ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๕
คุณครู : เดี๋ยวเดือนหน้า เราจะไปทัศนศึกษากัน
เด็กๆ : เฮ! จะได้ไปเที่ยวแล้ว
ตอนสมัยยังเป็นเด็กๆ มีคำอยู่ 3 คำ ที่ผมรู้สึกว่ามันมีความหมายคล้ายกัน หรือเหมือนกันมาก นั่นก็คือคำว่า ทัศนศึกษา ทัศนาจร และไปเที่ยว เวลาครูพูดถึงทัศนศึกษา สำหรับเด็กๆ นั้นหมายถึง “ไปเที่ยว” หรือ ทัศนาจร นั่นเอง
ปีไหนโรงเรียนวนกลับไปจัดทัศนศึกษายังสถานที่ที่เราเคยไปกันแล้ว จึงมักมีเสียงบ่นโอดโอยกันยกใหญ่ จะไม่ให้บ่นได้อย่างไร ในเมื่อเด็กๆ รู้สึกว่าเคยไปเที่ยวมาแล้ว และจะไม่ให้นักเรียนรู้สึกว่าไปเที่ยวได้อย่างไร ในเมื่อโรงเรียนจำนวนมากไม่ให้ความสำคัญกับมิติการเรียนรู้ในการไปทัศนศึกษา จนคุณครูอาจคิดในใจว่า โรงเรียนลูกจะพาไปเที่ยวอีกแล้วก็เป็นได้
ก็เพราะการไปทัศนศึกษาของโรงเรียนจำนวนมาก ไม่ได้มีการเตรียมครูก่อนไป ไม่มีการเตรียมนักเรียนก่อนไป ว่าการเรียนรู้ที่พวกเขาควรจะได้รับคืออะไร ที่ๆ จะไปมีความหมายสลักสำคัญอย่างไร เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับบทเรียนไหนบ้าง ช่วงอยู่นอกสถานที่ ครูก็ไม่ค่อยได้ชวนนักเรียนสังเกต ซักถาม หรือสะท้อน อย่างมากก็แจกใบงานให้นักเรียนไปคัดลอกข้อมูลมาส่ง พอมีต้นฉบับ นักเรียนที่เหลือก็ลอกตามๆ กันไป ทำให้ไม่ค่อยได้ใช้ศักยภาพของการเรียนรู้นอกสถานที่ หรือสภาพปกติอย่างที่สามารถ และควรจะเป็น
ดูไปก็คล้ายกับกิจกรรมจิตอาสาที่หลังๆ พบเห็นกันมากขึ้น เด็กเยาวชนที่มุ่งมั่นมาช่วยเหลือคนอื่นอย่างจริงจัง มีวินัย ตั้งใจทำงานตามที่ผู้ดูแลกิจกรรมแนะนำนั้นก็มีอยู่ แต่ก็ยังพบว่ามีไม่น้อยที่มาแบบทัศนาจร คือทำนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ถ่ายรูป อัพสเตตัส แชร์บนเฟซบุ๊ค แถมขอลายเซ็นต์คนจัดเพื่อไปเอาคะแนนจากโรงเรียนเสียอีกด้วย
แต่เรื่องราวมันก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินไป และจบลงเช่นนี้ตลอดไปครับ
ธนาคารจิตอาสา เป็นโครงการที่รับ “ฝากเวลา” คือ เป็นสื่อกลางในการสร้างโอกาส ให้เราได้ใช้เวลามาช่วยเหลือกันในสังคม แสดงความตั้งใจที่จะทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น โดยจะช่วยแนะนำงานอาสาที่เหมาะกับเวลาว่าง ความสนใจ และความถนัดของเรา ซึ่งขณะนี้ กำลังจัดฝึกอบรมกระบวนกรจิตอาสา หรือพี่เลี้ยงอาสาสมัคร (Training of Trainers หรือ ToT) เพื่อผสานความรู้ในงานจิตวิวัฒน์ จิตตปัญญาศึกษา เข้ากับงานจิตอาสา เป็นการหนุนเสริมให้ผู้ดูแลและจัดกิจกรรมจิตอาสา เพิ่มมิติด้านการเรียนรู้เข้าไปในงานอาสา ทำให้เกิดความมั่นใจและมีทักษะในการใช้เครื่องมือการเรียนรู้ที่หลากหลายสำหรับจัดกระบวนการ รวมถึงการสะท้อน และการถอดบทเรียน
ผมมีโอกาสสัมผัสคอร์สอบรมนี้โดยตรง ทำให้เห็นโอกาสและศักยภาพที่เหล่าผู้ดูแลองค์กรอาสาสมัคร จะช่วยให้บรรดาจิตอาสาเกิดการพัฒนา ไม่ใช่แค่เรื่องความคิด วิเคราะห์ และทักษะทางกายเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง การรู้จักใจและเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง การยอมรับผู้อื่น และการลดละอัตตาของตนเอง เป็นการยกระดับจิตวิญญาณของทุกคนในกระบวนการ
ที่กล้าเอ่ยเช่นนี้ เพราะได้เห็นบุคลากรเหล่านี้เริ่มก้าวออกจากพื้นที่คุ้นชิน ไปสู่พื้นที่ท้าทายที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ เห็นพวกเขาสะท้อนตนเอง ให้การรับฟัง และสนับสนุนการสะท้อนบทเรียนของผู้อื่นแล้ว ก็ให้รู้สึกดีใจกับวงการจิตอาสาอยู่ไม่น้อย ที่จะมีกระบวนการทำให้อาสาสมัครเกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน (Transformation) ได้มากยิ่งขึ้น
ดีไม่ดี อาจส่งผลทางอ้อมทำให้กิจกรรมทัศนศึกษาเป็นกิจกรรมที่มีมิติ ความหมาย และเกิดการเรียนรู้ขึ้นบ้าง ก็เป็นได้
ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๕
พุทธชยันตี วิสาขบูชาปี 2555 วันเฉลิมฉลอง 2,600 ปีแห่งการเข้าถึงความจริงของมนุษย์คนหนึ่ง ผู้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของชีวิตคนจำนวนหลายล้าน วันนั้นหลายคนหลายองค์กรได้ร่วมกันจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ในหลากสถานที่และหลายรูปแบบ ส่วนตัวผมนั้น ผมเลือกที่จะกลับไปหาครู ณ วัดป่าแห่งหนึ่ง
ครูผู้เป็นลูกศิษย์ของบรมครู เป็นบุคคลผู้ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นถึงสิ่งที่ถูกส่งทอดสืบต่อกันมานับเป็นพันปีตั้งแต่วันนั้น เป็นผู้ให้เรามากกว่าความรู้ ทั้งยังไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทนจากเรา
ในวันวิสาขบูชาปีนี้ ที่วัดไม่ได้จัดงานใหญ่หรือจัดอะไรเป็นพิเศษ ญาติโยมที่มางานก็มีจำนวนมากตามปรกติเหมือนวันพระใหญ่ทั่วไป ครูอยู่และเป็นอย่างเรียบง่าย และเหมือนเช่นทุกวัน เป็นสุดยอดตัวอย่างของความเสมอต้นเสมอปลาย อันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่เรียบง่าย แต่ใช่จะหาได้ง่ายๆ ในโลกทุกวันนี้
เรื่องที่ครูสอนก็เป็นเรื่องที่ท่านเน้นย้ำเสมอ เรื่องการมีสัจจะ พูดคำไหนคำนั้น “เอาแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็พอ” ท่านว่า
ระหว่างการเดินทางขากลับออกจากวัด ผมได้ฟังเรื่องเล่าจากรุ่นพี่ที่ผมนับถือ เขาเป็นศิษย์ใกล้ชิดของท่านมายาวนาน เขาเล่าว่า
“เมื่อไม่กี่ปีก่อน พี่มีโอกาสได้ตามไปอุปัฏฐากดูแลหลวงพ่อท่านเมื่อครั้งไปสังเวชนียสถานที่อินเดีย เมื่อไปถึงพุทธคยา สถานที่ต้นกำเนิดพุทธชยันตี คือใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ หลวงพ่อบอกว่าจะปฏิบัติภาวนาข้ามคืนจนถึงรุ่งเช้า พี่ก็เรียนท่านว่าจะอยู่ปฏิบัติด้วย แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็ทนไม่ไหว ถอดใจ และล่าถอยกลับไปพักที่โรงแรมตั้งแต่ตอนสองทุ่ม”
ครั้นเมื่อถึงเวลาเช้า หลวงพ่อท่านเปรยทักว่า
“อายหมามันบ่ เว้าแล่วเฮ็ดบ่ได้” (อายหมามันบ้างไหม พูดแล้วทำไม่ได้น่ะ)
พี่เขาไม่ได้บอกว่าตอนนั้นเขารู้สึกอย่างไรในใจ แต่เล่าว่าเขานั่งเงียบตลอดการเดินทางที่เหลือจนกระทั่งมาถึงเมืองไทย เมื่อส่งหลวงพ่อขึ้นรถไปแล้ว เขาก็จัดการซื้อตั๋วเครื่องบินกลับไปที่อินเดีย มุ่งหน้าไปยังพุทธคยาทันที
ในที่สุด การกลับมาคราวนี้พี่เขาก็ได้ปฏิบัติบูชา ด้วยการเดินภาวนารอบองค์พระเจดีย์ และต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นจำนวน 108 รอบจนสำเร็จ พี่เขายอมรับว่า แม้การเดินจากเย็นไปยันเช้าจะทำให้ปวดเมื่อยราวขาแทบหลุด แต่ในใจนั้นเป็นสุขอย่างยิ่ง
“ผมได้ทำหน้าที่เสร็จแล้วนะครับ” เขาโทรศัพท์ไปรายงานหลวงพ่อเมื่อกลับมา
แทนที่พี่เขาจะเล่าเรื่องต่อว่าท่านตอบหรือแนะนำอะไรกลับมา เขากลับพูดเน้นย้ำประโยคที่เป็นเหมือนสรุปบทเรียนล้ำค่าที่ได้จากครู เขาว่า “ท่านยิ่งตียิ่งว่าเรา เรายิ่งเข้าใกล้ท่าน ... ชีวิตผมที่รอดมาได้ และเป็นผู้เป็นคนอย่างทุกวันนี้ ก็เพราะท่านนี่แหละ”
ได้ยินแล้วก็ทำให้ปลาบปลื้มปิตินัก ผมชื่นชมยินดีที่พี่เขามีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้และต่อครูบาอาจารย์ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ช่างชัดเจนมากเหลือเกินว่าที่ท่านเรียกไปสอนก็เพราะว่าท่านมีเมตตา และท่านเห็นว่าเรา “สอนได้”
ชีวิตก็เช่นนี้ หลายครั้งหลายทีเราต้องการครูที่กล้าและทักเราตรงๆ ไม่เช่นนั้นเราอาจพลาดไม่พบบทเรียนสำคัญสำหรับตัวเราไป เพราะเรามัวแต่มีข้ออ้างให้กับกิเลสตนเอง อ้อ ไม่ใช่สิ เป็นเพราะกิเลสที่สิงในตัวเรา มันมีข้ออ้างเสมอน่ะ แล้วเราก็ไม่มีสติพอที่จะทันมัน ก็เลยตกเป็นทาสมันตลอด
เสียทีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ แต่ใช้ชีวิตอย่างน่าอายหมา แม้ว่าเราเองก็ไม่รู้ตัว
ฉบับวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕
ช่วงที่มีข่าวดังเกิดขึ้นที่ภูเก็ต ผมอยู่ที่นั่นพอดี เพราะได้รับเชิญไปร่วมบรรยายในพิธีเปิดการอบรมนิเวศวิทยาทางทะเลภาคฤดูร้อน โดยมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ร่วมกับสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทะเลและชายฝั่งภูเก็ต
เคยไปภูเก็ตหลายครั้ง บางคราวก็มีเรื่องตื่นเต้นเป็นพิเศษ ครั้งหนึ่งไปเที่ยวเกาะพีพีกับเพื่อน ขึ้นรถสองแถว รถแหกโค้งพลิกคว่ำหลายตลบ ดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย แค่เสื้อเป็นรูเล็กน้อย ยังจำหน้าโชเฟอร์คนขับที่เมาและมีตาข้างเดียวได้อยู่เลย
ส่วนรอบนี้ จากสถิติรายงานแผ่นดินไหว โดยกรมอุตุนิยมวิทยา ในช่วงระยะเวลาห้าวัน เกิดแผ่นดินไหวมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่นั่น 20 ครั้ง ซึ่งก็ดี เพราะทำให้ได้ใช้ชีวิตที่ช้าลง และละเอียดขึ้นในการสังเกต ทั้งสิ่งรอบตัวและสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ
จะว่าไปภูเก็ตก็เป็นสถานที่ที่ผมเองได้เคยมาฝึกเรื่องการสังเกตอย่างจริงๆ จังๆ และในคอร์สอบรมเดียวกันกับที่ไปบรรยายนี่แหละ แต่ก็เมื่อสองทศวรรษผ่านมาแล้ว
ครั้งนั้นได้เข้าร่วมในฐานะนักศึกษา แต่ละคนต้องทำงานวิจัยชิ้นเล็กๆ ผมเลือกศึกษาพฤติกรรมการกินปะการังของปลาในแนวปะการังเกาะภูเก็ต ต้องพาเรือลำน้อยไปลอยในทะเลอยู่หลายวัน ดำน้ำลงไปตีกรอบพื้นที่ศึกษาใต้ทะเล แล้วลงน้ำนับชนิดปลา จำนวนปลา และจำนวนครั้งเฉลี่ยที่ปลาแต่ละตัวกัดปะการัง ลมและแดดเดือนพฤษภาคมพัดและย่างเสียแห้งเกรียม อีกทั้งน่วมจากการต้องกระโดดลงน้ำและปีนขึ้นเรือวันละเป็นสิบรอบ แต่ก็สนุกและมีความสุขกับการทำวิจัยมาก เพราะวันหนึ่งๆ ได้ลงไปอยู่กับบรรดาหมู่ปลา และสังเกตพฤติกรรมของเขาอยู่นานสองนาน
เป็นเรื่องปรกติธรรมดาและสนุกสำหรับผมไปเสียแล้ว เพราะชอบนั่งสังเกตสิ่งมีชีวิตตั้งแต่เด็กๆ เช่น จำได้ว่าสมัยเรียนประถมห้า คุณครูวิภาส คุณครูประจำห้องวิทยาศาสตร์อนุญาตให้รับผิดชอบดูแลตู้ไฮดราของโรงเรียน ผมจึงชอบไปโรงเรียนแต่เช้า เพื่อสังเกตพวกเขาที่แตกหน่อ เกาะอยู่บนก้อนหินในตู้ ลำตัวเล็กๆ บางๆ เหมือนเส้นด้าย มีสีเขียวอ่อนจากสาหร่ายที่อยู่ภายใน หนวดเล็กๆ จำนวนมากที่บริเวณปากด้านบน โบกไหวไปมา จับไรแดงกิน ผมนั่งดูได้เป็นชั่วโมงๆ โดยไม่เบื่อ ทักษะสังเกตเหล่านี้เองกระมังที่อาจจะติดตัวมาด้วย อยู่เฉยๆ ก็มีอะไรให้สังเกตได้เรื่อยๆ
อันที่จริง ทักษะการสังเกตทางวิทยาศาสตร์นี้ หากนำมาปรับนิดหน่อยก็ใช้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์อื่นๆ ได้ ซึ่งการสังเกตนั้นต้องอาศัยความอดทน ตั้งใจ ใส่ใจ และเวลา สิ่งเหล่านี้เป็นคุณสมบัติสำคัญที่นำไปสู่ความเข้าใจ
แต่กระบวนการจิตตปัญญามีเป้าหมายที่จะทำความเข้าใจต่างกับวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ วิทยาศาสตร์ใช้เครื่องมือหลักคือตา (อาจบวกกับเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพตา) ส่วนทางจิตตปัญญาใช้ใจ
วิทยาศาสตร์ศึกษาโดยการสังเกตโลกภายนอกเป็นหลัก ส่วนจิตตปัญญาเน้นศึกษาโลกที่เกิดขึ้นภายในตัวผู้สังเกต
ส่วนผล วิทยาศาสตร์สร้างความรู้เกี่ยวกับโลกนอกตัวผู้สังเกต ในขณะที่จิตตปัญญาสร้างความรู้เกี่ยวกับโลกภายในตัวผู้สังเกต
สิ่งที่ให้สังเกตทางวิทยาศาสตร์นั้นมีเยอะแยะมากมายนับไม่ถ้วน มีเรื่องใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ ให้สังเกตได้ไม่หมด ในขณะที่จิตตปัญญานั้นมีสิ่งที่ให้สังเกตไม่มาก หลักๆ ก็คือ กายและใจของผู้เรียนนั่นแหละ ใครที่ลองสังเกตทั้งสองแบบแล้ว คงเห็นว่าต่างมีแง่มุมน่าสนใจของตน แต่ละคนคงต้องตอบคำถามเองแล้วว่า เราจะให้ความสำคัญ ให้เวลา ให้ความใส่ใจกับการสังเกตสิ่งใดมากกว่ากัน
ท่านผู้อ่านล่ะมีคำตอบแล้วหรือยังครับ?
ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๕
คนเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?
ชายชราชาวไต้หวัน 5 คน อายุเฉลี่ย 81 ปี แต่ละคนมีโรคประจำตัว ไม่ว่าจะเป็นโรค หัวใจ มะเร็ง ไขข้อ หรือหูตึง พวกเขานั่งอยู่รอบโต๊ะอาหาร หน้าอมทุกข์ บนเก้าอี้ตัวหนึ่งมีรูปงานศพของเพื่อนในกลุ่มตั้งอยู่ บรรยากาศบนโต๊ะดูเศร้าสร้อย หลายคนทำหน้าไม่อยากอาหาร สักพัก ชายคนหนึ่งทุบโต๊ะดังปัง! แล้วประกาศชวนเพื่อนๆ วัยไม้ใกล้ฝั่งว่า "พวกเราไปซิ่งมอเตอร์ไซค์กัน!"
พวกเขาใช้เวลา 6 เดือน สำหรับการเตรียมพร้อม ใช้เวลาอันสดใหม่ขี่มอเตอร์ไซค์รอบเกาะไต้หวันเป็นเวลา 13 วัน รวมระยะทาง 1,139 กิโลเมตร แม้ร่างกายปวดระบม เหน็ดเหนื่อย แต่ทุกคนกลับมีชีวิตชีวา เหมือนกับได้พลังชีวิตคืนมา พวกเขาเดินทางจากเหนือจรดใต้ ไปยังสถานที่ที่เคยไปเที่ยวอย่างมีความสุขด้วยกันเมื่อครั้งยังหนุ่มๆ ตอนท้ายพวกเขาไปยืนที่ชายหาดแห่งความทรงจำอันประทับใจที่เคยถ่ายรูปร่วมกัน แม้เพื่อนเก่าคนหนึ่งจะจากไปแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในใจทุกคน ภาพของเขาอยู่ในกรอบรูปที่เพื่อนยกชูขึ้นเหนือศีรษะ แสงสีทองของดวงอาทิตย์อาบใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา แต่ดวงตาทุกคนบ่งบอกถึงความเข้าใจบางอย่างถึงความหมายของชีวิต
นั่นเป็นส่วนหนึ่งของคลิปที่ผมเคยเอาไปฉายให้กับนักศึกษาปีหนึ่งดูก่อนที่พวกเราจะเริ่มเรียน
คลิปจบ จำได้ว่าเลือดสูบฉีดแรง ใจเต้นตุบๆ ขนลุกไปทั้งตัว เพราะตนเองรู้สึกร่วมไปกับนักศึกษาด้วย กับเนื้อหาและคำถามที่คลิปทิ้งเอาไว้ว่า What do people live for?
โดยไม่ได้คิดวางแผนไว้ก่อน ผมรู้ว่าตนเองต้องทำอะไรบางอย่าง ผมเดินไปที่กระดานดำ หยิบชอล์กสีขึ้นมาเขียน สัมผัสถึงน้ำหนักที่กดผ่านแท่งชอล์ก ความรู้สึกที่เห็นชอล์กที่สั้นลงพร้อมกระดานดำที่เกาะผงชอล์กเอาไว้เป็นเส้นตามที่ลากนั้น เตือนให้ตระหนักว่านี่เป็นครั้งแรกของเทอมที่ผมเขียนกระดานดำ ในยุคสมัยของสไลด์เพาเวอร์พอยต์และเครื่องฉายแผ่นทึบ (visualizer) แล้ว กระดานดูเหงาไปไม่น้อย แต่มันยิ่งขับเน้นประสบการณ์ อย่างน้อยก็ในตัวผม ที่ทำให้ความรู้สึกอะไรบางอย่างมันเกิดขึ้นที่มากไปกว่าคำถามที่กำลังจะถามพวกเขา แต่มันกำลังจะถามผมเองด้วย เช่นกัน
ผมค่อยๆ บรรจง ละเลียดเขียนอักษรทีละตัว
What do YOU live for?
นักศึกษาเกือบสามร้อยคนเงียบกริบ (ส่วนผมได้สัมผัสกับหัวใจเต้น ) เชื่อว่าจำนวนไม่น้อยกำลังใคร่ครวญอยู่กับตนเอง เห็นบางคนกำลังแอบซับน้ำตาอยู่ด้วย ผมถามบรรดาน้องๆ นักศึกษาว่า "แล้วพวกเราล่ะ มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?"
ผมให้เวลาพวกเขาอย่างเต็มที่เท่าที่ชั้นเรียนของเราจะให้ได้ ณ เวลานั้น ความเงียบและความจริงจังตั้งใจเป็นดั่งของขวัญล้ำค่าสำหรับความสัมพันธ์ของตัวเรากับคำถามที่สำคัญที่สุดในชีวิต
ชั้นเรียนนี้จะเป็นแค่อีกชั้นเรียนที่ให้ความรู้เรื่องเนื้อหาวิทยาศาสตร์ก็ได้ แต่เราฉกฉวยวันเวลาแห่งโอกาสนี้ไว้ ปล่อยหัวใจให้สัมผัสกับคำถามที่ผุดบังเกิดขึ้นภายใน ถามใจว่าอะไรคือสิ่งสำคัญของชีวิต แล้ว ... เราเรียนไปเพื่ออะไร?
จบชั้นเรียน นักศึกษาจำนวนมากเขียนมาบอกว่าวันนั้นเป็นวันที่พิเศษ จบเทอมการศึกษาหลายคนก็ยังสะท้อนบอกว่าไม่กี่นาทีในคาบนั้นเป็นชั่วขณะที่มีความหมายสำหรับชีวิตเขา
และนั่นก็ช่วยยืนยันสิ่งที่ผมตระหนักรับรู้อยู่ในใจ ว่ามันมีบางสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างยิ่งได้เคยเกิดขึ้นในชั้นเรียนของเรา
ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๕
มาสิมาล้อมวง เรามานั่งลงใกล้ๆกันไว้
เธออย่าเพิ่งไปไหน มีอะไรจะเล่าให้ฟัง"
นักศึกษาหนุ่มในชั้นเรียนร้องเพลงของ ศุ บุญเลี้ยง ด้วยเสียงนุ่มๆ แต่โอดครวญ เพื่อนและทีมอาจารย์ผู้สอนนั่งฟังอย่างตั้งใจ
ทุกคนใช้สัปดาห์สุดท้ายของการเรียน แลกเปลี่ยน เพื่อสรุป สะท้อน ประเมินการเรียนรู้ของกลุ่มร่วมกัน ในวิชาสิ่งแวดล้อมศึกษา: ทฤษฎีและปฏิบัติ ของคณะวิทยาศาสตร์ มหิดล
เนื้อหาของวิชา ถูกนำมาศึกษาผ่านการฝึกฝนที่หลากหลาย เช่น สุนทรียสนทนา (Dialogue) การเช็คอิน-เช็คเอาท์ การภาวนา การอยู่วิเวกคนเดียวในสภาพธรรมชาติ การอ่านและวิจารณ์หนังสือที่เปิดโลกทัศน์ การเขียนบันทึก (Journal) รวมไปถึงการเรียนรู้จากตัวอย่างนักคิดนักปฏิบัติตัวจริงเสียงจริง ที่มีความสุขจากการทำงานที่มีความหมาย มีปัญญา มีจิตกว้างขวาง ไม่คับแคบ
วันนี้พวกเราใช้กระบวนการ จิตตศิลป์ (Contemplative Arts) ในการประเมิน เพื่อให้สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์และญาณทัศนะในการมองชั้นเรียนและชีวิตอย่างเป็นองค์รวม ใช้สมองซีกขวาควบคู่ไปกับสมองซีกซ้ายที่มหาวิทยาลัยฝึกให้ใช้จนเชี่ยวชาญ ในการคิดวิเคราะห์ อย่างเป็นเหตุเป็นผล อย่างเป็นวิทยาศาสตร์
เทคนิคการวาดภาพ Scribble ถูกนำมาใช้ ให้ทุกคนสร้างสรรค์งานสื่อถึงความเข้าใจใหม่ที่เกิดขึ้นในตัวเอง บอกเล่าการเรียนรู้หรือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่เกิดขึ้นกับตนเอง ผลที่ได้มหัศจรรย์ ศิลปะกว่ายี่สิบผลงานล้วนไปพ้นจากภูเขาสองลูกและพระอาทิตย์หนึ่งดวงที่ครอบเรามาเกือบยี่สิบปี พร้อมทำลายอคติเดิมๆ ที่หลายคนบอกกับตนเองว่า "โอ๊ย เราวาดรูปไม่เป็นหรอก"
แม้บางรูป อารมณ์หรือโทน อาจจะคล้ายกัน ทว่าแต่ละชิ้นดูแตกต่าง ดูมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ที่สำคัญ คือ งดงามในตัวมันเอง มันชัดเจนว่า "สวยทุกรูป" บอกไม่ได้เลยว่าชิ้นไหนสวยกว่ากัน
นี่เองกระมัง เลยทำให้นักศึกษาชายคนหนึ่งขออนุญาตร้องเพลง ที่เขารู้สึกอิน รู้สึกว่าใช่ ต้องแบ่งปัน ณ เวลานั้น บทเพลงเล่าถึงดาวดวงหนึ่งที่รู้สึกว่าตนเองไม่สวย ถูกกลั่นแกล้งโดยดาวที่สวยกว่าดวงอื่นจนอับอาย จึงละทิ้งท้องฟ้ามาอยู่ในท้องทะเล พบว่าปลาแต่ละตัวหน้าตาแตกต่างกันไป จึงกลายเป็นปลาดาวที่มีความสุขในที่สุด และลงท้ายว่า แม้เราจะแตกต่างจากคนอื่น อย่ากลัวว่าจะไม่เหมือนใคร แค่ให้เราเป็นตัวของเราเองก็พอ
เสียงเพลงและงานศิลปะที่งดงาม ช่วยเปิดและชี้ประเด็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกิดขึ้น คือ การรู้จักตนเอง ที่นำไปสู่ความจริงใจ การยอมรับ และการโอบอุ้มดูแลทุกคนในชั้นเรียน
พวกเขาได้พูดสิ่งที่ผมอ่านในบันทึกของพวกเขาทุกสัปดาห์ คือ ความรู้สึกว่าตนเองแปลก ต้องพยายามให้เป็นที่ยอมรับ รู้สึกว่าชีวิตนั้นยาก และบ่อยครั้งก็โดดเดี่ยว ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครเข้าใจ แต่พวกเขาก็ได้แต่เก็บความรู้สึกเช่นนี้ไว้คนเดียว แบบว่า "นึกว่าเราเป็นคนเดียว"
มาในชั้นเรียนนี้ ทุกคนฝึกที่จะฟังอย่างลึกซึ้ง ให้ความเคารพ ห้อยแขวนการตัดสิน ฝึกที่จะเปิดเผยตนเอง อย่างสด เปลือย เปราะบาง และชื่นชมความเงียบ สิ่งที่พวกเขาได้รับเองโดยไม่ผ่านการบรรยาย ก็คือมิตรภาพ คือความเข้าใจกัน ต่างบอกว่ารู้จักและสนิทสนมกันมากกว่าที่อยู่กันมาสามปีเสียอีก
ตอนท้าย พวกเราตั้งชื่อให้กับการเดินทางของตนเอง นักศึกษาชายหนุ่มที่สุภาพ เรียบร้อย พูดน้อยที่สุดของชั้นเรียน เลือกวลีที่ไพเราะมาก The Pilgrimage of Life เป็นการจาริกของชีวิต ไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เราสร้างขึ้นมาร่วมกัน เพื่อเติบโตและค้นหาตนเอง
ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๕
ตัวเลขดิจิตอลบนหน้าปัทม์นาฬิกาบอกเวลาหกโมงเย็น แม้ชั้นเรียนจะเริ่มมาบ่ายโมงครึ่งและเลยเวลาเลิกเรียนไปแล้วพักหนึ่ง ผมก็ยังวางใจ เพราะนักศึกษาที่มีธุระข้างนอกก็ได้พูด "เช็คเอาท์" (check out) และขอตัวกลับไปก่อน ที่ยังเหลืออยู่ ก็ดูเต็มใจและอยู่ด้วยกันอย่างร้อยเปอร์เซนต์
เช็คเอาท์เป็นช่วงเวลาตอนท้ายที่ทุกคนได้มีโอกาสพูดแบ่งปัน สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในคลาสวันนั้น อาจจะบอกเล่าความประทับใจ การเรียนรู้ที่เขารู้สึกว่าสำคัญหรือโดนที่สุด หรือบอกเล่าความสุขความทุกข์ สิ่งที่อยู่ในใจของชีวิตช่วงนั้น หรือจะเป็นอะไรก็ได้ ขณะเช็คเอาท์เราอยู่ด้วยกันจริงๆ ให้ความสำคัญกับแต่ละคนและทุกๆ คนที่อยู่ตรงหน้า ณ พื้นที่นั้น การได้ยินกันและกันสำคัญเหนือทุกสิ่ง
ปรกติแล้วสำหรับคลาสที่มีนักศึกษา 15 คนบวกทีมผู้สอน เราใช้เวลาเช็คเอาท์กันประมาณครึ่งชั่วโมง เราจึงใช้เวลาในคลาสสี่ชั่วโมง สำหรับวิชาสามหน่วยกิต ถึงแม้ได้หน่วยกิตน้อยกว่าวิชาอื่นๆ ที่ใช้เวลาเท่ากัน แต่ก็ยังมีนักศึกษาเลือกลง อาจเป็นเพราะผู้เรียนเชื่อว่าจะได้อะไรมากกว่าหน่วยกิต อาจเป็นเพราะเขาเชื่อว่าจะได้ฝึกรู้จักกัน ได้ฟังกันจริงๆ ในวิชานี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเช็คเอาท์ในสัปดาห์นี้ นักศึกษากำลังมีความตึงเครียดจากการเตรียมงานค่ายที่สำคัญ เป็นงานใหญ่ที่พวกเขาทั้งรุ่นจะได้รับผิดชอบเป็นหลักร่วมกันเป็นงานสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แต่งานนี้ก็ทำให้เพื่อนหลายคนบาดเจ็บ จากความความต้องการให้งานออกมาดี และทั้งจากความปรารถนาดีที่มีให้กัน เพียงแต่ยังพร่องทักษะการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารในที่ประชุม
ช่วงเช็คเอาท์ จึงกลายเป็นพื้นสำหรับโอกาสในการเรียนรู้และทำความเข้าใจกัน แม้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นบทสนทนาเพื่อดูแลความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องและยาวนาน แต่ก็งดงามที่ได้ริเริ่ม
การใช้ชีวิต การทำงานร่วมกันนั้น ไม่ได้ง่ายเสมอไป เรื่องราวที่เล่าในเช็คเอาท์จึงทำให้สั่นไหว ถึงกับร้องไห้หลายคน
ในพื้นที่ของสุนทรียสนทนา (Dialogue) ทุกคนฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง ห้อยแขวนการตัดสิน เคารพในการเข้าถึงไม่หมด พูดอย่างสด-เปลือย-เปราะบาง และชื่นชมวัฒนธรรมความเงียบ พวกเขาได้แบ่งปันเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากมุมมองของตนเอง เขาได้กล้าและไว้วางใจที่บอกกันตรงๆ และจริงๆ เพราะต่างรู้ว่าทุกคนกำลังพยายามที่จะได้ยินกันจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ฟังแต่ไม่ได้ยิน (hearing but not listening)
หลังจากได้ยินพูดกันเกือบครบรอบวง นักศึกษาคนหนึ่งแบ่งปันว่า เขาประทับใจมากที่ทุกคนรวมถึงอาจารย์ใส่ใจ ให้เวลาในการดูแลกันและกัน
"ขอเช็คเอาท์เพิ่มอีกหน่อย คือ ผมอยากจะพูดจากความรู้สึก ต่อจากเมื่อกี๊น่ะครับ คือ สามปีที่เรียนผ่านมาเนี่ย วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมสามารถเรียกมหิดลว่า 'บ้าน' ได้ รู้สึกว่าอบอุ่นมาก มันอบอุ่นและเชื่อได้อย่างหมดใจว่านี่คือบ้านของผม อันนี้มันมาจากความรู้สึกจริงๆ ครับ อยากจะขอบคุณอาจารย์มาก ขอบคุณครับ"
เขากล่าวจบพร้อมกับยกมือไหว้ เป็นการไหว้ที่ผมจะจำไปตลอด ตอนนั้นทั้งขนลุก ทั้งน้ำตาซึม
วันที่น่าประทับใจที่สุดวันหนึ่งของความเป็นคนและความเป็นครู วันที่รุ่นน้องของเรา เรียกสถาบันการศึกษาของเขาและของพวกเราว่า "บ้าน" … จะไม่ให้เราเรียกวันนี้ว่าเป็นวันที่น่าประทับใจที่สุดได้อย่างไร ในชีวิตความเป็นครูมหาวิทยาลัยจะเกิดขึ้นกับกี่คนและกี่ครั้งกัน
ขณะเดินออกจากมหาวิทยาลัย คำพูดนักศึกษายังก้องอยู่ในโสตประสาท
หรือว่ามหาวิทยาลัยมีความเป็นบ้าน เมื่อผู้คนข้างในเรียนรู้ที่จะฟังกันอย่างใส่ใจ ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และความเข้าใจ ก่อนจะพยายามไปแก้ไขปัญหา
ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
จู่ๆ แสงไฟฟลูออเรสเซนต์ในห้องบรรยายขนาดใหญ่ของมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านศาลายาก็พลันดับลง อาจารย์ผู้สอนหันไปมองเลิ่กลั่ก สีหน้าดูแปลกใจนิดๆ ที่ไฟฟ้าดับทั้งที่ฝนก็ไม่ได้ตก สักพักไฟดาวน์ไลท์สีเหลืองนวลหลายดวงค่อยสว่างขึ้นทีละน้อย พร้อมกับเสียงร้องเพลงของนักศึกษาคนหนึ่งดังขึ้นเป็นต้นเสียง ตามมาด้วยนักศึกษากว่าสามร้อยคนต่างร่วมกันร้องเพลง "คนไม่เอาถ่าน" และ "ขอบคุณที่รักกัน"
เมื่อเพลงจบลง ตัวแทนนักศึกษาบอกว่าในวันวาเลนไทน์นี้นอกเหนือจากความรักระหว่างคู่รัก ยังมีความรักความผูกพันระหว่างคณะลูกศิษย์กับอาจารย์อีกด้วย นอกจากของขวัญแล้ว พวกเขาจึงขอมอบเพลงนี้และความมุ่งมั่นว่าจะทำให้ดีที่สุด ให้แด่อาจารย์ผู้สอน ตอบแทนความรัก ความเอาใจใส่ และการดูแลตลอดเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา เสียงคนพูดสั่นเครือ ด้วยกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เหนี่ยวนำให้เพื่อนๆ อีกหลายคนร้องไห้ไปด้วย พวกเขาอาจไม่รู้ว่าอาจารย์ผู้อยู่ด้านหน้าห้องก็กำลังเสียน้ำตาด้วยเหมือนกัน
อาจจะไม่เป็นเรื่องแปลกอะไรที่นักศึกษามอบของขวัญเนื่องในวันพิเศษให้แก่ครู แต่ห้องเรียนนี้เป็นห้องเรียนธรรมดาๆ ที่ไม่ธรรมดา
ในบรรยากาศที่เร่งรีบและบางทีก็สับสนของมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ พวกเขาร่วมกันสร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น ห้องเรียนนี้ที่มีอาจารย์สองท่านร่วมกันสอน คนหนึ่งถือไมค์เดินไปรอบๆ บรรยายและยกตัวอย่างให้เข้าใจ อีกคนหนึ่งนั่งเขียนอยู่ที่เครื่อง visualizer คอยบันทึกความรู้ จับประเด็นสำคัญ ให้นักศึกษาได้มีอะไรจด
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่อาจารย์สองท่านจำชื่อเล่นนักศึกษาร่วมสามร้อยคนได้เกือบหมด พวกเขาทำการบ้านมาอย่างดี นั่งท่องชื่อนักศึกษา ตามไปรู้จักแต่ละคนในห้องปฏิบัติการที่นักศึกษาแยกเป็นกลุ่มย่อยๆ พยายามตามถ่ายรูปนักศึกษาที่รูปติดบัตรที่มีอยู่ในระบบกับตัวจริงไม่ค่อยเหมือนกัน พวกเขารู้เอง โดยไม่ต้องอ่านทฤษฎีใดๆ ว่านักศึกษาจะตั้งใจเรียน จะเข้าใจและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับวิชา หากว่าผู้เรียนกับผู้สอนมีใจที่เชื่อมโยงกัน
พวกเขาเลือกให้ความสำคัญกับการปลูกฝังความรักและความเข้าใจในวิชาฟิสิกส์ ที่นักศึกษาส่วนใหญ่จะได้เรียนเป็นปีสุดท้ายแล้ว (เพราะส่วนใหญ่แยกย้ายไปเรียนต่อในภาควิชาอื่น) มากกว่าจะพยายามอัดเนื้อหาให้ได้มากที่สุดในเวลาที่จำกัด (ตามนโยบายของรัฐ)
ผมได้ลองเก็บข้อมูลง่ายๆ อย่างไม่เป็นระบบนัก ผ่านการคุยกับนักศึกษาทุกชั้นปีจำนวนหนึ่ง เกือบทุกคนบอกว่าประทับใจอาจารย์สองท่านนี้มากที่สุดในคณะ สาเหตุที่พวกเขารักและเข้าใจวิชาฟิสิกส์มากขึ้นมาก ก็เพราะอาจารย์สองท่านนี้ แถมยังบอกว่า อาจารย์ทั้งสองเป็นคนที่มีความหมายต่อชีวิตอย่างยิ่ง ช่วยทำให้ชีวิตในปีแรกในรั้วมหาวิทยาลัย ที่นักศึกษาส่วนใหญ่ต้องออกจากบ้านมาอยู่หอ ทั้งเรียนหนักและกิจกรรมเยอะ เป็นชีวิตที่มีทั้งความสุข ความสนุก และความหวัง
เด็กๆ ทุกคนของเรา ไม่ว่าจะเรียนในชั้นประถม มัธยม หรืออุดมศึกษา พวกเขาน่าจะได้พบโอกาสพัฒนาจิตวิญญาณอิสระ ความคิดสร้างสรรค์ และความสนใจใฝ่รู้ มากกว่าที่เป็นอยู่นี้ หากว่าอาจารย์ผู้สอนไม่ได้แค่บรรยายและทำตามๆ กันไป ... ใช่ไหม? :-)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
หญิงสูงอายุวัยหลังเกษียณคนหนึ่งที่ผมรู้จักดี เธอทำงานโดยไม่ได้สนใจเรื่องความลำบากหรือความสบาย คำชมหรือคำขอบคุณ แต่ประการใด เธอทำกิจวัตรประจำวันด้วยความใส่ใจอย่างให้คุณค่าและความหมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำกับข้าว ซักผ้า ถูบ้าน ไหว้พระสวดมนต์ ออกกำลังกายว่ายน้ำ แม้กระทั่งการได้กินอาหารธรรมดาๆ หรือการอยู่บ้านเฉยๆ ความสัมพันธ์ของเธอกับคนอื่นๆ รอบข้างก็นำมาซึ่งความผ่อนคลายสบายใจ บ่อยครั้งผมชวนเธอไปเที่ยวหรือทานอาหารข้างนอก เธอก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร
อะไรนะที่ทำให้เธอช่างแตกต่างจากคนอื่นๆ คนเมืองจำนวนไม่น้อยบางวันขับรถมาถึงที่ทำงานตอนเช้าโดยจำไม่ได้เลยว่าวันนี้รถคันข้างหน้าเป็นรถยี่ห้ออะไรสีอะไรบ้าง ขณะที่เพิ่งทานอาหารเบื้องหน้าเสร็จ พลันสงสัยว่า เอ๊ะมื้อนี้กินอะไรลงไป รสชาติเป็นอย่างไรบ้างนะ ลืมตั้งใจดูตอนกิน ตอนเย็นกลับถึงบ้าน พอจำได้ลางๆ ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เหลือบดูปฏิทิน อ้าว นี่เดือนกุมภาแล้วหรือ เหมือนเพิ่งสิ้นปีไปหยกๆ โลกทั้งโลกเหมือนผ่านไปไวๆ แว้บๆ ที่ให้ได้รอลุ้นว่าจะมาเมื่อไหร่ ก็คือโบนัส วันหยุดยาว และเทศกาลลดกระหน่ำของห้างต่างๆ
ชีวิตแบบหลังนี้เปรียบเป็นรถก็เหมือนขับด้วยเกียร์ออโต้ แถมด้วยระบบครูซคอนโทรล ตั้งความเร็วปุ๊บ รถเคลื่อนด้วยความเร็วคงที่เสร็จสรรพไม่ต้องแม้ขยับเหยียบคันเร่ง แค่คอยหักหลบซ้ายหลบขวานิดๆ หน่อยๆ ก็พอไปได้ ด้านหนึ่งก็ดูเหมือนง่ายดี ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดมากมาย แต่อีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนอะไรๆ มันผ่านไปแบบเบลอๆ ดูไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่ แถมติดๆ ขัดๆ งงๆ ว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตที่เหมือนจะดูดี แต่ก็บ่อยครั้งที่ดูโหวงๆ เราเรียกชีวิตแบบนี้ว่าอยู่ในโหมด Automatic หรือ "อัตโนมัติที่หลับไหล" (แปลโดย วิศิษฐ์ วังวิญญู) คือไปเรื่อยๆ แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ในขณะที่ตัวอย่างต้นเรื่อง เป็นชีวิตที่อยู่ในโหมด Autotelic หรือ "อัตโนมัติที่ตื่นรู้"
ความแตกต่างระหว่างสองกลุ่มนี้คือ กลุ่มอัตโนมัติที่ตื่นรู้เป็นกลุ่มที่มีเป้าหมายของชีวิตอยู่ภายในที่ไม่ได้แยกออกจากตนเอง (รากศัพท์ภาษากรีก Autotelic คือ ตนเอง + เป้าหมาย) แม้ว่าเขาอาจจะพูดออกมาเป็นภาษาสวยหรูไม่ได้ก็ตาม
มีไฮ ชีคเซนทมิไฮอี ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา ชาวฮังกาเรียน ผู้เชี่ยวชาญด้านความสุขและความคิดสร้างสรรค์ ระบุว่ากลุ่มอัตโนมัติเป็นคนที่ตื่นรู้มีแรงขับเคลื่อนจากภายในจะแสดงออกถึงการมีเป้าหมายและความสนใจใคร่รู้ในตนเอง ตรงกันข้ามกับกลุ่มที่ใช้แรงขับเคลื่อนจากภายนอก จะอาศัยความสะดวกสบาย ทรัพย์สมบัติ อำนาจ และชื่อเสียงเป็นแรงจูงใจ
ที่กลุ่มอัตโนมัติที่ตื่นรู้จะไม่ค่อยต้องการทรัพย์สมบัติสิ่งของ ความบันเทิง ความสะดวกสบาย ชื่อเสียงอำนาจ ก็เพราะชีวิตที่พวกเขาได้ใช้ สิ่งที่พวกเขาได้ทำมันเหมือนให้รางวัลในแต่ละวันอยู่แล้ว พวกเขาจะเข้าถึงสภาวะ "ความลื่นไหล" (Flow) คือสภาวะทางจิตในคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องในกิจกรรมหนึ่งๆ ด้วยความตั้งใจ โฟกัสอย่างมีพลัง และประสบความสำเร็จในกระบวนการของกิจกรรมนั้น และนี่คือแนวคิดสำคัญของจิตวิทยาเชิงบวกนั่นเอง
สภาวะ "ความลื่นไหล" และ "ความพ้องจองซึ่งกันและกัน" (synchronicity) มีความใกล้ชิดเชื่อมโยงกันอย่างยิ่ง มีผู้ศึกษาวิจัยและเสนอเทคนิคมากมายที่จะดึงเอาศักยภาพของสภาวะทั้งสองมาใช้ประโยชน์ ในการทำงานและการใช้ชีวิต
เรื่องขำๆ ก็คือ หากผมไปแนะนำหญิงสูงอายุต้นเรื่อง เธออาจบอกว่า "พูดอะไรไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวไปทำกับข้าวก่อนนะ"
ตีพิมพ์ในคอลัมน์จิตตปัญญา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ กายใจ
ฉบับวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยฝัน หรือฝันก็จำไม่ค่อยได้ แต่มีคืนหนึ่งเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ฝันชัดเจนมาก ว่าตกอยู่ในอันตรายกับพี่สาวคนโต เราวิ่งหนีคนร้ายอยู่ในสวนมืดๆ คล้ายในยุโรปยุคกลาง ขณะที่เธอกำลังจะถูกรุมทำร้าย ผมก็ตกใจตื่นขึ้นมา หายใจหอบแฮ่กๆ เหงื่อโทรมกาย นึกสงสัยว่าอะไรหนอ ทำไมฝันมันเด่นชัดแบบนี้ ยังจำรายละเอียดของประตู แนวพุ่มไม้ คูเมือง และอื่นๆ ได้อยู่เลย
เมื่อเปิดคอมพิวเตอร์ เช็คอีเมล พบว่ามีรุ่นน้องที่ทำปริญญาเอกอยู่ต่างประเทศด้วยกัน บอกว่ามีเครื่องบินการบินไทยตกที่ภาคใต้ เขาเห็นในรายชื่อผู้โดยสารมีนามสกุลผมอยู่ด้วย ผมขนลุกเสียวสันหลังวาบ รีบโทรกลับมาเช็คข่าวที่เมืองไทย ... ปรากฏว่าใช่เลย พี่สาวคนดีของผมเสียชีวิตแล้ว
ปรากฏการณ์นี้คืออะไร? จริงหรือว่าแค่ความบังเอิญ?
เราเคยนึกถึงใครบางคนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดถึงไหม แต่แล้วจู่ๆ เขาคนนั้นก็โทรศัพท์มาหา มันอาจเรียกง่ายๆ ว่าเป็น “เรื่องบังเอิญ” แต่ลึกๆ เราก็รู้ว่าไม่ใช่แค่ความบังเอิญแน่ๆ
ปรากฏการณ์เช่นนี้มีอยู่และได้รับการรับรองในโลกของชนเผ่าพื้นเมือง ภูมิปัญญาชาวบ้าน หรือศาสนาความเชื่ออันหลากหลายมานานแล้ว หลายวัฒนธรรมก็มีพิธีกรรมอันสืบเนื่องเกี่ยวโยงกัน กระทั่งได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้
สำหรับวิทยาศาสตร์แล้ว นี่มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือเหลวไหล ถึงแม้ในอดีตจะมี คาร์ล ยุง (Carl Jung) แพทย์และนักจิตวิทยา เคยพยายามอธิบายมันอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ บอกว่าโลกและจักรวาลนี้มีกฎอื่นๆ นอกเหนือจากที่มนุษย์เข้าใจกันทั่วไป
แต่เมื่อปีกลายนี้เอง วงการวิทยาศาสตร์อาจต้องทบทวนใหม่ เพราะมีการค้นพบทางฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบห้าสิบปี นั่นคือ พบว่ามีอนุภาคที่มีความเร็วมากกว่าแสง!
เจ้าอนุภาคนิวตริโน (neutrino) นี้มีการค้นพบมานานแล้ว มีขนาดเล็กมาก เบาหวิวจนแทบไม่มีมวลอยู่เลย มีความเป็นกลางทางกระแสไฟฟ้าจึงเดินทางโดยไม่ได้รับผลกระทบจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า นักวิทยาศาสตร์ในยุโรปเพิ่งจะวัดความเร็วได้ พบว่าเร็วกว่าแสงที่เดินทางด้วยความเร็ว 299,792,458 เมตรต่อวินาที ใช่ครับ สามพันล้านเมตรต่อวินาที แต่นิวตริโนนี้เร็วกว่าแสงอีก เร็วขนาดที่ “มันไปถึงที่หมายก่อนที่จะออกจากจุดตั้งต้น” เสียอีก
ฟังแล้วงงๆ ใช่ไหมครับ ไปถึงที่หมายก่อนออกจากจุดตั้งต้น?
นั่นเพราะนิวตริโน อาจไม่ได้เดินทางเป็นเส้นตรงในโลกสี่มิติของเรา (กว้าง ยาว ลึก เวลา) แต่ผ่านมิติที่มากกว่านั้น (จะติดเบอร์ว่ามิติที่ห้า หรือเลขอะไรก็แล้วแต่) จึงไม่ต้องเดินทางจากวินาทีที่หนึ่ง ไปยังวินาทีที่สองและสามตามลำดับ
การที่อนุภาคหนึ่งหายแว้บจากปัจจุบันไปโผล่ในอีกเวลาหนึ่งที่ไม่ได้ต่อเนื่องกัน มันเปิดความเป็นไปได้สู่การเดินทางท่องเวลา จากปัจจุบันไปอดีต หรือไปอนาคต (แต่ยังไม่ต้องรีบซื้อตั๋วจองที่นั่งไทม์แมชชีนนะครับ คงอีกนานมาก)
นักฟิสิกส์ทฤษฎีบอกว่าการค้นพบนี้เป็นเสมือนประตูไปสู่บางสิ่งที่พื้นฐานและลึกซึ้งที่เรายังไม่เข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติ
และนี่อาจเป็นหนึ่งในรูปธรรม หลักฐาน หรือคำอธิบายของปรากฏการณ์ “ความพ้องจองซึ่งกันและกัน” (synchronicity) ดังตัวอย่างเหตุการณ์ที่ยกมาข้างต้น ที่อนุภาค (ซึ่งก็คือคลื่นและ/หรือข้อมูลนั่นเอง) สามารถเดินทางในมิติอื่นนอกเหนือจากสี่มิติที่เรารับรู้ตามปรกติ
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปิดใจ ไม่ยึดติดแค่ในระบบคิดแบบเดิม และเปิดศักยภาพของการเรียนรู้ให้พ้นจากกรอบเก่าๆ นี้เสียที