเซลเซียส ไม่เคยเห็นแสงมาก่อนเลย แมลงบางชนิดจำศีลอยู่ใต้ดินแล้วโผล่ขึ้นมาผสมพันธุ์แล้วตายทุกๆ ๑๗ ปี แล้วก็นับปีไม่เคยพลาดเสียด้วย กบที่ออสเตรเลียก็จำศีลใต้ทะเลทรายได้ถึงเจ็ดปีทีเดียว สิ่งที่น่าประทับใจเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ คือ ความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตรอบๆ ตัวมันด้วย เช่น หมัดที่อาศัยรูจมูกนกฮัมมิ่งเบิร์ดในการเดินทางระหว่างดอกไม้

มาถึงขั้นนี้ เราได้รู้ความเป็นมาอันยาวนานของทุกชีวิตบนโลก ความหลากหลายงดงาม และความสมดุลของการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน พร้อมๆ กับได้รู้ว่า ชีวิตจำนวนมากนี้กำลังสูญพันธุ์อย่างรวดเร็ว ด้วยอัตราเร็วถึง ๑๐๐-๑,๐๐๐ เท่าของปกติ หรือประมาณชั่วโมงละอย่างน้อย ๓ ชนิดที่สิ้นจากโลก

สิ่งที่เรากำลังเรียนกันอยู่ในวิชานี้จึงไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าเกือบทุกชีวิตบนโลกกำลังจะหายไป น้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลาย และหายนะจากภาวะโลกร้อนกำลังมา ซึ่งความเป็นจริงก็คือไม่ใช่แค่ “กำลังจะมา” แต่เรากำลังอยู่ในวิกฤตแล้ว เพียงแต่ช่วงนี้เป็นโหมโรงให้เราได้ตายใจเท่านั้น ทิม แฟลนเนอรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการสูญพันธุ์และการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลกชาวออสเตรเลีย เพิ่งออกมาให้ข่าวว่า ระดับของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกที่นักวิทยาศาสตร์เคยประมาณการกันในโมเดลที่เป็นกรณีที่เลวร้ายที่สุด (worst case scenario) สำหรับอีกสิบกว่าปีข้างหน้าว่าคือ ๔๕๕ ส่วนในล้านส่วนนั้น ค่านั้นได้เลยไปแล้วตั้งแต่กลางปี ๒๕๔๘ “ไม่ใช่ปีหน้าหรือทศวรรษหน้า แต่มันเป็นตอนนี้แล้ว” เขากล่าว

ยามเมื่อน้ำท่วมอย่างถาวร ไม่เพียงแต่กรุงเทพ แต่ภาคกลางทั้งหมด ยามเมื่อเปลือกโลกเคลื่อนตัวอย่างรุนแรงมหาศาล ทุกคนจะเข้าใจดี แม้ว่ามันจะสายเกินไป

ความรู้ทางเทคนิคเหล่านี้แทบจะไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับนักศึกษาและเราทุกคนเลยครับ ถ้ายังไม่เห็นว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่กำลังป่วยหนัก และตระหนักว่ามนุษย์เรานี่เองที่เป็นต้นเหตุของภัยพิบัติ

เนื้อหาและเรื่องราวชีววิทยาที่เรียนกันมา จึงไม่ใช่เพียงแค่ความรู้ติดตัวไว้ใช้ประกอบอาชีพต่อไปหลังจบการศึกษาเท่านั้น แต่ต้องได้ซึมซับเข้าไปในหัวใจ ได้ชื่นชมความงามของโลกและชีวิต และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งบนโลกที่สิ่งมีชีวิตใหญ่น้อยอยู่ร่วมกัน ถ้าเพียงแค่ท่องจำแล้วนำไปสอบให้ผ่าน เราก็กำลังพลาดเป้าหมายสำคัญของวิชานี้ไปเสียแล้ว

สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับพวกเขาเหล่านั้นที่กำลังเรียนก็คือ ... ก็เป็นไปได้ที่ว่าสิ่งที่เธอจะได้เรียนแล้วไม่เกิดประโยชน์ แต่ถ้าหากมนุษยชาติและโลกจะร่วมกันผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ ก็ต้องเป็นเพราะมีคนที่เข้าใจ เห็นความเชื่อมโยงของตนเองและทุกๆ สรรพสิ่งรอบตัว ในระดับที่วิทยาศาสตร์กลไกไม่ได้สอนพวกเขา ... บางทีสิ่งที่พวกเขาเรียนวันนี้อาจเป็นสิ่งที่โลกอนาคตต้องการและเป็นเงื่อนไขของการอยู่รอดของพวกเราทั้งหมดก็ได้ :-)


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ มหาสมุทรแห่งปัญญา
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 7 ตุลาคม 2550


เชื่อไหมครับว่าการฟังเป็นสิ่งมหัศจรรย์มากอย่างหนึ่งของคนเรา? ในที่นี้ผมไม่ได้หมายถึงการได้ยินนะครับ (แม้ว่าการได้ยินจะเป็นคุณสมบัติที่มหัศจรรย์มากเช่นกัน) เพราะว่าการฟังเป็นเครื่องมือในการสืบค้นและสร้างความรู้ที่มนุษย์เราคุ้นเคยมากที่สุดอย่างหนึ่ง เราสามารถรับรู้ เรียนรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกและโลกภายในได้อย่างมหาศาลหากเรา “ฟังเป็น”

สิ่งที่เรา “ฟัง” ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเสียงเสมอไปจริงไหมครับ? นอกจากเสียงแล้วเรายังสามารถฟังความคิดของเราเองและผู้อื่นได้ การฝึกภาวนาของสำนักต่างๆ ครูบาอาจารย์หลายท่านก็แสดงอรรถาธิบายว่าไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการฝึกความสามารถในการ “ฟังเฉยๆ” โดยไม่ต้องไปทำอะไรกับมันอีกแล้ว

ศิลปินเอกของโลกหลายคนเล่าประสบการณ์ความรู้สึกของตนว่า ก่อนที่เขาจะสร้างสรรค์งานชิ้นเอก ไม่ว่าจะเป็นดนตรี จิตรกรรม หรือประติมากรรม ก็ต้องทำจิตให้นิ่งเพื่อให้สามารถ “ฟังอารมณ์” ของตนเองได้ ไม่เว้นแม้แต่คนที่ฝึกฝนมวยจีน ไท้เก๊ก ไท่ฉีฉวน ต่างก็ล้วนต้องฝึก “ฟังพลัง” เช่นกัน

ทั้งๆ ที่การฟังนั้นช่างมหัศจรรย์และมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด แต่ดูเหมือนว่าทุกวันนี้พวกเรากลับมีความสามารถนี้จำกัดจำเขี่ยเหลือเกิน หลายคนเป็นโรค “หูดับ” คือ ได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง (Hearing but not listening) รู้สึกคุ้นๆ กันไหมครับ โรคนี้ บ้างก็มีอาการแบบรุนแรง บ้างก็เป็นแบบเรื้อรัง บ้างก็ทั้งรุนแรงและทั้งเรื้อรัง เล่นเอาคนรอบข้างปวดขมองไม่น้อย

โรคนี้ระบาดหนักในกลุ่มคนผู้คิดว่าตนเองเก่ง และมีความรู้มาก ยิ่งที่องค์กรไหนมีพนักงานประเภทดังว่ามากๆ ด้วยแล้วยิ่งน่าเห็นใจนะครับ เมื่อเร็วๆ นี้ มีพี่สาวผู้บริหารของบริษัทด้านสิ่งแวดล้อมท่านหนึ่งไต่ถามมาว่าจะมีกระบวนการดีๆ อะไรให้กับเหล่าทีมงานเจ้าหน้าที่บ้าง เพราะสำหรับที่บริษัทแล้วนั้น เรื่องความสามารถ เรื่องการผลิต ล้วนแล้วแต่ไม่ได้มีปัญหาอะไรนัก แต่ทว่ามีเรื่องการสื่อสารระหว่างกันนี่แหละครับ ที่ดูจะยากเอาการ แล้วปรากฏการณ์ดังว่าก็ไม่ใช่เกิดขึ้นแต่ในบริษัทเอกชนนะครับ ในกลุ่มผู้นำ ในกลุ่มครูอาจารย์นี่ก็ไม่ย่อยเช่นกัน

แหม ถ้าเราแก้โจทย์เรื่องการฟังได้ก็คงจะดีไม่น้อยนะครับ เพราะทำให้การทำการบ้านเรื่องการสื่อสารนั้นเสร็จไปแล้วเกินครึ่ง และลองคิดดูว่าชีวิตเราจะมีความสุขแค่ไหน หากตัวเราและคนใกล้ตัวของเราทั้งที่บ้าน ทั้งที่ทำงานให้ความสำคัญ และสามารถฟัง สามารถสื่อสารได้อย่างสร้างสรรค์

ไม่น่าแปลกใจเลยครับที่การฝึกอบรมหลายหลักสูตรถึงได้เน้นเรื่องการฟังเป็นอย่างมาก ดังเช่น สุนทรียสนทนา (Dialogue) ซึ่งในกระบวนการช่วงแรกไม่ได้ให้ความสำคัญกับวิธีการพูด มากเท่ากับการวางท่าทีของการฟัง ให้เป็นการฟังอย่างลึกซึ้ง ฟังเพื่อฟัง ฟังโดยไม่คอยต่อประโยคคนที่พูดกำลังพูด ไม่คาดเดาว่าจะได้ยินอะไรต่อ ฟังโดยห้อยแขวนการตัดสินเอาไว้ก่อน ไม่ประเมินว่ากำลังใช้เวลาในเรื่องที่คุ้มค่าต่อการฟังหรือไม่

กระบวนการหนึ่งซึ่งให้ความสำคัญกับการฟังเป็นอย่างมาก และผมเห็นว่าเป็นกิจกรรมง่ายๆ น่าสนใจ ผมให้ชื่อกิจกรรมนี้เองว่า “หันหลังฟังเพื่อน” ครับ ผมได้เรียนรู้มากมายจากกิจกรรมการฟังนี้ระหว่างที่เข้าร่วมงานจิตตศิลป์ (Arts as Dialogue) กับอาจารย์ ยาคอฟ นะออร์ (Yaacov Naor) ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา และการละครจากประเทศอิสราเอล คนที่แนะนำกิจกรรม “คุณคือใคร?” นั่นแหละครับ

รูปแบบวิธีการก็ดูง่ายๆ ไม่ซับซ้อนครับ เราแบ่งกันออกเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละประมาณห้าคน โดยเลือกจับกลุ่มเอาเองตามอัธยาศัย จากนั้นก็นั่งล้อมกันเป็นวงกลม แล้วเพื่อนๆ สมาชิกในวงก็จะเลือกใครคนหนึ่งในวงขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนา หรือเขาคนนั้นจะอาสาเลือกตัวเองขึ้นมาก่อนก็ได้ ทุกคนที่เหลือจะได้พูดถึงเพื่อนคนนี้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะด้านดี ด้านร้าย โดยตลอดช่วงเวลาแห่งการกล่าวถึงนี้ คนที่ถูกพูดถึงต้องนั่งหันหลังให้กับวง ไม่อนุญาตให้หันหน้ากลับเข้ามาในวง ห้ามส่งเสียงใดๆ ไม่ว่าจะโต้ตอบคัดค้านหรือยอมรับ แต่ละคนต้องหันหลังฟังเพื่อนอย่างนี้ไปตลอด ๑๕ นาที เวียนไปอย่างนี้จนทุกคนในวงถูกยกมาพูดถึงจนครบ

กระบวนกรบอกแต่ต้นก่อนแยกกลุ่มกันแล้วว่า เวลาที่คนอื่นๆ ในวงพูดถึงเพื่อนคนนั้น ขอให้พูดอย่างหมดเปลือก คิดเสียว่าเขาไม่อยู่ที่นั่น ไม่จำเป็นต้องพยายามมีมารยาท หรือพูดแต่เรื่องราวดีๆ “ทำเสมือนว่าเรากำลังพูดลับหลังเขา” ขณะที่เรากำลังจะเลือกว่าจะอยู่กลุ่มไหนกับใครนั้น เขาก็สำทับอีกว่า “ขอให้เลือกอยู่ในกลุ่มเดียวกับคนที่คุณอยากได้ยินความเห็นของเขา แทนที่จะเลือกอยู่ในกลุ่มเดียวกับคนที่คุณอยากพูดถึง”

วิธีการ “ดูเหมือน” จะง่ายๆ แต่ก็มีเงื่อนไขปัจจัยสำคัญที่จะทำให้กระบวนการออกมาดีอยู่นะครับ เช่นว่าองค์ประกอบของผู้คนที่เข้าร่วม สภาพบรรยากาศ หรือความสามารถของกระบวนกรในการแนะนำและสรุป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟังเพื่อนที่ถือได้ว่าเป็นกัลยาณมิตรก็ช่วยให้เราได้เห็นภาพสะท้อนของตัวเราในสายตาเขา บางเรื่องอาจเป็นสิ่งที่เราก็น่าจะรู้อยู่แล้วแต่ยากจะทำใจยอมรับมันได้ หลังจากจบกระบวนการนี้ บางคนอาจบอกว่าได้ใช้ความอดทนและปล่อยวางเวลาได้ฟังคนอื่นพูดถึงตนและรู้ว่ามันไม่จริงอย่างไร เพราะไม่อยู่ในสถานภาพที่จะโต้แย้งหรืออธิบายอะไรได้

แต่หัวใจสำคัญของการหันหลังฟังเพื่อนนี้ยังมีอะไรมากกว่านั้นครับ คงไม่ใช่ฟังเพื่อให้รู้ว่าคนอื่นคิดกับเราอย่างไร ไม่ได้เป็นไปเพื่อให้เราได้ปรับตัวตามความคาดหวังของเขาได้ แต่เป็นการฟังเพื่อการรับรู้ และเข้าใจโลก เข้าใจว่าโลกและตัวเรานั้นมีมากมายหลายแบบ ความเป็นเราไม่ได้มีเพียงคนเดียว แต่มีเราในสายตาเพื่อน มีเราในความคิดของเพื่อน มีเราอีกหลายต่อหลายคนในตัวคนอื่น และความเป็นเราแบบต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่ถูกต้องทั้งหมดตามเงื่อนไขของบริบท

เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเราและสิ่งที่เพื่อนๆ ของเราได้สะท้อนออกมาไม่ว่าจะถูกหรือผิด มันไปกระทบใจทำให้ใจของเราฟูขึ้นหรือแฟบลง หัวใจสำคัญของกระบวนการอยู่ที่ว่าเราควรได้รู้สึกตัว ทำความรู้สึกตัวให้ชัด ถือเอาโอกาสที่ไม่อาจโต้แย้ง สื่อสารแสดงสีหน้าต่อผู้พูดได้นี้ เป็นโอกาสได้สังเกตการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและการกระเพื่อมไหวของจิตใจ ได้รู้ว่าข้อคิดเห็นของเพื่อนๆ นั้น ทำให้เกิดผลอย่างไรในใจและในร่างกายของเรา

ระหว่างที่คำชมผ่านเข้ามา เรารู้สึกถึงเลือดที่สูบฉีดไปใบหน้าและหัวใจเต้นแรงไหม ขณะที่คำวิจารณ์วิพากษ์หลุดออกมา สังเกตเห็นไหมว่าเรากำลังตัดสินคำพูดนั้นด้วยความโกรธ ด้วยความกลัว ด้วยความเปราะบาง หรือหวั่นไหวไปด้วยความรัก เราอาจหัวเราะ มีน้ำตาซึม หรือแค่เฉยๆ แต่ทั้งหมดนี้เราได้รู้ตัวหรือเปล่า?

หลังจบกิจกรรมหันหลังฟังเพื่อนแล้ว สิ่งที่เราได้จากการหันหน้ามาคุยแลกเปลี่ยนกันต่อจากนั้น คือ การค้นหาตัวเอง มากกว่าการแก้ตัวว่าเราใช่หรือไม่ใช่อย่างที่เขาคิดเขาเข้าใจ เพราะความเป็นตัวเราจริงๆ แล้วก็ไม่มีหนึ่งเดียวที่ใช่ตัวเราจริงๆ เลย มีแต่ตัวเราตามความเข้าใจของเรา ตามความเข้าใจของเขา ตัวเราที่เราอยากจะเป็น ที่เขาอยากให้เราเป็น ที่เราไม่อยากจะเป็น หรือแม้แต่ตัวเราที่เขาไม่อยากให้เราเป็น

หันหลังฟังเพื่อนพูดถึงเราบ้าง เปิดทั้งหู เปิดทั้งใจให้กว้างเข้าไว้ รับฟังทั้งเสียงภายนอก ทั้งเสียงภายใน เราไม่เพียงได้ฟังเสียงของร่างกายและจิตใจซึ่งเกิดปฏิกิริยาต่อคำพูดความเห็นเท่านั้นแล้ว เรายังจะได้โอกาสสังเกต รู้จัก และยอมรับตัวเองในแง่มุมต่างๆ นานาด้วยนะครับ :-)


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ มหาสมุทรแห่งปัญญา
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 30 กันยายน 2550


ว่ากันว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่มีความรู้ตัวว่า “ฉันคือใคร” รู้ว่าฉันเป็นฉัน และฉันนั้นต่างจากคนอื่นๆ อย่างไร

และว่ากันว่าเจ้าความรู้เนื้อรู้ตัวนี้เอง ที่ก่อให้เกิดเรื่องเกิดราวต่างๆ มากมายขึ้นในโลกนี้

ความสามารถในการรู้ตัวคือองค์ประกอบอันเป็นบาทฐานสำคัญของความสามารถก้าวข้ามการมีชีวิตอยู่แค่ตามสัญชาตญาณและเวียนว่ายตายเกิดไปได้ แต่ในอีกด้านหนึ่ง เจ้าความคิดว่าตนเองเป็นใครบางคน หรือเป็นอะไรบางอย่างนี่เอง ก็เป็นที่มาของความทุกข์ เพราะเรามักจะไป “ยึด” ติดว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นคนนั้นคนนี้อย่างเป็นจริงเป็นจังเกินเหตุ

อยากจะรู้จักความคิดว่าเราเป็นนู่นเป็นนี่มากขึ้นไหมครับ เราลองมาทำกิจกรรมง่ายๆ กันดูครับ

กิจกรรมการเรียนรู้นี้ทำได้ไม่ยาก เพราะไม่ต้องมีเครื่องมืออุปกรณ์อะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่จับคู่กัน หาเพื่อนหรือคนรู้จักที่เราไว้วางใจมากๆ สักคนหนึ่ง นั่งลงหันหน้าเข้าหากัน สบตาเอาไว้ แล้วให้เขาคนนั้นถามเราว่า “คุณคือใคร?” ส่วนเราก็ตอบคำถาม เขาจะต้องถามคำถามเดียวกันนี้ไปเรื่อยๆ และเราก็ตอบไปเรื่อยๆ แค่นี้เอง ทว่าคำตอบต้องไม่ซ้ำเดิม จะบอกว่าเป็นผู้ชาย เป็นคนขยัน เป็นต้นไม้ เป็นความเศร้า เปรียบเทียบหรืออุปมาอย่างไรก็ได้ทั้งนั้นครับ

เพียงแต่ว่าเวลาเราจะตอบคำถามว่าฉันเป็นอะไรออกไป ก็ขอให้เราได้ตอบอย่างจริงๆ จังๆ ใช้ช่วงเวลาที่ถูกถามอย่างต่อเนื่องนั้นได้สืบค้นเข้าไปข้างในตัวในหัวเราก่อน หาเจอแล้วค่อยตอบว่าฉันคือใคร ไม่ต้องรีบร้อนตอบให้ผ่านๆ ไปนัก ตอบด้วยความซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตนเอง ด้วยความจริงใจ เปิดเผยและจริงจัง

ส่วนเพื่อนคนถามก็ต้องไม่พูดตอบโต้ หรือให้ความเห็นอะไรเลยครับ แค่ฟังไว้เฉยๆ และสบสายตาไว้ไม่ละสายตาไปจากกัน ถามต่อไปอีกว่า “คุณคือใคร?” โดยไม่ทำเล่นๆ นะครับ ให้เกียรติกับคำตอบของเพื่อน ถามตอบกันอยู่อย่างนี้ประมาณ ๑๐ นาทีครับ

เมื่อครบเวลาแล้วลองผลัดกันกับเพื่อนในการทำหน้าที่ถามกลับดูบ้างครับ ทางเราเป็นฝ่ายถามบ้างแล้วให้เขาตอบ ไม่ต้องเร่งคำถามให้กระชั้นนักครับ แต่ก็ไม่ทอดยาวจนเยิ่นเย้อ

เสร็จกระบวนการถามคำถามแล้วขอให้เราทบทวนบันทึกบางคำตอบของเราที่รู้สึกว่ามันใช่หรือว่า “โดน” สักจำนวนหนึ่ง ไม่ว่าเราจะรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่ดี เป็นคำตอบที่เราเองก็ประหลาดใจ หรือคำตอบอะไรก็ตามที่ติดอยู่ในใจ แล้วลองดูถ้อยคำเหล่านั้นว่าเราเห็นอะไรจากกระบวนการบ้างไหม

ไม่น่าเชื่อว่าคำถามง่ายๆ เพียงคำถามเดียว กับกระบวนการพื้นๆ ทำให้เกือบทุกคน (หรือทุกคนเลยก็ว่าได้) พูดกับตนเองว่า “โห ... นี่ฉันหรือเนี่ยะ!” คำถามเดียวนี่แหละครับ สามารถพาเราไปยังดินแดนที่เรารู้จักแต่ไม่คุ้นเคย ดินแดนที่เราอาจไม่รู้ว่ามีอยู่ หรือไม่ก็ดินแดนที่ไม่อยากจะรู้ว่ามีอยู่ (ฮา)

ผมได้เคยลองทำกระบวนการนี้มาสองสามครั้งแล้วครับ ซึ่งแต่ละครั้งก็แตกต่างกันออกไปไม่น้อยครับ โดยครั้งล่าสุดนี้อยู่ในประชุมเชิงปฏิบัติการ Arts as Dialogue กับอาจารย์ ยาคอฟ นะออร์ (Yaacov Naor) ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตตศิลป์ จิตวิทยา และการละครจากประเทศอิสราเอล

ตอนแรกคิดว่าเคยทำแล้วก็คงรู้สึกคล้ายๆ กับที่ผ่านๆ มากระมัง แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยครับ คงเป็นเพราะองค์ประกอบของคนที่เข้าร่วม โดยเฉพาะคู่ของเรา ความพร้อมของเราทั้งสองคน จังหวะย่างก้าวในการเดินทางในชีวิตของเรา ประเด็นหรือเรื่องราวหลักที่ติดอยู่ในใจเรา ณ ช่วงเวลานั้นๆ และอื่นๆ อีกมากมายครับ

คำถามกว้างๆ ที่ทำให้เราตอบเกือบจะอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อ เป็นนามสกุล เป็นอายุ เป็นอาชีพ เป็นลำดับครอบครัววงศาคณาญาติต่างๆ หลังจากค่อยๆ ละเลียดตอบคำตอบแบบพื้นๆ ไปจนเกือบหมด ก็ชักเริ่มรู้สึกถึงความยากของคำถาม

ยิ่งการที่คู่ของเราถามอย่างต่อเนื่อง ทำให้บางครั้งเราอาจคิดไม่ทัน บางคำตอบออกมาจากความรู้สึกชั่วแล่น หรือบ้างก็หลุดออกมาจากอารมณ์ในเวลานั้น สิ่งที่เผยออกมาจากปากของเราไม่ใช่เพียงแค่คำตอบ แต่เหมือนตัวตนของเราถูกลอกออกไปทีละชั้นๆ อย่างที่เราอาจไม่ต้องตั้งใจ ไม่ต้องพยายามมากเกินไป

จากช่วงแรกๆ ของกิจกรรม เราอาจพบว่าคำตอบที่เราบอกไปยังอยู่ในระดับความคิดที่ผ่านการคำนวณร้อยแปดแล้วว่าสิ่งนี้ดี พูดแล้วดูดี เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ยอมรับได้ เป็นสิ่งที่ฉันอยากเป็น (ส่วนจะเป็นจริงหรือไม่นั้นอีกเรื่องหนึ่ง) จนต่อมาก็เริ่มมีคำตอบที่เป็นความรู้สึก เป็นอารมณ์ เป็นสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของเราถูกเปิดเผยหลุดออกมา

การพยายามตอบเป็นการทำให้เราได้กลับมาตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้งว่าเราเองนั้นคือใคร คืออะไร โดยในแต่ละชั่วขณะของการพูดคุยเป็นประตูบานวิเศษที่เราอาจผ่านเข้าไปรู้จักตนเองมากขึ้น ว่าเรานั้นนิยามตัวเองว่าอะไร ในความรู้ตัว และในความไม่รู้ตัว หรือไม่ทันตั้งตัวก็ว่าได้

ทุกๆ ขณะที่เราตอบ เชิญชวนกึ่งท้าทายให้เราสงสัยว่าเรายังเป็นสิ่งเดิมที่ตอบไปเมื่อชั่วครู่หรือไม่ ยังเป็นคนเดิมที่เหมือนเดิมทุกประการ หรือเป็นคนเดิมที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว อาจมีบางขณะที่เรารู้สึกว่าเราทั้งเป็นและไม่เป็นสิ่งที่เราเพิ่งจะตอบไปในเวลาเดียวกัน

เพราะในชั่วเวลาไม่กี่วินาทีที่เราเพิ่งกำหนดความเป็นตัวตนของเราลงไป ว่าเราคือใคร เราเป็นอะไร คำถามว่า “คุณคือใคร?” ก็กลับมาใหม่ ให้เราได้ค้นหาอีกครั้ง เหมือนว่าเป็นการพยายามทิ้งตัวตนที่เพิ่งสร้างไป แล้วขุดค้นหาความเป็นตัวตนใหม่ไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ

กระบวนการมันชวนให้เราฉุกคิดและใคร่ครวญว่า เราเป็นสิ่งที่เราให้คำตอบไปจริงหรือไม่? (แม้ว่าเราจะจริงใจมากๆ ก็ตาม) แล้วอะไรที่ทำให้เราเป็นหรือไม่เป็นดังว่า หากเราคิดว่าเราเป็นบางคนหรือบางอย่าง แล้ว คนอื่นไม่เห็นด้วยล่ะ ความคิดของใครถูกกันแน่ เป็นไปได้ไหมที่ถูกต้องทั้งสองคนหรือหลายคนก็ตาม

หรือว่าแท้จริงแล้วเราเป็นเพียงแค่ทะเลแห่งความเป็นไปได้จำนวนอเนกอนันต์ รอคอยการสังเกต การสัมผัส การเรียกขาน การทำให้ตัวตนของเราอุบัติขึ้น? :-)


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ มหาสมุทรแห่งปัญญา
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 23 กันยายน 2550


ท่านจะลืมความทุกข์ยากของท่าน
ท่านจะจดจำมันได้เหมือนน้ำที่ได้ไหลผ่านพ้นไป

- โยบ 11:16


ผมดูข่าวเครื่องบินลื่นไถลจากทางวิ่ง เห็นภาพไฟไหม้ ผู้คนบาดเจ็บและเสียชีวิตมากมายด้วยความรู้สึกพิเศษ คำว่า “เกินบรรยาย” ดูจะตรงกับสิ่งที่ผุดขึ้นในใจไม่น้อย อาจเป็นเพราะผมหวนนึกถึงประสบการณ์เมื่อคราวที่ผมต้องบินกลับมาเมืองไทย เนื่องด้วยพี่สาวเป็นหนึ่งในผู้โดยสารเครื่องบินตกที่สุราษฎร์ธานีเมื่อหลายปีมาแล้วนั้น เหตุการณ์มันดูเร็วไปหมด ทั้งครอบครัวเราต้องช่วยกันคิดตัดสินใจและดูแลเรื่องกฎหมาย พิธีฌาปนกิจ และอื่นๆ อีกทั้งงานบวชของตัวผมเองด้วย

แม้ว่าเทียบกันกับเหตุการณ์เมื่อเก้าปีก่อนซึ่งผมแทบไม่เห็นภาพข่าวอะไรในเวลานั้นเลย แต่ข่าวอุบัติเหตุที่ภูเก็ตคราวนี้มีรายงานออกรายการโทรทัศน์กันทุกๆ ช่อง ทุกๆ ชั่วโมง พาดข่าวทุกๆ หัวหนังสือพิมพ์ มันฉุดดึงและเชิญชวนให้ผมกลับมาสำรวจความรู้สึกตนเองอีกครั้ง เหมือนได้กลับมาที่เดิม ที่ไม่ใช่ที่เดิม

แล้วก็คงไม่ใช่สำหรับผมคนเดียวแน่นอน ยังมีคุณแม่ คุณอา พี่สาว พี่ชาย ...

อาจารย์คนหนึ่งที่อเมริกาซึ่งผมเคารพได้บอกผมว่า “มันเป็นเรื่องที่ทำใจลำบาก สำหรับพ่อแม่ที่ต้องไปงานศพของลูก” ก็คงจะจริง เพราะดูเหมือนโลกของคุณแม่มืดมนไปอย่างมาก หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ไปใหม่ๆ หลายต่อหลายครั้งที่คุณแม่ยืนนิ่งไปแล้วก็น้ำตาซึม

ยิ่งเมื่อคราวที่คุณพ่อเสียด้วยแล้ว ผม “นึก” ไม่ออกว่าการสูญเสียคนที่เคยอยู่ใกล้ชิดด้วยกันร่วมครึ่งศตวรรษนั้นมันหนักหนาสาหัสประการใด ช่วงนั้นคุณแม่ดูหงอยเหงาเศร้าซึม ไม่อยากฟังแม้บทสวดมนต์ที่เคยเปิดให้คุณพ่อในช่วงสุดท้าย โลกของคุณแม่ดูขาดๆ หายๆ อะไรไป

แต่หลังจากนั้นผ่านไประยะหนึ่ง เมื่อได้ผ่านช่วงเวลาแห่งการ “ไว้ทุกข์” ที่ไม่ใช่แค่พิธีกรรมข้างนอก แต่เป็นการวิถีอันศักดิ์สิทธิ์ภายใน คุณแม่เริ่มมีกิจกรรมใหม่ๆ ที่สามารถทำคนเดียวได้ เช่น ปลูกต้นไม้ ไปเข้าค่ายอบรมสมาธิสมถะวิปัสสนาสายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอานาปานสติที่สวนโมกขพลาราม หรือยุบพองที่ยุวพุทธิกสมาคม คุณแม่ก็ดูสดใสขึ้นทีละนิดๆ แถมช่วงหลังยังติดตามลูกๆ ไปงานเสวนาและเวิร์กชอปต่างๆ บางครั้งก็ไปเองคนเดียว แม้ว่าแม่จะไม่เคยเรียนเขียนอ่านหนังสือมาเลยก็ตาม

เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ พวกเราลูกๆ ช่วยกันคะยั้นคะยอให้คุณแม่ไปฟิตเนส ต้องใช้เทคนิคต่างๆ ไม่น้อยครับ เราเลือกสถานที่ออกกำลังกายซึ่งมีสระว่ายน้ำในร่ม เพราะท่านคงวิ่งบนเทรดมิลล์หรือปั่นจักรยานไม่ไหวแน่ ช่วงแรกเราก็ไปว่ายด้วยกัน ท่านก็จะกลัวๆ กล้าๆ เพราะว่ายน้ำไม่เป็น กลัวจมบ้าง กลัวน้ำเข้าปากบ้าง

เดี๋ยวนี้หรือครับ ไปเองแล้วครับ ไปทุกวันเลย วันไหนไม่มีใครไปส่งก็ขึ้นรถแท็กซี่ไปเองได้ ว่ายได้ทั้งเดินหน้า ถอยหลัง สนุกสนานเอิ๊กอ๊ากใหญ่ ตอนนี้เธอเลยมีก๊วนเกิร์ลลี่แก๊งรุ่นใหญ่ในสระด้วย คุยกันกระหนุงกระหนิงเป็นที่ครื้นเครงน่ารัก

โลกของคุณแม่ที่เดิมมีแต่เรื่องการสูญเสีย การขาดหายไปพร่องไป ก็ค่อยเปลี่ยนผ่าน เปลี่ยนไปตามสามัญธรรมดาของธรรมชาติ ทุกวันนี้คุณแม่สวดมนต์วันละเกือบร้อยจบ ออกกำลังกายวันละเกือบชั่วโมง เจริญทั้งสติ เจริญทั้งอาหาร หลับก็สบาย แถมครอบครัวเรายังสามารถพูดคุยกันเรื่องความเจ็บป่วยและความตายได้อย่างปรกติธรรมดาอีกด้วย

ผมเชื่อว่าความทุกข์อันยิ่งใหญ่ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ภูเก็ตนั้นเป็นความรู้สึกจริงๆ ผมขอร่วมแสดงความเสียใจด้วย และเป็นกำลังใจให้ทุกคนได้ก้าวเดินต่อ เพราะ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเรา ไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่เพียงใด ล้วนแล้วแต่จะผ่านพ้นไป

คุณหมออภิชัย มงคล แห่งกรมสุขภาพจิต บอกว่าจากการวิจัยเอกสารพบว่าจิตใจของมนุษย์จะเผชิญความเสียใจร้ายแรงในระยะสั้นๆ หนึ่งถึงสองอาทิตย์ก็ปรับจิตใจได้

ดูเหมือนเข้ากันได้กับเรื่องของอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งท่านเคยไปเยี่ยมคุณหมอคนหนึ่งผู้ประสบอุบัติเหตุหนัก สมาชิกครอบครัวเสียชีวิตในเหตุการณ์เดียวกันหลายคน คุณหมอนอนจมอยู่ในความทุกข์ทางกายและทางใจ อาจารย์ท่านกล่าวว่า “ไม่เคยมีใครเสียใจจนตาย” (ยกเว้นจากอาการอื่นๆ ข้างเคียง) คำพูดนี้ช่วยทำให้คุณหมอท่านนั้นได้สติ และกลับมามีชีวิตใหม่ มีอนาคตอันแจ่มใส อยู่ในความเป็นปัจจุบันอันอุดมไปด้วยความโอบอุ้มและการเยียวยา

มากมายหลายครั้งที่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นในชีวิตของเรา แต่ผู้คนจำนวนไม่น้อยก็ยากจะยอมรับและเผชิญได้ บางคนทุ่มเทเวลาให้กับงาน บางคนละทิ้งสิ่งแวดล้อมเดิมๆ หลีกเลี่ยงไม่มองไม่พูดถึงสิ่งที่จะทำให้ย้อนคิดถึงเหตุการณ์นั้น อาจเพราะความรู้สึกโศกเศร้ามันรุนแรงและหนักหน่วงเกินกว่าจะดำเนินชีวิตไปตามปรกติประจำวันเช่นเคยได้

เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องร้ายนั้นเกิดขึ้นไปแล้ว และเกิดขึ้นจริงๆ เช่นเดียวกันกับความรู้สึกเสียใจซึมเศร้าซึ่งเกิดขึ้นในใจเรา ผมคิดว่าเราควรพร้อมยอมรับและเผชิญกับมันตรงๆ ไม่มีความจำเป็นต้องหลีกเลี่ยง พยายามลืม หรือหาเรื่องอื่นเข้ามาเติมถมลงไปในความคิดให้ไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับความเศร้า เพราะการได้อยู่ในอารมณ์ได้ปลดปล่อยความรู้สึกสูญเสีย เป็นขั้นตอนสำคัญของการเปลี่ยนผ่านจากอดีตไปสู่อนาคต

ในฐานะคนรอบข้าง เราก็ไม่ควรบังคับหรือเร่งให้ใครเลิกโศกเศร้าเสียใจ ด้วยว่าแต่ละคนต่างมีหนทางและการเดินทางเป็นของตนเอง หากจะช้าหรือเร็วก็ขึ้นกับคนผู้นั้นเอง คนรอบข้างจึงควรได้ช่วยดูแลเขาในระยะเวลาแห่งความเศร้าให้ข้ามผ่านพ้นสภาวะนั้นไปได้ด้วยดี ประคับประคองสุขภาพกาย เกื้อหนุนการดำเนินชีวิตแต่ละวันให้ลุล่วงไปได้โดยไม่ทำร้ายตัวเอง

วัฒนธรรมของมนุษย์เรามีพิธีกรรมต่างๆ ช่วยเยียวยาและพาเราผ่านสถานการณ์สูญเสียไปได้ แม้ปัจจุบันโลกหมุนไวไปสู่สังคมสมัยใหม่ แต่ก็มีความรู้ว่าด้วยการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย การรักษาเยียวยาจิตใจของญาติ โดยกลุ่มคนต่างๆ ร่วมกันทำงาน ทั้งพระ บุคลากรสุขภาพ กระบวนกร นักฝึกอบรม ร่วมกันเป็นกลุ่ม เป็นเครือข่าย ดังเช่น งานของเครือข่ายพุทธิกา เป็นต้น ใจความสำคัญของความรู้เรื่องนี้ก็เป็นเช่นกันกับพิธีกรรมคือการได้เข้าใจความรู้สึกของตนและถือเอาความโศกเศร้านี้เป็นสะพานข้ามผ่านไปสู่วันใหม่

อดีตที่เจ็บปวดจึงไม่ควรถูกกลบฝังไปด้วยการละเลยความรู้สึก แต่เราต้องเผชิญกับความทุกข์ในใจ ยอมให้ได้สัมผัสกับความรู้สึกของตัวเอง จนกระทั่งยอมรับและพร้อมสำหรับการพบวันใหม่ ให้เป็นช่วงเวลาที่ได้ปลดปล่อยตัวเองออกจากอดีตอย่างเข้าใจปัจจุบันไปสู่อนาคตต่อไป


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ มหาสมุทรแห่งปัญญา
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 16 กันยายน 2550


เมื่อเร็วๆ นี้ ผมเพิ่งได้ไปเยี่ยมผู้ต้องหาซึ่งถูกฝากขังในเรือนจำครับ แปลกใจเหมือนกันที่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก เพราะดูเหมือนคนใกล้ชิดที่คุ้นเคยทั้งหลายดูจะมีแนวโน้มได้แวะเวียนเข้าไปหลายคน แต่ก็มักเป็นด้วยเหตุผลจากการทำเรื่องดีๆ ทั้งนั้นนะครับ

เธอและเขาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนจำพวกที่มีความกล้าเหนือมนุษย์ปรกติทั่วไป กล้ายืนหยัดแสดงความกล้าหาญทางจริยธรรม ต่อสู้เพื่อความถูกต้อง เพื่อความดีงามของสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิในฐานทรัพยากรหรือสิทธิของชนกลุ่มน้อย ชนชายขอบต่างๆ

สาเหตุที่ทำให้ผมได้ไปเรือนจำนั้นเป็นเพราะรุ่นพี่ที่สนิทสนมนับถือชอบพอกันมาก เขาได้เข้าไปนอนอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครอยู่นานเกือบสัปดาห์

ด้วยความที่เป็นครั้งแรก ผมจึงเกิดอาการงงๆ ว่าเขาต้องทำอย่างไรบ้าง ทำอะไรก่อนหลัง จะต้องลงชื่อในบัตรแจ้งเยี่ยมญาติหรือไม่ ต้องรอตรงไหน ซื้อกับข้าว อาหาร ขนม เป็นของฝากอย่างไร ดีที่กระบวนการไม่ยากเย็น จึงใช้เวลาไม่นานในการจัดหาข้าวเหนียว หมูเค็ม ปลาสลิด กุนเชียง เงาะ ลองกอง มะม่วงและอื่นๆ เป็นเสบียงสำหรับวันเสาร์-อาทิตย์ที่ห้ามเยี่ยม

แม้จะอยู่เยี่ยมได้ไม่นาน แต่ก็รับรู้ถึงความขัดแย้ง ความคับข้องของบรรยากาศ มันช่างเป็นสภาพการณ์และพื้นที่ซึ่งตึงเครียดมาก อาจจะเป็นสถานที่อันมีความเขม็งเกร็ง ขัดแย้งกันมากที่สุดแห่งหนึ่งของมนุษยชาติ ขัดแย้งระหว่างความเชื่อในเมล็ดพันธุ์แห่งโพธิภายในมนุษย์แต่ละคนกับรูปธรรมของการกระทำที่เราได้พบเห็น ขัดแย้งระหว่างหน้าที่ของระบบที่มีเพื่อจำกัดเสรีภาพกับจิตวิญญาณและเจตจำนงอิสระของมนุษย์ หรือขัดแย้งระหว่างความรู้สึกของผู้ได้รับความเสียหายกับความรักความผูกพันของครอบครัวของผู้ต้องหา

การไปเยือนสถานที่อย่างนี้ยังทำให้ผมหวนนึกถึงรุ่นน้องอีกคนหนึ่ง เธอมีความสามารถในการคลี่คลายความขัดแย้งโดยเฉพาะความขัดแย้งในใจของผู้คน เธอเป็นนักจิตบำบัดผู้สนใจทำงานช่วยเหลือนักโทษประหาร โครงการวิจัยระดับปริญญาเอกที่เธอเคยเสนอคือการเข้าไปช่วยให้คนเหล่านี้ได้สงบจิตสบายใจในช่วงท้ายของชีวิต

ขณะที่อาจารย์บางคนในคณะกลับวิจารณ์งานนี้ว่าไม่น่าทำ เพราะท่านเห็นว่ามันเสียเวลา อีกไม่นานคนเหล่านี้ก็จะไปแล้ว สู้เอาเวลามาช่วยคนที่จะยังอยู่ อย่างงานจิตวิทยาในเด็กยังจะดีกว่า

ผมทึ่งและประทับใจในความมุ่งมั่นและจิตใจของเธอ เพราะเธอไม่ขอทำงานวิจัยที่ไม่ได้เป็นผลงานอันมาจากความคิดและความพยายามของเธอเอง แม้ว่าจะเป็นงานขั้นสุดท้ายที่จะได้สำเร็จการศึกษาก็ตาม สุดท้ายเธอก็เลือกลาออกจากคณะ เพื่อแสดงจุดยืนทางความคิดและวิชาการของตัวเอง

ส่วนรุ่นพี่คนที่ผมไปเยี่ยม เขาก็ต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่อย่างเรือนจำเหมือนกัน สาเหตุนั้นก็มีที่มาจากการมีจุดยืนอีกเช่นกัน เพราะในช่วงที่สถานการณ์บรรยากาศทางการเมืองของประเทศไทยยังอยู่ใต้กฎอัยการศึก เขาก็ได้เลือกที่จะแสดงจุดยืนทางการเมืองของเขา

“เสรีภาพของคนเรานั้นมี ๒ อย่าง คือ เสรีภาพทางความคิด และเสรีภาพทางกาย การที่ผมอยู่ในนี้แม้จะถูกจำกัดเสรีภาพทางกาย แต่ไม่ได้ถูกจำกัดเสรีภาพทางความคิด และก็เป็นการเลือกด้วยตนเอง ผมได้เลือกแล้ว จากนี้ก็เป็นหน้าที่ของแต่ละคนข้างนอก ที่จะต้องเลือกว่าจะใช้สิทธิและเสรีภาพของตนเองอย่างไร”

พี่เขาผู้ซึ่งทำงานอาสาสมัครมาต่อเนื่องยาวนาน ยังกล่าวเสริมอีกด้วยว่า “นี่เป็นงานอาสาสมัครที่ท้าทายที่สุด มากกว่าทุกๆ ครั้ง” หลังจากหยุดคิดพักหนึ่ง “บางคนอาจไม่เรียกว่าเป็นงานอาสาสมัครนะ แต่ผมขอเรียกว่าผมอาสาตัวเองเข้ามาตรงนี้ละกัน”

ผมตั้งคำถามกับตนเองว่า คนเหล่านี้เขาเลือกที่จะทำหรือไม่ทำอะไรบางอย่างนั้น เขาเลือกในฐานะอะไร? อะไรเป็นเกณฑ์คุณค่าและบรรทัดฐานในการตัดสินใจของเขา ไม่ว่าจะในกรณีรุ่นน้องที่แสดงจุดยืนทางวิชาการ หรือในกรณีรุ่นพี่ที่แสดงจุดยืนทางการเมือง

คำถามนี้ทำให้ผมนึกถึงท่านทะไลลามะ ผู้เป็นประมุขทางศาสนาและเป็นผู้ปกครองทิเบต ดินแดนหลังคาโลกที่ผู้คนล้วนศรัทธาในพระพุทธศาสนา ต่อมาเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศจีน ทิเบตจึงถูกรัฐบาลจีนส่งกำลังทหารเข้ายึดครอง ผนวกรวมดินแดนแห่งนี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ

จุดเปลี่ยนนี้เองที่ทำให้ท่านซึ่งยังเยาว์วัยในเวลานั้น ต้องหลีกลี้ภัยออกมายังเมืองธรรมศาลา ในประเทศอินเดีย นับจากนั้นเป็นต้นมา ท่านได้เผยแพร่คำสอนมากมายให้แก่โลก ขณะเดียวกันก็เป็นสัญลักษณ์และตัวแทนการเรียกร้องสันติภาพและความสงบสุขให้กลับคืนสู่ทิเบต

ต่อคำถามว่าด้วยการเลือกในฐานะอะไรนี้ ท่านเคยกล่าวไว้ว่า การตัดสินใจกระทำการสิ่งใดๆ ท่านจะพิจารณาตามฐานะที่ท่านเป็น เพราะในเวลาเดียวกันที่ท่านเป็นคนทิเบต ท่านยังคงมีสถานภาพฐานะเป็นลามะหรือพระด้วย และแน่นอนที่สุดคือ ท่านเป็นมนุษย์ เป็นส่วนหนึ่งของมนุษยชาติ

ท่านกล่าวว่าในฐานะประชาชนคนทิเบต ท่านย่อมต้องมีความคิด และการกระทำที่สอดคล้องเหมาะสม สามารถแสดงจุดยืนเกี่ยวกับประชาชนและประเทศทิเบต

แต่การแสดงออกของท่านก็ไม่ใช่ว่าจะไร้ขอบเขต ไม่มีขีดจำกัด เพราะหากต้องสูญเสียเลือดเนื้อชีวิตผู้คนเพื่อต่อสู้ให้ได้มาซึ่งเสรีภาพในการปกครองตนเองของทิเบตแล้ว ท่านก็ไม่คิดกระทำ เพราะในฐานะที่เป็นพระ ท่านก็มีวินัยสงฆ์กำกับ การแสดงออกอะไรที่ไม่เหมาะสม ท่านก็พึงละเว้นงดเว้นเสีย

ท่านทะไลลามะยังไปไกลกว่านั้นด้วยการบอกว่า สิ่งที่ท่านเป็นยิ่งกว่าสิ่งใดๆ นั่นคือ ท่านมีฐานะเป็นมนุษย์ หากมีสิ่งไหนเรื่องราวใดต้องตัดสินใจ แล้วเป็นทางเลือกซึ่งขัดกับพื้นฐานของความเป็นมนุษย์เสียแล้ว ท่านก็จะไม่กระทำ

ผมนึกย้อนกลับไปถึงรุ่นพี่รุ่นน้องทั้งสองคนนั้นอีกครั้งว่า เขาเห็นตัวเองเป็นอะไรในตอนที่เขาเลือก?

ส่วนผมก็ได้เลือกแล้วเช่นกัน ผมเลือกที่จะไปเยี่ยมรุ่นพี่คนนี้ที่เรือนจำ ผมคิดว่า ความคิดเห็น ความเชื่อ หรือจุดยืนทางการเมือง หรือจุดยืนทางอาชีพ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะไม่ใช่จุดยืนหลักที่ผมใช้ในการตัดสินใจไปในกรณีนี้ :-)


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ มหาสมุทรแห่งปัญญา
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 2 กันยายน 2550


ระหว่างการประเมินสองแบบที่คุณมาการ์เร็ต วีตเลย์ เธอได้อธิบายเอาไว้นี้ “การประเมินด้วยมาตรฐาน” ดูจะเป็นรูปแบบที่พวกเราคุ้นเคยกันดี จริงไหมครับ? เพราะตั้งแต่เล็กจนโตเราคงได้มีประสบการณ์เคยทำข้อสอบแบบปรนัยให้เลือกข้อใดข้อหนึ่ง หรือยากขึ้นไปอีกนิดก็เป็นข้อสอบอัตนัยที่ตั้งคำถามมาให้เราเขียนตอบอธิบาย

ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับข้อสอบแบบปรนัยหรืออัตนัย สุดท้ายเราต้องเลือกคำตอบ หรือเขียนคำตอบ ให้ตรงตามเฉลยที่ตั้งไว้แต่ต้นแล้วให้มากที่สุด (อยู่ดี) และแน่นอนว่าข้อสอบนี้ต้องเกิดจากการคิดการออกแบบและตั้งคำถามโดยครูอาจารย์ และท่านผู้รู้เหล่านี้แหละจะนำคำตอบของเราไปเทียบกับคำเฉลยเพื่อ “ประเมิน” ว่าเรามีความรู้แค่ไหน มีความสามารถเพียงไร

วิธีสอบคุ้นๆ กันดีแบบนี้แหละครับ “การประเมินด้วยมาตรฐาน”

สำหรับแบบที่สองชื่อว่า “การประเมินที่มีชีวิตด้วยวงจรป้อนกลับ” นั้น คุณมาการ์เร็ต วีตเลย์ ไม่ได้ตั้งชื่อนี้ขึ้นมาลอยๆ ครับ มันมีส่วนต่างกันตรงที่เธอเห็นว่าการประเมินแบบนี้มีพื้นฐานอยู่บนความเชื่อในเรื่องการเจริญเติบโต ความสามารถในการปรับตัว และการมีพัฒนาการของของชีวิต

เอ ... แล้วการสอบแบบแรกไม่มีชีวิตหรืออย่างไร? ความหมายไม่ได้ตรงไปตรงมาว่าคนออกข้อสอบและคนทำข้อสอบไม่มีชีวิตไม่มีหัวจิตหัวใจ แต่กระบวนทัศน์ที่เป็นพื้นฐานสำหรับการวัดประเมินด้วยมาตรฐานนั้นมีที่มาจากวิทยาศาสตร์กลไก เราจึงให้ความเชื่อมั่นกับสิ่งที่วัดค่าได้แน่นอน ควบคุมจัดการได้ มีเป้าหมายที่ชัดเจน และต้องการให้กระบวนการดำเนินไปตามที่คาดการณ์

ฉะนั้น คำถามปรนัยในแบบแรกจึงต้องมีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว และคนตอบห้ามทะลึ่งเขียนคำตอบเป็นอย่างอื่นนอกเหนือไปจากทางเลือก ก. ข. ค. ง. 4 ข้อนี้ที่จัดให้ หรือบางวิชาในบางคณะ อาทิ คณะแพทยศาสตร์ ก็อาจมีตัวเลือกที่วิจิตรพิสดารมากขึ้นไปอีก เช่น ก., ข., ค., ถูกทั้ง ก. และ ข., ถูกทั้ง ก. และ ค., ถูกทั้ง ข. และ ค., ถูกทั้ง ก. ข. และ ค., หรือ ผิดทั้งหมด

ถึงจะเปิดอิสระเพิ่มขึ้นเป็นอัตนัย แต่เมื่อเป็นการประเมินด้วยมาตรฐาน คนตอบก็ต้องพยายามเขียนไปตามลำดับและให้คำตอบตรงกันกับคำเฉลยที่มีไว้ล่วงหน้าแล้ว

ไม่ใช่ไม่ดีหรอกครับ แต่ไม่ได้เหมาะกับทุกเรื่อง ถ้าเป็นการวัดคุณลักษณะของสิ่งของสถานที่ล่ะก็ใช่เลย หาความสูง ชั่งน้ำหนัก วัดอุณหภูมิ หรือจะวัดความรู้ในเชิงความจำอย่างสูตรคูณ ชื่อบุคคลสำคัญ การคำนวณทางคณิตศาสตร์ อย่างนี้คือสอบแบบการประเมินด้วยมาตรฐาน

ย้อนไปดูการประเมินที่มีชีวิตด้วยวงจรป้อนกลับกันอีกทีว่าเป็นอย่างไร ผมเคยเล่าไว้แล้วว่าการวัดประเมินแบบนี้ให้ความสำคัญกับบริบทเรื่องราว เพราะความมีชีวิตของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน แทนที่จะกำหนดใช้มาตรฐาน การสอบแบบนี้ก็จะเปิดช่องไว้สำหรับการรับรู้ ชื่นชม ให้คุณค่ากับนวัตกรรมใหม่ ความคิดสร้างสรรค์ ความฝันจินตนาการ สิ่งที่ทำให้เราร้อง “ว้าว” ด้วยความทึ่ง ความประหลาดใจว่า “อืมม์ ... เนอะ ... คิดได้ไงเนี่ย!”

สิ่งเหล่านี้ถ้าใช้การประเมินด้วยมาตรฐานจะมองไม่เห็นเลยครับ เพราะเชื่อว่าการทำซ้ำและการคาดการณ์ได้เป็นเรื่องสำคัญและมีคุณค่า อะไรที่อยู่นอกเหนือคำเฉลย (ของครู) หรือมาตรฐานที่ตั้งไว้ (ในตำรา) อาจถูกพิจารณาว่าเป็นสิ่งผิดพลาด หรือเป็นตัวก่อกวนในระบบไปเสียอีก

ตัวอย่างชัดๆ เมื่อเร็วๆ นี้ ในงานเสวนา “Creativity: Key to Success” จัดโดยนิตยสาร Modern Mom วิทยากรทุกท่านเห็นพ้องต้องกันว่า การไม่เปิดให้เด็กแสดงความเห็นนอกกรอบ ต้องเป็นไปตามหนังสือตำรา หรือตามคำบอกเล่าของครู ดังที่พบมากในการศึกษาบ้านเรานั้น ล้วนไม่เอื้ออำนวยต่อการแสดงความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก

การประเมินที่มีชีวิตฯ จึงเป็นอีกกระบวนทัศน์สำหรับการสอบที่ให้ความสนใจต่อการเจริญเติบโต สร้างสรรค์และปรับตัว ดังนั้น การตั้งคำถามจึงมีลักษณะเปิดกว้างพร้อมจะรับข้อมูลคำตอบจากทุกๆ ด้าน การให้ความหมายต่อเรื่องใดๆ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะวิวัฒนาการก้าวไป เพราะถ้ากำหนดให้หยุดนิ่งหรือแน่นอนตายตัวเมื่อไหร่ นั่นแหละครับจึงเป็นลักษณะของเครื่องจักรกลไก เป็นระบบที่เราต้องการความแน่นอน มีการทำงานแบบเดิมซ้ำๆ ไม่ต้องเติบโตและไม่ปรับตัว

ประการสำคัญอีกอย่างที่ลืมไม่ได้คือ การปรับตัวของชีวิตนั้นเป็นพัฒนาการ และชีวิตจะวิวัฒนาการร่วมไปกับสิ่งแวดล้อม การสอบในมุมมองนี้จึงเป็นส่วนสำคัญสำหรับการเรียนรู้เพื่อปรับปรุงพัฒนาตัวเอง ภายในบริบทสังคมและสิ่งแวดล้อมของผู้เรียน

เด็กๆ ในป่าชุมชนจึงไม่จำเป็นต้องท่องชื่อสามัญทางวิทยาศาสตร์ของแมลงไว้เพื่อตอบข้อสอบ แต่ควรจะได้รู้จักชื่อท้องถิ่นและนิสัยของแมลงนานาชนิดที่เกี่ยวข้องอยู่ในวิถีชีวิตประจำวันของเขา

ที่สำคัญ คือ การเข้าใจถึงลักษณะที่แท้จริงของกระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ ว่ามนุษย์แต่ละคนนั้นมีความแตกต่างหลากหลายกันทั้งตามธรรมชาติ และตามสังคม วัฒนธรรมประเพณี สิ่งแวดล้อม รวมไปถึงประสบการณ์ในอดีตแต่ละช่วง ทำให้แต่ละคนมีวิถี จริต จังหวะ และอัตราการเรียนรู้แตกต่างกันไป การเรียนรู้และการสอบประเมินที่เหมาเอาว่าผู้เรียนแต่ละคนเหมือนกัน เมื่อถึงเวลาหนึ่งๆ ต้องผ่านตามเกณฑ์หนึ่งๆ จึงเป็นสิ่งที่น่าขบขันและน่าเศร้าในคราเดียวกัน

ฐานคิดที่อาจนำไปสู่การพัฒนาการวัดประเมิน การสอบที่เหมาะสมกับมนุษย์มากขึ้น ก็คือ การเปิดพื้นที่ให้มี “การประเมินเหตุ” ควบคู่ไปกับ “การประเมินผล” เพราะบางครั้งเราอาจไม่รู้ว่ากระบวนการเรียนรู้ที่เราอยากให้เกิดในผู้เรียนนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใด จะไปบังคับให้เกิดก่อนที่เราจะวัดก็ไม่ได้ แต่สิ่งที่เรารู้จากหลักปัจจยการ ที่ว่าสิ่งๆ หนึ่งเกิดขึ้นได้ก็เพราะมีเหตุอันเป็นปัจจัยให้เกิดผลนั้น ผลที่ดีก็ย่อมมาจากการมีเหตุที่ดี ดังนั้น เราก็อาจจะวัดว่าการเรียนรู้ตามที่เราอยากเห็นนั้น มันมีเหตุมีปัจจัยที่เอื้อให้เกิดขึ้นหรือไม่ สักกี่มากน้อย หรือเรียกอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นการประเมินปัจจัยนำเข้า (Input) และกระบวนการ (Process) ควบคู่ไปกับการตรวจดูผลลัพธ์ (Output) ผลปลายทาง (Outcome) หรือผลกระทบ (Impact)

สำหรับการเรียนรู้แล้ว การสอบซึ่งน่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดไม่ใช่การเลือกใช้การประเมินด้วยมาตรฐาน หรือใช้การประเมินที่มีชีวิตด้วยวงจรป้อนกลับ อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ควรจะได้ใคร่ครวญ “ใส่หัวใจ” ลงไปในกระบวนการสอบ เพื่อจะได้เป็นกระบวนการที่มีความสุขมากกว่าความเครียด

แนวโน้มช่วงสามสิบปีผ่านมาก็พบว่าเป็นไปในทำนองเดียวกันนี้ การสอบวัดตามเกณฑ์ลดน้อยลง คุณบราวน์และคณะทำงานสำรวจพบว่าการสอบข้อเขียนและสอบประเมินโดยผู้สอนมีน้อยลง แต่มีการใช้วิธีทำงานในวิชาเรียนและประเมินการเรียนรู้โดยตัวผู้เรียนมากขึ้น ชัดมากๆ คือเดิมใช้การสอบแบบวัดผลลัพธ์ หรือดูปลายทางเป็นสำคัญว่าจำได้มากน้อยแค่ไหน กลายมาเป็นการประเมินกระบวนการมากขึ้น

ผลการสำรวจของเขาคงไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้เราเท่าไหร่กระมังครับ เพราะพวกเราในแวดวงการศึกษาก็พอจะได้ยินได้เห็นและรับรู้การเปลี่ยนแปลงในวงการศึกษาทั้งต่างประเทศ และวงการศึกษาทางเลือกของไทยเรามิใช่น้อยเลย หากแต่ว่าเรายังไม่กล้าจะเปลี่ยนแปลง หรือยังไม่สามารถออกไปพ้นจากกรอบวิธีการเดิมๆ ที่ถูกกำหนดมาว่าต้องเป็นไปในแนวทางนี้เท่านั้น

ใส่หัวใจให้การสอบแล้วเราอาจจะพบคำตอบว่า การสอบไม่ใช่กระบวนการเพื่อการวัดประเมินให้รู้ผลเท่านั้น ดังที่ดอกเตอร์ Daniel L. Stufflebeam นักวิชาการผู้เป็นเสมือนเจ้าพ่อแห่งวงการวัดประเมิน เคยบอกไว้ว่า “เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของการประเมินไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ แต่คือเพื่อพัฒนา -- to improve, not to prove.” นั่นเองครับผม :-)


ตีพิมพ์ในคอลัมน์ มหาสมุทรแห่งปัญญา
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับประจำวันที่ 26 สิงหาคม 2550


เวลาพูดถึงการสอบขึ้นมา ใครต่อใครที่ได้ยินถ้าไม่ส่ายหน้า ก็ถอนหายใจ หรือไม่คงเบื่อหน่ายกะทันหัน นักเรียนก็เครียด อาจารย์ก็เบื่อ เมื่อตอนสัปดาห์ก่อนผมไปนำเสนอประเด็นเรื่อง “ทำการสอบให้เป็นคำตอบของความสุข” ในงาน “ความสุขในสังคมสมัยใหม่: จิตวิญญาณ สังคม และวิทยาศาสตร์” ของมูลนิธิพันดาราและคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แม้แต่พิธีกรดำเนินรายการยังแนะนำทำนองว่าให้รอติดตามฟังเรื่องที่ดูไม่เข้ากันอย่างนี้จะเป็นไปได้อย่างไร ด้วยวิธีการไหน?

หลังจากผมเล่าเรื่องที่เราๆ ท่านๆ รู้กันดีอยู่แล้ว ว่าด้วยความทุกข์ความเบื่ออันมากมายที่มีต่อการสอบไป ผมเสนอด้วยว่าพวกเราไม่ได้สิ้นหวังและอับจนหนทางไปเสียทั้งหมดหรอกครับ การสอบที่จ้องจะวัดความรู้เปรียบเทียบความสามารถการท่องจำของผู้เรียนจนสะสมความเครียดกันมาตั้งแต่ระดับอนุบาลนี้ ยังไม่ได้มาถึงปลายทางที่เลวร้ายจนทำให้เราต้องฝ่าด่านปัญหาออกไปด้วยการลืมมัน พยายามล้มล้างยกเลิกมัน หรือว่าหลับหูหลับตาให้มันผ่านๆ ไป

เพราะการสอบไม่ได้ผิดนะครับ กระบวนทัศน์ในการสอบในปัจจุบันนั่นแหละผิด (แก๊สโซฮอลล์ก็ไม่ผิดครับ)

อย่างที่คุยกันครับว่า กระบวนทัศน์แบบวิทยาศาสตร์กลไกนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกเรื่อง อย่างการสอบก็เหมือนกัน วิทยาศาสตร์กลไกช่วยพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ มากมาย แต่ครอบงำการศึกษาของเรามากไป กลายเป็นว่าการสอบคือคำตอบทุกอย่างของชีวิต แทนที่การสอบจะเป็นตัวช่วยให้ครูและนักเรียนได้ปรับปรุงพัฒนากระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน กลับเอาไว้ชี้เป็นชี้ตายว่าเราจะได้เข้าเรียนคณะดังๆ มีงานดีๆ ทำหรือไม่

ปัจจุบันความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ใหม่ ทฤษฎีระบบ เผยให้เราเห็นกระบวนทัศน์ใหม่ ทำให้เราได้ย้อนมองเห็นวิธีคิดของพวกเราที่มีต่อการวัด สอบ และประเมินมากขึ้น มาการ์เร็ต วีตเลย์ เธอเปรียบเทียบให้เราเข้าใจในความแตกต่างนี้ โดยเธอเรียกการประเมินแบบที่เราคุ้นเคยพบเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้ว่า “การประเมินด้วยมาตรฐาน” ส่วนกระบวนทัศน์ใหม่มองว่าการประเมินเป็นเหมือนการปรับพัฒนาตัวเองของระบบชีวิต เธอจึงเรียกการประเมินแบบนี้ว่า "การประเมินที่มีชีวิตด้วยวงจรป้อนกลับ"

การประเมินด้วยมาตรฐานแบบเดิมนั้น กำหนดวิธีการและคำถามคำตอบมาตรฐานขึ้นมาให้ทุกคนตอบเหมือนๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนโรงเรียนไหน กรณีระบบข้อสอบเอ็นทรานซ์ และมาถึงสอบเอ็นที (National Test) คงทำให้เรานึกภาพออก

ขณะที่การประเมินอีกแบบ ซึ่งผมขอเรียกสั้นๆ ว่า “แบบวงจรป้อนกลับ” เป็นการประเมินที่ขึ้นอยู่กับบริบทของเรื่องราว แต่ละสถานการณ์ แต่ละคน ก็มีความเป็นมาและสิ่งแวดล้อมแตกต่างกันและต้องให้ความสำคัญ ไม่อาจใช้ข้อสอบหรือคำถามแบบเดิมใช้ในทุกโอกาสทุกสถานที่กับทุกคนได้

อย่างเช่นในวิชาหนึ่งที่เปิดเรียนกันอยู่ในปีนี้ นักศึกษาได้ฝึกเขียนข้อเสนอโครงการ (Proposal) เพื่อทำโครงการสิ่งแวดล้อมศึกษา ตอนแรกหลายคนเลือกทำโครงการที่คิดว่า “ง่าย” เพื่อจะได้ “คะแนนสูงๆ” หลังจากยืนยันนั่งยันและตกลงกันว่าจะไม่ใช้มาตรฐานเดียวในการวัด เป้าหมายการเรียนไม่ใช่เพื่อแข่งขันกันว่าใครเขียนเอกสารได้ดูดีกว่ากัน แต่ให้แต่ละคนได้ไปตามฝันของตนเอง ได้มีโอกาสเลือก โอกาสเรียน โอกาสทำโครงการที่รู้สึกเชื่อมโยงกับใจ รู้สึกมันว่าใช่ และมีความหมายกับตนเองจริงๆ เพราะเอกสารโครงการที่ข้อมูลครบถ้วน มีชื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถูกต้อง แต่ไม่มีกึ๋น แข็งทื่อขาดชีวิตจิตวิญญาณ ไม่มีแรงบันดาลใจให้ผู้คนลุกขึ้นมาทำก็ไม่มีความหมายอะไรไปกว่ากระดาษปึกหนึ่ง

ลงท้ายเราจึงได้โครงการที่แต่ละคนเชื่อมั่นกับมันจริงๆ เขียนโครงการราวกับว่าจะได้ทำมันจริงๆ นักศึกษาสาวชาวพื้นเมืองสมุยฝันอยากจัดค่ายเพื่ออนุรักษ์ทะเลที่หมู่บ้านหัวถนนของตนเอง เธอเดินทางกลับไปบ้านสัมภาษณ์คุณพ่อคุณแม่และชาวบ้านถามถึงสถานการณ์ โอกาส และความต้องการจริงๆ ของชุมชน จนคุณแม่ถึงกับดีใจว่าเธอจะมาทำโครงการที่บ้านแล้ว ซึ่งผมว่าเธอจะทำแน่นอนหากมีโอกาส

นักศึกษาชายอีกคนสนใจการเกษตรและเศรษฐกิจพอเพียง ฝันอยากเป็นเกษตรกร ตอนแรกคิดจะทำเรื่องกล่องรับบริจาคขยะรีไซเคิล ก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องของเขาเองจริงๆ หยิบยื่นโอกาสให้ตนเองเดินทางไปค้างแรมกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานส่งเสริมที่นครนายก และกำลังจะต่อด้วยการไปหาบุคคลตัวอย่าง ไปพบชาวเมืองที่ผันตัวไปเป็นชาวบ้าน

ส่วนอีกราย อยากลองทำโครงการผลิตหนังสือด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับแจกฟรี ซึ่งก็ไม่ย่อท้อ แม้จะรู้ว่าการทำหนังสือนั้นยากมากที่จะรอด บนแผงหนังสือแท้จริงคือสุสานของหัวนิตยสารต่างๆ มากมาย

เราจะปฏิเสธการเดินทางล่าฝันของเธอและเขาเหล่านั้นได้ละหรือ? คงเป็นการโหดร้ายและไม่ยุติธรรมกับนักเรียน นิสิต นักศึกษาอย่างยิ่ง ถ้าเราใช้กฎเกณฑ์มาตรฐานที่แห้งแล้ง ไร้จิตใจ มากึ่งบังคับกลายๆ ให้เลิกฝัน หยุดจินตนาการ แล้วยอมกายยอมใจให้กับอะไรที่พื้นๆ ที่ทำแล้ว “เสร็จ” แน่ๆ แต่ไร้จิตวิญญาณความเป็นตัวตนจริงๆ ของเธอและเขา

เป้าหมายของการเรียนของเราไม่ใช่เพื่อให้เขาผลิตกระดาษข้อเสนอโครงการที่มีครบถ้วนทุกหัวข้อ (ถ้าทำได้ก็ดี) แต่เขียนเสร็จแล้วก็ไม่ได้คิดจะไปทำจริงๆ ไม่ทำให้เขาเดินทางเข้าใกล้ความฝันของตนเอง ได้เตรียมความพร้อมและพัฒนาตนเองไปเป็นมนุษย์คนที่เขาอยากและภูมิใจที่จะเป็นจริงๆ

สิ่งที่มีความหมายที่สุด คือ ประสบการณ์และสิ่งที่เขาเก็บเกี่ยวได้ระหว่างการเดินทางไปสู่จุดหมายต่างหาก แม้ว่ามันจะล้มลุกคลุกคลานบ้าง ความสำเร็จของคนเราก็มิได้วัดอยู่ที่เกรดวิชาหนึ่งๆ ในระหว่างที่เรียน มากเท่ากับการที่เขาได้ใช้ชีวิตตามที่เขาเชื่อหลังจากจบ ดังนั้นการศึกษาที่มีความหมายคือการเตรียมความพร้อมในการเดินทางให้กับผู้เรียนแต่ละคน

คนที่ฝันอยากเห็นทะเลโทรมที่บ้านกลับมาสวย อุดมด้วยสัตว์น้ำหลากชนิด ปลิงทะเลนานาพันธุ์ก็ควรได้ทำตามฝัน เช่นเดียวกับคนที่อยากเห็นบางลำพูกลับมามีต้นลำพูขึ้นเต็มไปทั้งบางสมชื่อ ใครจะรู้ว่าเพชรในชีวิตที่นักศึกษาผู้มีทักษะการเจียรนัยฝันเหล่านี้เมื่อผลิตขึ้นมาให้โลกเชยชมนั้นจะสวยงามเพียงใด

ทั้งหมดนี้คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าเราไม่เปิดใจให้กว้าง ใช้การสอบที่มีแค่มาตรฐานเดียว ไม่เห็นถึงความเป็นมนุษย์ที่แตกต่างกันของแต่ละคน


ถ้าเรามองการสอบเป็นวงจรป้อนกลับ เป็นกระบวนการที่มีไว้เพื่อสะท้อนข้อมูลให้เราเรียนรู้กันได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เปิดให้ผู้เรียนได้มีโอกาสที่จะสร้างและกำหนดความหมายด้วยตนเองด้วย กำหนดว่าอะไรที่เขาคิดว่าสำคัญ คิดว่าเป็นประโยชน์ คิดว่าท้าทายความรู้ความสามารถของตน มิใช่ว่าผู้สอนเป็นคนกำหนดมาทั้งหมด

แค่เอาหัวใจของผู้สอนและผู้เรียนใส่เข้าไปในการสอบ ก็เท่ากับได้สร้างโลกการเรียนใบใหม่ขึ้นมาแล้วล่ะครับ :-)